เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่437เสี่ยวหลิงเกิดอุบัติเหตุทายาทสายตรงตระกูลฉินจะเป็นอะไรไปไม่ได้!
- Home
- เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ
- ตอนที่437เสี่ยวหลิงเกิดอุบัติเหตุทายาทสายตรงตระกูลฉินจะเป็นอะไรไปไม่ได้!
จั่วชิวหรงยื่นกระดาษให้ไป
รุ่นพี่เยี่ยอ่านตั้งแต่ต้นจนจบเพื่อพิสูจน์สิ่งที่ตัวเองคิด
ช่วงบ่ายจั่วชิวหรงไม่ได้ออกมาและไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ถึงไม่ได้บอกสองคนที่อยู่ด้านนอกว่านักวิจัยเลี่ยวมีงานวิจัยใหม่อยู่ในมือ ส่วนนักวิจัยเลี่ยวเองก็ยุ่งอยู่กับการวิจัยของตัวเอง ทั้งสองจึงลืมไปแล้วว่าบทความฉินหร่านได้ประเภทที่หนึ่ง
มีเพียงรุ่นพี่เยี่ยเท่านั้นที่อ่านบทความฉินหร่านตั้งแต่ต้นจนจบ
หลังจากอ่านกระดาษที่จั่วชิวหรงยื่นให้ สีหน้ารุ่นพี่เยี่ยก็ดูแปลกไปเล็กน้อย
ตอนนี้รุ่นพี่เยี่ยเข้าใจแล้วว่าทำไมจั่วชิวหรงถึงเกรงกลัวฉินหร่านมาตลอด รุ่นน้องน่ากลัวจริงๆ ด้วย
เขาเหลือบมองนักวิจัยเลี่ยวที่กำลังถือโทรศัพท์อยู่ อดพูดขึ้นมาไม่ได้ “นักวิจัยเลี่ยว คุณไม่ต้องโทรแล้ว”
นักวิจัยเลี่ยวหันหน้ามามองรุ่นพี่เยี่ย
รุ่นพี่เยี่ยถือกระดาษไว้ในมือพร้อมกับพูดออกไปว่า “เนื้อหาการทดลองนี้ก็คือบทความที่รุ่นน้องส่งไปที่วารสารSCI”
ไม่ง่ายเลยที่จั่วชิวหรงที่อยู่ข้างๆ จะมีสีหน้ามีความสุข ทว่าขณะนี้กลับแข็งทื่อไปทีละนิด
**
ในรถ
ฉินหร่านพิงเบาะที่นั่งฝั่งข้างคนขับ หลุบตาลง ใต้เปลือกตาเขียวคล้ำเล็กน้อย
ตอนที่เธอขึ้นรถ หว่างคิ้วยังแฝงไปด้วยความหงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด
ขณะนี้หายไปเยอะมากแล้ว ดวงตาที่หลุบลงดูสงบนิ่งอย่างหาได้ยาก
นอกหน้าต่างรถมีแสงไฟสลัวๆ
ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นภายในรถที่เงียบงัน
เฉิงเจวี้ยนกดปิดทันทีที่มีเสียง เป็นโทรศัพท์ของฉินหร่านที่ลู่จ้าวอิ่งเป็นคนโทรมา เขาคิดอยู่พักหนึ่งก็จอดรถไว้ข้างทาง
จากนั้นถือโทรศัพท์ลงจากรถ ต่อสายหาลู่จ้าวอิ่ง
“มีอะไร?” เขาพิงประตูรถ จุดบุหรี่อย่างลวกๆ น้ำเสียงเนือยๆ แบบขอไปที
ทางด้านลู่จ้าวอิ่งเงียบไปสักพัก “ฉันโทรหาฉินเสี่ยวหร่านไม่ใช่เหรอ? ช่างเถอะ ก็เหมือนกันน่ะแหละ นายบอกฉินเสี่ยวหร่านให้หน่อยว่าอย่าลืมที่เรานัดกันไว้วันพรุ่งนี้สิบโมงเช้า?”
