เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่442ไม่ว่าที่ไหนก็เป็นลูกพี่
ทั้งสองหยุดพูดโดยไม่รู้ตัว
เดิมทีฉินซิวเฉินยังคิดถึงเรื่องคุณชายสี่ตระกูลฉินกับฉินหลิง พอมาเจอฉินหร่านในเวลานี้ เขาก็เก็บงำความคิดทั้งหมดกลับมา
แม้จะไม่เคยถามเรื่องฉินหร่านแบบเฉพาะเจาะจงและฉินซิวเฉินเองก็รู้ว่าเธอมีความลับส่วนตัว แต่หลังจากที่เขากลับมาเมืองหลวงครั้งนี้ เขาก็ต้องตกใจอีกครั้ง
ไม่ว่าจะเป็นผู้กองห่าวหรือสถาบันวิจัย…
ในหัวคิดขึ้นมาเป็นฉากๆ
ฉินหร่านไม่ได้คิดมากเหมือนพวกเขา ตอนนี้เธอยังไม่เห็นอาการฉินหลิง แค่เดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วยื่นข้อมูลที่ผู้กองห่าวสืบมาได้ให้ฉินซิวเฉิน ขมวดคิ้ว “นี่คือคดีที่ผู้กองห่าวสืบมาได้”
ฉินซิวเฉินเก็บบุหรี่ที่อยู่ในมืออีกครั้ง รับเอกสารมา อ้าปากเหมือนอยากจะพูดอะไรแต่กลับพูดไม่ออก
เขาก้มหน้าเปิดเอกสารอย่างเงียบๆ
ฉินหร่านเองก็ไม่ได้ถามว่าก่อนหน้านี้พวกเขาคุยอะไรกัน พอบอกพวกเขาเสร็จก็เดินเข้าไปเยี่ยมฉินหลิงในห้องผู้ป่วย
หลังจากเธอเข้าไปแล้ว พ่อบ้านฉินก็มองประตูห้องป่วยที่ถูกปิดไปด้วย เขาเบือนหน้า “ได้ข้อสรุปเร็วขนาดนี้เลยเหรอ? พวกเขาเพิ่งออกไปสืบสวนตอนเที่ยง ตอนนี้ยังไม่ถึงสี่ชั่วโมงเลยมั้ง…”
“กองสืบสวนอาชญากรรมไม่ใช่หน่วยงานทั่วไป” ฉินซิวเฉินเปิดดูข้อมูล เขาเปิดดูในไม่ช้าก็เห็นตัวละครสำคัญอย่างฉินเจา แววตาอาฆาต “ฝีมือฉินเจากระจอกมากในสายตาผู้กองห่าว”
ฉินซิวเฉินไม่ได้แปลกใจอะไร
พ่อบ้านฉินพยักหน้า เขายืนดูข้อมูลข้างๆ ฉินซิวเฉิน “คาดไม่ถึงว่าจะเป็นฉินเจา…สืบมาละเอียดขนาดนี้เลย?”
แม้ว่าจะไม่ถูกเวลา แต่ในใจพ่อบ้านฉินก็มีความรู้สึกที่ยากจะบรรยายไหลทะลักออกมา…
ครึ่งปีก่อนเขาก็เคยได้ยินฉินซิวเฉินพูดถึงกองสืบสวนอาชญากรรม แต่ก็ฟังไปเท่านั้น ตอนนี้ถึงเพิ่งได้รู้ว่าชื่อเสียงที่กองสืบสวนอาชญากรรมได้รับการยกย่องนั้นสมคำร่ำลือจริงๆ
ถ้าเรื่องนี้ฝากไว้ที่สถานีตำรวจอื่น กลัวก็แต่ว่าแม้แต่ฉินเจาก็สืบไม่เจอภายในระยะเวลาสั้นๆ แบบนี้
พวกผู้กองห่าวไม่เพียงแค่สืบเจอฉินเจา แต่ยังงัดหลักฐานออกมาหมด…
ฉินซิวเฉินเปิดดูเสร็จก็ไม่ได้พูดอะไร เขาแค่ปิดเอกสารแล้วเปิดประตูเดินเข้าไป
ภายในห้องผู้ป่วย ฉินหร่านกำลังเปิดดูประวัติการรักษาของฉินหลิงอยู่
ผู้จัดการนั่งบนโซฟาภายในห้องผู้ป่วยพลางหรี่ตา เขาไม่ได้หลับไม่ได้นอนมาทั้งวันทั้งคืน ตอนนี้จึงง่วงมาก
