เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่439แตกตื่นกันทั้งสถาบันวิจัยๅ
ฉินฮั่นชิวที่ได้ยินเสียงทั้งสองคนก็อดหันมามองพ่อบ้านฉินไม่ได้ กระตุกมุมปาก “ผู้อำนวยการคนนี้…จะผ่าตัดสำเร็จไหม?”
ขณะนี้เขาแค่มองไปทางอาเหวินและพ่อบ้านฉิน
อาเหวินกับพ่อบ้านฉินไม่ได้พูดอะไร พยาบาลที่ถือใบรายการที่ยังไม่ไปไหนพูดขึ้นมาว่า “คุณผู้ชายคะ ผู้อำนวยการเฉิงเป็นนักวิจัยของสถาบันวิจัย ถ้าแม้แต่เขายังผ่าตัดไม่สำเร็จ ทั้งเมืองเมืองหลวงคงหาหมอผ่าตัดอันดับสามที่เก่งกว่าเขาไม่ได้อีกแล้วล่ะค่ะ นอกจากนี้ยังมีศาสตราจารย์ศัลยแพทย์สมองหลายท่านที่มาจากสถาบันวิจัยอีกด้วย…”
เธอพูดจบก็มองไปทางกลุ่มของฉินฮั่นชิวโดยไม่รู้ตัว…
ไม่รู้ว่าข้างในนั้นเป็นใคร โรงพยาบาลในเครือถึงได้แตกตื่นกันหมด…
ถ้าแม้แต่ผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะไม่ได้จริงๆ จะเป็นโรงพยาบาลในเครือสถาบันวิจัยไปทำไม
“จริงด้วยครับนายน้อยสอง คุณวางใจเถอะ” อาเหวินมองฉินฮั่นชิว
ฉินฮั่นชิวไม่รู้จักเฉิงเว่ยผิงและสถาบันวิจัยสี่แห่งหลัก
และยิ่งไม่รู้ว่าการที่ฉินหลิงได้รับบาดเจ็บจะสร้างความแตกตื่นไปทั้งโรงพยาบาลในเครือ ถึงขนาดที่กลุ่มคนของสถาบันวิจัยคอยลำเลียงยาอยู่ข้างนอก
เมื่อได้ยินอาเหวินและพยาบาลพูดมาถึงขนาดนี้ เขาก็พยักหน้า ในที่สุดหัวใจที่ค้างเติ่งในลำคอก็กลับมาเป็นปกติ
เฉิงเว่ยผิงเป็นคนส่งพยาบาลมารายงานความปลอดภัยให้แก่ฉินฮั่นชิวและคนอื่นๆ หลังจากพูดเสร็จก็ดึงผ้าปิดจมูกขึ้นแล้วรีบกลับเข้าไปในห้องผ่าตัด
สิบนาทีต่อมา
ประตูลิฟต์ข้างทางเดินเปิดออกอีกครั้ง “ติ๊ง”
มีคนเดินออกมาจากข้างในสามคน
นำโดยร่างผอมบางที่สง่าผ่าเผย ดวงตาอบอุ่นหลุบลง สวมหน้ากากปลอดเชื้อที่หน้า ในมือยังถือข้อมูลไว้หนึ่งชุด ขณะที่เดินไปข้างหน้าก็เปิดดูไปด้วย เขาเดินได้อย่างทรงพลัง สง่างาม ชุดผ่าตัดสีขาวที่สวมอยู่ก็ไม่รู้ว่าทำมาจากวัสดุอะไรถึงได้ไม่มีรอย
เมื่อเห็นเขา เหล่าคุณหมอและพยาบาลที่รออยู่หน้าประตูก็ตาเป็นประกาย รีบเปิดประตูห้องผ่าตัดให้เขาเข้ามา
ฉินฮั่นชิวที่เอาแต่จ้องไปที่ห้องผ่าตัดเห็นเพียงแผ่นหลังที่คุ้นเคย เขาชะงัก “…นั่นเสี่ยวเฉิงเหรอ?”