“นัดอะไร?” เฉิงเจวี้ยนเหยียดมือเคาะเขม่าบุหรี่ เขาเงยหน้ามองไฟริมถนนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามด้วยสายตาเกียจคร้าน
“ก็แม่ฉันน่ะสิ เป็นตายร้ายดียังไงก็จะพบเธอให้ได้” ทางด้านลู่จ้าวอิ่งกำลังพิงหัวเตียง วางคอมพิวเตอร์ไว้บนตัก เขาดึงผมม่วงบนหน้าผากตัวเอง พูดเบาๆ ว่า “คุณชายเจวี้ยน ว่าแต่นายได้คุยอะไรกับพ่อฉันบ้างหรือเปล่า…”
ตั้งแต่เขากลับมาเมืองหลวง เขาก็ถูกคนตระกูลลู่ลากกลับไปเข้ารับการฝึกอบรมโดยไม่รู้ตัว
เฉิงเจวี้ยนเดินไปที่ข้างถังขยะ ดับบุหรี่แล้วเลิกคิ้ว “เปล่าหนิ ไม่ใช่ฉัน วางนะ”
พอพูดจบก็ไม่ได้ให้เวลาลู่จ้าวอิ่งได้ตอบโต้ เขาวางสายทันทีและกลับไปนั่งฝั่งคนขับรถ สตาร์ทรถ
ด้วยการเคลื่อนไหวนี้ ฉินหร่านก็เกือบจะตื่นแล้ว เธอพิงกระจกหน้าต่างแล้วดึงพรมสีดำมาคลุมตัว เสียงขึ้นจมูกเล็กน้อย “ลู่จ้าวอิ่งเหรอ?”
“เขานั่นแหละ” เฉิงเจวี้ยนขับรถเข้าสู่ถนนใหญ่ นิ้วเรียวยาวเคาะพวงมาลัย
ห้องปฏิบัติการอยู่ไม่ไกลจากคอนโดมากนัก ฉินหร่านตื่นขึ้นก็หรี่ตาลง เธอหยิบโทรศัพท์เปิดวีแชท
ในวีแชทมีข้อความส่งมาไม่น้อย มีทั้งของรุ่นพี่เยี่ย หนานฮุ่ยเหยา พวกฉู่หัง และยังมีเพื่อนมัธยมปลายอีกไม่กี่คน…
ฉินหร่านเปิดดู สุดท้ายก็หยุดอยู่ที่ข้อความของฉินหลิง
ข้อความสุดท้ายคือบันทึกหน้าจอของเฉิงเจวี้ยนที่ส่งให้เธอมาในตอนเที่ยง
ฉินหลิงยังไม่ตอบกลับมา
ฉินหร่านเคาะนิ้วบนหน้าจอโทรศัพท์ ครุ่นคิดเล็กน้อย
จนกระทั่งลงจากรถ ฉินหร่านก็ยังอยู่ในภวังค์
เฉิงเจวี้ยนยกมือกดประตูลิฟต์พลางเหลือบมองเธอ
“ไม่สิ” ฉินหร่านจับโทรศัพท์แน่น เคาะคางเบาๆ พร้อมกับพูดอย่างใจเย็น “เสี่ยวหลิงน่าจะคิดว่าคุณอ่อนหัดหรือเปล่านะ?”
เนื่องจากดึกมากแล้วจึงไม่มีคน ประตูลิฟต์เปิดออกในไม่ช้า
เฉิงเจวี้ยนมองเธอต่อโดยไม่พูดอะไร
**
วันรุ่งขึ้น
วันเสาร์
ฉินหร่านตื่นในเวลาเจ็ดโมงเช้า
เฉิงมู่ที่นั่งยองๆ อยู่ริมหน้าต่างได้ยินเสียงจึงอดหันไปมองข้างหลังไม่ได้ เขาแปลกใจ “คุณหนูฉิน ตื่นเช้าขนาดนี้เลยเหรอครับ?”
“อือ” ฉินหร่านขมวดคิ้ว เธอเดินไปรินน้ำอุ่นที่ตู้กดน้ำ “ฉันจะไปอวิ๋นจิ่นสักหน่อย”
“ครับ” เฉิงมู่ไปยกอาหารเช้าในห้องครัวมาเสิร์ฟให้ฉินหร่าน “คุณชายเจวี้ยนออกไปพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่หกโมงเช้าแล้วครับ”
เฉิงเจวี้ยนเดินทางไปพิพิธภัณฑ์ตั้งแต่หกโมงเช้าแล้ว เนื่องจากฤดูหนาวอากาศค่อนข้างหนาว เขาจึงไม่ได้ปลุกให้เธอตื่น แค่กำชับเฉิงมู่ว่าพอถึงเวลาก็ไปส่งเธอยังสถานที่ที่เธอนัดกับลู่จ้าวอิ่งไว้
เฉิงมู่นึกว่าฉินหร่านจะตื่นตอนเก้าโมง คาดไม่ถึงว่าเธอจะตื่นตอนเจ็ดโมง
ในครัวยังมีอาหารเช้าส่วนของเฉิงจิน วันนี้เฉิงจินไม่ได้ทำงาน เขาจึงตื่นสายกว่าปกติ เฉิงมู่นำอาหารเช้าส่วนของเขามาเสิร์ฟให้ฉินหร่าน
ฉินหร่านกินเสร็จก็ไปเปลี่ยนมาสวมเสื้อโค้ตในห้องแต่งตัว จากนั้นก็พันผ้าพันคอออกมา
เดินอ้อมไปข้างตู้ หยิบพวงกุญแจ
“คุณหนูฉิน วันนี้จะขับรถเองเหรอครับ?” พอเฉิงมู่ถือกาน้ำออกมาจากห้องน้ำ ก็เห็นฉินหร่านกำลังเปลี่ยนรองเท้าพร้อมกับพันผ้าพันคอ
ฉินหร่านเงยหน้าขึ้น “ใช่ มีอะไร?”