ฉินฮั่นชิวยืนอยู่ข้างๆ ฉินหร่าน
กำลังคุยกับเธอ
“ผู้กองห่าวนั่น...หร่านหร่าน ลูกไปรู้จักพวกเขาได้ยังไง? ไหว้วานพวกเขายังไง?” ฉินฮั่นชิวทำหน้าครุ่นคิดพลางลดเสียงลง เรื่องกู้ซีฉือเขาเคยได้ยินฉินหลิงบอกว่ารู้จักกับพี่กู้ที่โรงแรม
แต่อย่างอื่น…
แม้ฉินฮั่นชิวจะโง่แค่ไหนก็รู้ดีว่าพวกเขาไม่ธรรมดา
โดยเฉพาะผู้กองห่าวที่มีกลิ่นอายดุดันไปทั้งตัว ไม่เหมือนคนของกองสืบสวนอาชญากรรมทั่วไป
ฉินฮั่นชิวกังวลเล็กน้อย
เมื่อได้ยินที่ฉินฮั่นชิวถาม คนอื่นภายในห้องผู้ป่วยสามคนก็หูผึ่งขึ้นมาทันที โดยเฉพาะผู้จัดการที่ลดเปลือกตาลงครึ่งเดียวก็อดมองไปทางนั้นไม่ได้
ฉินหร่านเปิดดูบันทึก ตอนนี้สภาพร่างกายฉินหลิงเป็นปกติทุกรายการ เธอแขวนประวัติการรักษาไว้เหมือนเดิม พูดส่งๆ “นั่นไม่ใช่เพื่อนของฉัน”
ฉินหร่านพูดมาแบบนี้ก็ไม่ผิด เพราะผู้กองห่าวกับพวกเฉิงมู่เป็นคนของเฉิงเจวี้ยน
ฉินฮั่นชิวพยักหน้า ฉินหร่านพูดมาขนาดนี้เขาก็พอจะเข้าใจแล้ว ถอนหายใจเล็กน้อย “งั้นก็คงเป็นเพื่อนเสี่ยวเฉิงสินะ?”
ฉินหร่านส่งเสียง “อื้อ” ทันใดนั้นก็มองออกไปทางนอกประตูห้องผู้ป่วย
คนในห้องผู้ป่วยไม่เข้าใจพฤติกรรมของเธอ เห็นแค่ว่าจู่ๆ เธอก็เดินออกไปข้างนอก ยกมือเปิดประตู
มีเด็กผู้หญิงร่างอวบอายุประมาณเก้าขวบคนหนึ่งยืนอยู่ด้านนอก เมื่อเห็นประตูเปิด เธอก็เงยหน้าขึ้นพลางเม้มปาก ดวงตาดำขลับคู่นั้นสงบนิ่ง เสื้อแจ็คเก็ตลายสก็อตฟ้าขาวมีฝุ่นและคราบเลือดเกาะอยู่ “นี่คือหินของเขา”
เธอยื่นมือมา ส่งหินในฝ่ามือให้ฉินหร่าน
จากนั้นเธอก็เดินไปสุดทางเดินโดยไม่พูดอะไร
ฉินหร่านมองแผ่นหลังเธอพลางเลิกคิ้ว
“นี่มันหินที่ฉันให้เสี่ยวหลิงไม่ใช่เหรอ?” กู้ซีฉือเดินมาจากสุดทางเดินอย่างช้าๆ เขาเดินเฉียดเด็กผู้หญิงคนนั้น เหลือบมองอีกฝ่ายแล้วเดินมาข้างๆ ฉินหร่าน
“อื้อ เสี่ยวหลิงน่าจะทำหล่นตอนที่รถชน เธอไปหามาให้” ฉินหร่านละสายตา
กู้ซีฉือผงกหัว สายตาเขามองไปที่แผ่นหลังของเด็กผู้หญิงคนนั้น ขมวดคิ้วเล็กน้อย “ยาที่เด็กผู้หญิงคนนั้นกินมีปัญหา…”
ทั้งสองคุยกันไม่กี่คำ กู้ซีฉือก็ตามฉินหร่านเข้าไปในห้องผู้ป่วย
เขาสวมเสื้อสเวตเตอร์สีขาว กางเกงสแล็กสีเบจ ร่างกายเต็มไปด้วยความสดใส ในมือยังถือถุงพลาสติกสีขาว
พอเข้ามาในห้องผู้ป่วย เขาก็ทักทายฉินฮั่นชิวและฉินซิวเฉินทีละคนพร้อมกับถือโอกาสแนะนำตัว