เนื่องจากเห็นแค่แผ่นหลังของอีกฝ่าย ฉินฮั่นชิวจึงไม่รู้ว่าตัวเองจำคนผิดหรือไม่
**
ในห้องผ่าตัด
ฉินหร่านยืนอยู่ไม่ไกลจากเตียงผ่าตัด ร่างกายฉินหลิงมีการสอดท่อไว้ เลือดที่เปื้อนบนตัวถูกจัดการจนสะอาดหมดแล้ว อุปกรณ์ผ่าตัดที่วางอยู่ข้างลำตัวเต็มไปด้วยคราบเลือด
อุปกรณ์ที่ไม่รู้จักชื่อมีแสงเงาวับ
เฉิงเว่ยผิงกับหัวหน้าศัลยแพทย์กำลังหารือเรื่องการรักษา ทั้งสองยืนคุยกันเบาๆ เรื่องความดันภายในกะโหลกศีรษะอยู่ข้างเครื่องCT
ฉินหร่านยืนอยู่ตรงมุมห้อง ไม่กล้าเดินเพ่นพ่านเพราะกลัวว่าทันทีที่ตัวเองขยับ จะเป็นการรบกวนหมอและพยาบาลที่เดินกันไปมา
แขนทั้งสองข้างกำหมัดแน่น
เฉิงเว่ยผิงและคุณหมอเดินไปข้างๆ ฉินหลิง ทั้งสองกำลังวาดอะไรบางอย่างบนศีรษะฉินหลิง
ฉินหร่านถอยหลังไปหนึ่งก้าว เธอคิดจะออกไปข้างนอก ขณะกำลังเอียงตัวไปด้านหลังและเงยหน้ามองไปทางประตูห้องผ่าตัด ประตูที่หนักอึ้งก็มีคนดันมาครึ่งหนึ่ง ร่างที่คุ้นเคยเดินเข้ามาจากทางด้านนอกประตู
“ไม่ต้องห่วง ฉันดูอาการบาดเจ็บของเขาแล้ว ไม่มีผลข้างเคียงหรืออันตรายแน่นอน” เฉิงเจวี้ยนยื่นรายงานการตรวจในมือให้คนข้างหลังอย่างลวกๆ เขายืนอยู่ข้างฉินหร่าน เอื้อมมือดึงผ้าปิดจมูกลงเล็กน้อย
น้ำเสียงนั้นเบาบางและสงบเยือกเย็น
เขามองตาฉินหร่านแล้วเอียงตัวสั่งให้พยาบาลที่อยู่ข้างๆ ไปย้ายเก้าอี้มา ชี้ให้ไปวางที่มุมห้อง
ให้ฉินหร่านนั่งตรงนั้นเสร็จก็เดินไปที่เตียงผ่าตัด
“คุณชายสาม” เฉิงเว่ยผิงส่งมีดผ่าตัดให้เฉิงเจวี้ยน “ผมจะคอยเป็นลูกมือให้คุณเอง”
เฉิงเจวี้ยนถือมีดผ่าตัด มือขวาที่เป็นกระดูกข้อต่อนิ่งและมั่นคงมาก แม้คนที่อยู่บนเตียงผ่าตัดจะเป็นฉินหลิง แต่ก็ไม่พบความตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย
เขาสวมชุดผ่าตัดพิเศษสีขาว บนตัวแทบไม่เปื้อนฝุ่นใดๆ ท่าทางสงบเสงี่ยมแพร่กระจายความกดอากาศต่ำไปทั่วห้องผ่าตัด
นอกจากเสียงเล็กๆ ของเครื่องมือในห้องผ่าตัดแล้วก็มีเสียงอึมครึมในลำคอของเขา——
“เครื่องจี้สองขั้ว”
“รอนเจอร์ส”
“……”
ฉินหร่านนั่งอยู่ริมห้องมุมนี้มองไม่เห็นว่าฉินหลิงผ่าตัดเป็นอย่างไรและไม่เห็นแผลเล็กๆ ที่อยู่บนกล้องจุลทรรศน์ เห็นเฉพาะคณะแพทย์และพยาบาลที่ยุ่งกันมากแต่ยังเดินด้วยความสงบ
และยังมีเสียงเฉิงเจวี้ยนที่ยังคงแผ่วเบา
**
การผ่าตัดใช้เวลาไปทั้งหมดสี่ชั่วโมง
เวลาบ่ายโมงครึ่ง
ไฟในห้องผ่าตัดดับลง
ฉินหลิงถูกเข็นออกมาข้างนอก
พยาบาลออกมาพร้อมกับฉินหร่าน
ฉินฮั่นชิวและกลุ่มของพ่อบ้านฉินต่างก็เข้ามาล้อมรอบ
ศีรษะฉินหลิงพันด้วยผ้าก๊อซหนึ่งชั้น ท่อบนร่างกายถอดออกไปหมดแล้ว เหลือเพียงสายน้ำเกลือที่เชื่อมกับข้อมือทั้งสองข้าง