“แต่ว่า…” เฉิงมู่อ้าปาก
“ฉันไปนะ” ฉินหร่านโบกมือไปทางข้างหลังอย่างไม่แยแส เปิดประตูออกไป
เฉิงมู่เพิ่งพูดประโยคที่เหลือ “แต่ว่าคุณชายเจวี้ยนบอกว่าคุณขับรถอันตรายเกินไป…”
เขามองไปที่ประตูที่ฉินหร่านปิดโดยไม่กล้าพูดอะไร ได้แต่หยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วเปิดวีแชท เปิดบัญชีวีแชทของเฉิงเจวี้ยนและส่งข้อความให้เขา
หลังจากส่งข้อความเสร็จ เฉิงจินก็ลากเท้าขึ้นมาข้างบน เดินตรงเข้าไปในครัว
หนึ่งนาทีต่อมา เฉิงจินก็ออกมาจากในครัว ถามเฉิงมู่ “อาหารเช้าฉันล่ะ?”
เฉิงมู่ถือกาน้ำทำเป็นไม่รับรู้
**
วันเสาร์ตอนเช้ารถไม่ติด ฉินหร่านมายืนอยู่หน้าประตูบ้านฉินฮั่นชิวก่อนแปดโมง
เธอดึงผ้าพันคอลงแล้วยื่นมือเคาะประตู
ประตูเปิดภายในไม่กี่วินาที
คนที่เปิดประตูคืออาเหวิน เขามองฉินหร่านด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป “คุณหนู?”
ดูเหมือนเขาจะนอนดึก ดวงตามีเส้นเลือดอยู่หน่อยๆ
ฉินหร่านตอบ “อื้อ” จากนั้นก็มองไปข้างหลังเขา “เสี่ยวหลิงกับคนอื่นๆ ล่ะ?”
ทั้งบ้านเงียบผิดปกติ
เธอขมวดคิ้วจนแทบสังเกตไม่เห็น
“คุณหนูมาแล้วใช่ไหม?” พ่อบ้านฉินรีบเดินออกมาจากห้องโถง สีหน้าของเขามองไม่ออกถึงความแตกต่างจากเดิม ให้อาเหวินเดินมาอีกด้าน “เข้ามาสิครับ อาเหวินไปชงชาให้คุณหนู”
เขาเบี่ยงตัวให้ฉินหร่านเข้ามา
อาเหวินเดินตรงเข้าไปชงชาในห้องครัวให้ฉินหร่านโดยไม่พูดอะไร
ฉินหร่านนั่งบนโซฟา เธอยังห้อยผ้าพันคอไว้ที่คอ รับชามาจากอาเหวิน มือที่เย็นเฉียบค่อยๆ อุ่นขึ้นมาบ้าง “ที่นี่มีแต่พวกคุณสองคนเหรอ?”