เมื่อได้ยินว่านี่ก็คือคุณกู้ ฉินฮั่นชิวกับฉินซิวเฉินก็รีบลุกขึ้นกล่าวขอบคุณ
กู้ซีฉือไม่กล้าให้พวกเขาโค้งคำนับ เขาหลบเลี่ยงแล้วพูดว่า “ผมไม่ได้ทำอะไรเลย หัวหน้าการผ่าตัดครั้งนี้คือรุ่นพี่ผม ไม่เกี่ยวกับผมหรอกครับ”
เขาพูดไปด้วยพลางเดินไปเช็กข้อมูลแต่ละรายการบนเครื่องมือทางการแพทย์ที่อยู่ข้างเตียงฉินหลิง ถือโอกาสวางถุงพลาสติกในมือไว้บนโต๊ะเตี้ยสีขาวข้างเตียง “เสี่ยวหร่านเอ๋อร์ วิธีการใช้ยาทดลองเขียนไว้บนนั้นแล้วนะ รอเสี่ยวหลิงฟื้นขึ้นมาก็ให้เขากินยาพวกนี้หลังอาหารสามมื้อ…”
เขากำชับไม่กี่คำ พ่อบ้านฉินที่อยู่อีกด้านก็จดจำด้วยความตั้งใจ
พอกู้ซีฉือพูดเสร็จก็ตรวจสอบชุดข้อมูลแล้วเตรียมจะกลับไปที่สถาบันวิจัย ฉินซิวเฉินและคนอื่นๆ ไปส่งเขาถึงหน้าประตูลิฟต์
ตลอดทั้งบ่ายมีหัวหน้าหน่วย คณะแพทย์ และผู้อำนวยการโรงพยาบาลมาที่นี่
ทีแรกฉินซิวเฉินก็ตกใจมาก แต่ตอนนี้เขาก็ค่อยๆ สงบเสงี่ยมลงแล้ว เขาไปส่งกู้ซีฉือก่อนจะกลับไปที่ห้องผู้ป่วย
คนเหล่านี้ล้วนเห็นแก่หน้าฉินหร่าน ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติต่อตัวเองสุภาพแค่ไหน กลุ่มของฉินซิวเฉินก็ไม่กล้าเมินเฉยแม้แต่น้อย
“คุณชายหก ผมได้ยินพยาบาลบอกมาว่าคุณกู้ท่านนั้นมาจากองค์กรการแพทย์รัฐ M …” พ่อบ้านฉินลดเสียง
ไม่ใช่คนวงใน เมื่อผู้จัดการของฉินซิวเฉินที่ไม่เคยได้ยินชื่อกู้ซีฉือมาก่อนได้ยินพ่อบ้านฉินพูดมาขนาดนี้ เขาก็เงยหน้าขึ้นพูดด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ “องค์กรการแพทย์รัฐ M ?”
เขาไม่รู้ว่าองค์กรการแพทย์รัฐ M เป็นองค์กรแบบไหนกันแน่
แต่ตราบใดที่มีอำนาจก่อตั้งในรัฐ M ได้ ล้วนไม่ธรรมดา
อย่างเช่น สมาคมM…
ที่มีป้ายทะเบียนรถที่สามารถเข้าออกรัฐ M ได้อย่างอิสรเสรี ไม่ตกเป็นเป้าสายตาให้วุ่นวาย
นี่เป็นประสบการณ์ตรงที่ผู้จัดการรับรู้หลังจากไปรัฐ M มาแล้วสองครั้ง
พ่อบ้านฉินเหลือบมองผู้จัดการ ตอนนี้เขาเป็นเหน็บชาไปแล้ว ได้แต่พยักหน้า “ใช่ครับ หลังจากเขากลับประเทศ ตอนนี้ก็อยู่ที่สถาบันวิจัยเมืองหลวง”
เมื่อได้ยินคุณหมอหลายคนบอกว่าฉินหลิงไม่ได้เป็นอะไรแล้ว พวกเขาก็รู้สึกเหมือนรอดชีวิตมาจากภัยพิบัติ
พ่อบ้านฉินผ่อนคลายลงและพูดถึงเรื่องอื่นๆ
ผู้จัดการอดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมาว่า “หลานสาวตัวน้อยของนายเคยไปรัฐ M ไหม?”