หัวหน้าพยาบาลที่ตามมาถอดผ้าปิดจมูก พูดด้วยความนอบน้อม “ผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายแล้วค่ะ ไม่จำเป็นต้องเข้าห้องไอซียู หลังจากดมยาสลบคาดว่าน่าจะฟื้นพรุ่งนี้เช้า”
ร่างกายของพ่อบ้านฉินและฉินฮั่นชิวที่ตึงเครียดมาทั้งวันทั้งคืนผ่อนคลายได้ในที่สุด แทบจะนั่งลงบนทางเดินของโรงพยาบาล
“พ่อบ้านฉิน พวกคุณไปที่ห้องผู้ป่วยก่อน เดี๋ยวฉันจะรีบตามไป” ฉินหร่านให้พ่อบ้านฉินกับฉินฮั่นชิวตามฉินหลิงกลับไปที่ห้องผู้ป่วยก่อน
ฉินฮั่นชิวพยักหน้า เขาเกือบจะเดินไปพร้อมกับเตียงฉินหลิง แต่จู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องนึงขึ้นมาได้ “หร่านหร่าน เมื่อกี้พ่อเห็นเสี่ยวเฉิงใช่ไหม?”
“อื้อ” เวลานี้ฉินหร่านไม่อยากพูดอะไรมาก
เธอพยักหน้าให้ฉินฮั่นชิวแล้วเดินเข้าไปในห้องผ่าตัดอีกครั้ง
กลุ่มผู้ช่วยพยาบาลเข็นฉินหลิงไปถึงที่ลิฟต์ กลับไปถึงห้องผู้ป่วย
ตำรวจท้องถิ่นสองคนที่ลงบันทึกไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน พวกเขารู้ว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งนี้เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจที่เข้าไปยุ่งไม่ได้ง่ายๆ
หลังจากลงบันทึกให้เด็กผู้หญิงร่างอวบคนนั้นแล้วก็รออยู่อีกด้านหนึ่ง จากนั้นก็ตามพ่อบ้านฉินและคนอื่นๆ ไปถึงห้องผู้ป่วย เมื่อเห็นพวกพ่อบ้านฉินอารมณ์คงที่แล้วก็ทำการสอบปากคำ “ยังเหลือคำให้การบางส่วนที่ต้องรอผู้ป่วยฟื้นขึ้นมาก่อน คำวินิจฉัยเบื้องต้นยังถือว่าเป็นอุบัติเหตุ”
“อุบัติเหตุ?” ฉินฮั่นชิวหันหน้าไป เขาเดินออกจากห้องผู้ป่วย สงบสติอารมณ์แล้วมองตำรวจท้องถิ่นด้วยความเย็นชา “ชนครั้งแรกไม่ได้แล้วยังมาชนซ้ำเป็นครั้งที่สอง นี่เรียกว่าอุบัติเหตุหรอ?”
“คนขับรถมีอาการลมบ้าหมู พวกเราตรวจสอบกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุแล้ว แต่กล้องวงจรปิดตรงทางแยกใช้การไม่ได้” ตำรวจท้องถิ่นอธิบาย
ฉินฮั่นชิวยังอยากจะพูดอะไรต่อ แต่พ่อบ้านฉินห้ามเขาไว้ เขาลดเสียงลง “คดีในเมืองหลวงล้วนมีตระกูลโอวหยางเข้ามาแทรกแซง พวกเรารอคุณชายหกกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน อย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่ามเลยครับ”
มือทั้งสองข้างของฉินฮั่นชิวสั่นเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักได้ถึงความสำคัญของคำว่า “อำนาจ” ในเมืองหลวง
ตำรวจท้องถิ่นเหลือบมองพวกเขา “พวกเราจะพยายามหาพยานเพิ่ม…”
“ไม่ต้อง พวกเราจะรับทำคดีนี้เอง”