“นายน้อยสองไปซื้อของสดครับ เพิ่งออกไปเมื่อกี้นี้ ส่วนคุณชายน้อยก็ไปเรียนกับอาจารย์คุค” พ่อบ้านฉินยิ้ม สายตาที่อ่อนโยนมองฉินหร่าน “คุณหนูจะอยู่ทานข้าวที่นี่ไหมครับ? นายน้อยสองกลับมาเจอคุณหนูจะต้องดีใจมากแน่ๆ ”
ฉินหร่านไม่ตอบ
เธอแค่ถือถ้วยชา หลุบตามองชาเขียวที่อยู่ในถ้วย
บรรยากาศโดยรอบเริ่มเคร่งเครียด สีหน้าท่าทางพ่อบ้านฉินเริ่มแตกระแหง
ขณะที่เขาจะยื้อต่อไปไม่ไหวแล้ว ฉินหร่านก็หัวเราะขึ้นมา เธอวางถ้วยชาลงแล้วยืนขึ้นทันที “ฉันไม่กินข้าวแล้ว เดี๋ยวยังต้องไปเจอเพื่อน”
เขาพาฉินหร่านไปส่งที่หน้าประตู
พ่อบ้านฉินถึงกับค่อยๆ ทรุดตัวลงที่ประตู ยื่นมือที่เต็มไปด้วยเหงื่อขึ้นมากุมหน้า สีหน้าลุกลี้ลุกลนเล็กน้อย
“พ่อบ้านฉิน ทำไมไม่บอกคุณหนูเสียหน่อย?” อาเหวินตาแดงก่ำ
“คุณชายหกจะบินมาถึงเมืองหลวงเย็นนี้ ช่วงเวลาแบบนี้ไม่มีใครอยู่ควบคุมสถานการณ์ นายจะให้ฉันบอกคุณหนูยังไง?” พ่อบ้านฉินส่ายหน้า เขาวางมือลง ดวงตาแดงก่ำ “นายไม่ได้ยินที่คุณชายน้อยบอกเหรอ ตอนนี้เธอยุ่งอยู่กับการทดลองวิจัยของเธออยู่ แต่ละคืนยังนอนไม่ถึงสี่ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ…ตอนนี้คุณชายน้อยยังอยู่ในห้องผ่าตัด อาการเป็นยังไงก็ไม่รู้ ถ้าเกิดเธอรู้เข้า ก็ไม่รู้ว่าเธอจะทำอะไรลงไป…”
แม้พ่อบ้านฉินจะโง่แค่ไหนก็รู้ดีว่าฉินหร่านเห็นใครสำคัญที่สุด
ถ้าในช่วงเวลาแบบนี้เปลี่ยนเป็นฉินฮั่นชิวหรือฉินซิวเฉินก็ยังดี แต่นี่คือฉินหลิง
แม้แต่ฉินฮั่นชิวที่ซื่อๆ ทึ่มๆ ที่เอาแต่คิดเรื่องขนอิฐ พ่อบ้านฉินยังไม่ค่อยรู้จัก พ่อบ้านฉินจินตนาการไม่ออกเลยว่าถ้าฉินหร่านรู้เรื่องนี้เข้าจะเกิดอะไรขึ้นอีก
น้ำในเมืองเมืองหลวงลึกมากถึงเพียงนี้
เบื้องลึกเบื้องหลังเรื่องฉินหลิงจะต้องมีคุณชายสี่ตระกูลฉินเป็นคนทำอย่างแน่นอน และคนที่คอยหนุนหลังคุณชายสี่ตระกูลฉินก็คือตระกูลโอวหยาง…
พ่อบ้านฉินพิงประตู เขานิ่งไปนานมากกว่าจะลุกขึ้น “นายไปเอาคอมพิวเตอร์มา เราไปโรงพยาบาลกัน”
อาเหวินถือคอมพิวเตอร์มา
พ่อบ้านฉินเปิดประตู
ด้านนอกประตูมีเงาๆ หนึ่งย้อนแสง พ่อบ้านฉินสัมผัสได้เพียงลมหายใจที่เย็นยะเยือกบนตัวเธอ
ฉินหร่านยื่นมือดึงผ้าพันคอลง ดวงตาคมชัดมองพ่อบ้านฉิน ทั้งล้ำลึกและเงียบงัน เธอไม่ได้แสดงอารมณ์ผ่านทางสีหน้า เส้นผมสีดำพาดบนโหนกคิ้ว เยือกเย็นขั้นสุด “โรงพยาบาลไหน?”
ท่าทีของเธอแปลกออกไปมาก
พ่อบ้านฉินเดินถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว “โรงพยาบาลในเครือสถาบันวิจัย…”
“คุณชายสี่ตระกูลฉินคนนั้น?” ฉินหร่านมองพ่อบ้านฉิน
พ่อบ้านฉินหน้าถอดสี “ไม่ใช่ครับ!”
ฉินหร่านพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ เธอหันกลับมาและเดินตรงไปที่ลิฟต์ เสื้อกันลมสีดำเป็นส่วนโค้ง แววตาหนาวสะท้านกระดูก
พ่อบ้านฉินรีบตามไป “คุณหนู คุณชายหกจะกลับมาตอนบ่าย ความปลอดภัยของคุณก็สำคัญเหมือนกัน อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเลยนะครับ! ทายาทสายตรงตระกูลฉินจะเป็นอะไรไปไม่ได้!”.