ตอนแรกที่ไปรัฐ M เนื่องจากเรื่องของวังจื่อเฟิง เขาก็รู้สึกเสียดายแทนฉินหร่านที่ไปรัฐ M ไม่ได้
แต่ตอนนี้…ผู้จัดการกลับรู้สึกว่าหรือจะเป็นความคิดตัวเองที่มีปัญหากันแน่
แน่นอนว่าเขาคิดไม่ถึงว่าฉินหร่านไม่เพียงแค่เคยไปที่รัฐ M แต่ยังสนิทกับลูกพี่ใหญ่ที่รัฐ M หลายคนอีกด้วย
หลังจากผ่านไปสักพัก ผู้จัดการก็ไม่ได้เคร่งเครียดเหมือนเมื่อคืน เขามองไปทางฉินซิวเฉิน “ซุปตาร์ฉิน ตอนนี้มีหลานสาวตัวน้อยแล้ว ปัญหาที่พวกพ่อบ้านฉินก่อก็ไม่จำเป็นต้องให้นายมาแบกรับคนเดียว นายพักผ่อนได้แล้ว”
ถ้าเมื่อก่อนเกิดเรื่องแบบนี้ ฉินซิวเฉินคงต้องเดินทางไปมาสองที่ทั้งๆ ที่ถ่ายหนังยังไม่จบ อย่างน้อยก็ไม่ได้หลับไปหนึ่งสัปดาห์และยังต้องคอยป้องกันคุณชายสี่ตระกูลฉินอยู่ตลอดเวลา…
ฉินซิวเฉินหันไปมองเขา
ผู้จัดการเก็บคำพูดที่เพิ่งพูดไปพร้อมกับส่ายหน้า “เอาเถอะ ฉันรู้ว่านายไม่ยอมให้เธอมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ และเธอก็ไม่ได้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลฉิน แต่อย่างน้อยหลานสาวตัวน้อยก็ต้องเป็นห่วงเสี่ยวหลิงนี่นา? นายอย่ากดดันตัวเองสิ หลานสาวตัวน้อยไม่ได้คิดมากแบบนายหรอก ฉันขอตัวกลับบ้านก่อนนะ”
ผู้จัดการตบไหล่ฉินซิวเฉินเบาๆ และไม่ได้พูดอะไรต่อ
ร่างกายเขาก็ค่อนข้างทรุดโทรม ตอนนี้สถานการณ์ฉินหลิงนิ่งลงแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้กลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่าอย่างสบายใจ
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อบอกข่าวดีให้คนในสตูดิโอฉินซิวเฉินทราบ
“ฉันก็จะกลับเหมือนกัน” ฉินซิวเฉินถือข้อมูลฉินเจาพลางหลุบตาลง
**
ภายในห้องผู้ป่วย
ฉินฮั่นชิวรินน้ำให้ฉินหร่าน “เสี่ยวเฉิงล่ะ? เขายุ่งมากใช่ไหม?”
ฉินฮั่นชิวสีหน้าดีขึ้นมากเมื่อพูดถึงเฉิงเจวี้ยน
เขาหยิบโทรศัพท์ออกมา เปิดเบอร์โทรศัพท์ของเฉิงเจวี้ยน “ตอนนี้เสี่ยวเฉิงคงไม่ได้กำลังพักผ่อนหรอกมั้ง? พ่อโทรไปจะรบกวนเขาหรือเปล่า…”
ฉินฮั่นชิวกดเบอร์โทรศัพท์ แต่ไม่ได้ต่อสายไปในทันทีเพราะเกรงว่าจะส่งผลต่อการพักผ่อนของเฉิงเจวี้ยน
ได้แต่ถามฉินหร่าน
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวเขายังจะมาดูอาการเสี่ยวหลิง” ฉินหร่านก้มหน้าดูโทรศัพท์ เปิดเบอร์เหอเฉินแล้วพูดต่อ “หนูขอออกไปโทรศัพท์ข้างนอกก่อนนะ”
เธอถือโทรศัพท์ออกไป
พ่อบ้านฉินจึงหันมามองฉินฮั่นชิว
ฉินฮั่นชิวสะดุ้ง “มี… มีอะไร?”
“เสี่ยวเฉิงคนนั้นที่คุณพูดถึง…เป็นใครกันแน่?” พ่อบ้านฉินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามด้วยความระมัดระวัง
เขาเคยได้ยินฉินฮั่นชิวพูดถึงเสี่ยวเฉิงมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งครั้ง ฉินฮั่นชิวมีข้อมูลน้อยเกินไป ถ้าไม่ใช่หมอก็คงเรียนสองสาขาวิชา
แต่อย่างไรก็ตามฉินซิวเฉินกับพ่อบ้านฉินก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
ทว่าวันนี้…
หลังจากได้ยินที่คณะแพทย์คุยกัน ได้ยินคำว่า “รุ่นพี่” มาจากปากกู้ซีฉือ และยังมาได้ยินว่าผู้กองห่าวมาเพราะ “เสี่ยวเฉิง” คนนั้น…