เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่443ใครจะคิดว่าเสี่ยวเฉิงคือทายาทตระกูลเฉิง
พ่อบ้านฉินจึงอดไม่ได้ที่จะคิดมากในเรื่องนี้
“เสี่ยวเฉิง” คนนี้เป็นใครกัน?
แล้วเป็นตัวอักษร “เฉิง” ตัวไหน?
ใช่ “เฉิง” ตัวนั้นที่เขาคิดหรือเปล่า ?
ขณะที่พ่อบ้านฉินกำลังพูดก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากข้างนอก ตามมาด้วยแพทย์อีกหลายคนที่พากันเข้ามาข้างใน
นำโดยชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง ผอมบาง เขาไม่ได้สวมเสื้อกาวน์ สวมแค่เสื้อนอกสีดำหลวมๆ เขาก้มหน้าดูภาพCTที่เฉิงเว่ยผิงให้มาด้วยท่าทางจริงจัง อากัปกิริยาเป็นไปอย่างสำรวม
แสงไฟในห้องผู้ป่วยค่อนข้างนุ่มนวล แม้จะย้อนแสงไปบ้าง แต่ก็เห็นได้ว่าหน้าตาเขาโดดเด่นมาก
พ่อบ้านฉินยืนอยู่ข้างโซฟา เดิมทียังคิดจะเข้าไปหา แต่ราวกับมีอะไรตอกให้อยู่กับที่
ฉินฮั่นชิวสนิทกับเฉิงเจวี้ยนมาก
เขาเดินเข้าไปตรงๆ “เสี่ยวเฉิง วันนี้ต้องขอบใจนายมากนะ…”
เฉิงเจวี้ยนวางภาพCTในมือลง เขาหลุบตาลงพลางพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย “เป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้วครับ”
ทั้งสองคุยกันขณะที่เดินไปที่หน้าเตียงผู้ป่วย
ด้านหลัง เฉิงเว่ยผิงและคนอื่นๆ ที่ตามเฉิงเจวี้ยนมาชะงักอยู่กับที่กลายเป็นหิน
คนที่อยู่ในที่นี้ล้วนเป็นคนที่รู้จักเฉิงเจวี้ยน
โดยเฉพาะพวกเฉิงเว่ยผิงท่านนี้ที่สนิทกับทายาทตระกูลเฉิงกว่าคนอื่น นายท่านเฉิงรักและเอ็นดูลูกชายอายุน้อยคนนี้มาก คนส่วนใหญ่ในวงสังคมชั้นสูงของเมืองหลวงมักจะเรียกเขาว่าคุณชายเจวี้ยน ไม่ว่าเลวร้ายเพียงใด อย่างน้อยก็จะเรียกว่าคุณชายสาม
ตั้งแต่ตระกูลเฉิงจนถึงสี่ตระกูลใหญ่ นับตั้งแต่บนลงล่าง
คนที่สามารถเรียกเฉิงเจวี้ยนว่า “เสี่ยวเฉิง” นั้นมีเพียงไม่กี่คน…
นี่เป็นเพียงคนคนเดียวที่กล้าเรียกเขาและยังเรียกได้อย่างเป็นธรรมชาติ…
คณะแพทย์ที่ตามเฉิงเจวี้ยนอยู่ด้านหลังอึ้งไปหลายวินาที จากนั้นก็เก็บสายตาตกตะลึงและแสดงท่าทีต่อฉินฮั่นชิวด้วยความระมัดระวัง
หลังจากคุยกับเฉิงเจวี้ยนเสร็จ ฉินฮั่นชิวก็นึกถึงพ่อบ้านฉินขึ้นมาได้ เขาเอียงตัวแนะนำให้พ่อบ้านฉินรู้จัก “พ่อบ้านฉิน นี่ก็คือเสี่ยวเฉิง”
จากนั้นก็มองไปทางเฉิงเจวี้ยน “นั่นคือพ่อบ้านฉิน พวกเขาอยากเจอนายมานานแล้ว”
เฉิงเจวี้ยนหันไปด้านข้าง สายตามองพ่อบ้านฉินและพยักหน้าเล็กน้อย พูดด้วยเสียงคมชัด “สวัสดีครับ”
พ่อบ้านฉิน “…”
ขาเขาชาเล็กน้อยและพูดไม่ออกสักประโยค
“แกรก——”
ประตูห้องผู้ป่วยเปิดออกอีกครั้ง ฉินหร่านถือโทรศัพท์เข้ามาจากด้านนอก
เฉิงเว่ยผิงหลีกทางให้เธอ “คุณหนูฉิน”
เขาทักทายเธออย่างสุภาพ
เมื่อหัวหน้าคนอื่นเห็นเฉิงเว่ยผิงหลีกทางให้ก็รีบถอยหลังไปหนึ่งก้าวทันที
ฉินหร่านไม่ได้สังเกตอะไรมากนัก เธอทักทายเฉิงเว่ยผิงอย่างสุภาพก่อนจะยัดโทรศัพท์ใส่ในกระเป๋า เดินมาหาเฉิงเจวี้ยน “ดูเสร็จหรือยัง?”
“ยังเหลืออีกหน่อย”เฉิงเจวี้ยนก้มหน้า เขายื่นมือหยิบประวัติการรักษาที่แขวนตรงปลายเตียงขึ้นมาดูอย่างจดจ่อ
ส่วนใหญ่เฉิงเว่ยผิงได้รายงานเขาไปหมดแล้ว แต่เฉิงเจวี้ยนยังไม่วางใจอยู่บ้าง เขาตรวจสอบอย่างละเอียดไปหนึ่งรอบกว่าจะเรียบร้อย
ฉินหร่านยืนรออยู่ข้างๆ เขาจนตรวจสอบเสร็จ
ช่วงเวลานั้นฉินฮั่นชิวยังอยากคุยอะไรบางอย่างกับเขา แต่โดนฉินหร่านเหลือบตามอง เขาจึงกลืนคำพูดลงไป “เสี่ยวเฉิง ตอนบ่ายคงไม่ได้พักผ่อนเลยใช่ไหม?”
เขามองหน้าเฉิงเจวี้ยนที่งดงามและบอบบาง แต่หว่างคิ้วยังมีความเหนื่อยล้าเล็กน้อย
ฉินฮั่นชิวพูดเสียงเข้ม “หร่านหร่าน ลูกกับเสี่ยวเฉิงกลับไปพักผ่อนเถอะ ทางนี้มีคุณหมออยู่ คงไม่มีอะไรหรอก”
หลายวันมานี้ฉินหร่านยุ่งอยู่กับการทดลอง แน่นอนว่าฉินฮั่นชิวได้ยินมาจากฉินหลิง
ส่วนเฉิงเจวี้ยน ฉินฮั่นชิวไม่รู้ว่าเขาทำอะไร แต่ดูจากท่าทางของเขาแล้วก็ไม่ได้ดูดีสักเท่าไหร่
เฉิงเจวี้ยนไม่ได้พูดอะไร ฉินฮั่นชิวมองประวัติการรักษาในมือเฉิงเจวี้ยน นิ่งไปพักหนึ่งก่อนจะย้ายสายตามองไปทางฉินหร่าน
ฉินหร่านยังพูดไม่จบ เธอยืนมือไปดึงประวัติการรักษาในมือเฉิงเจวี้ยนกลับมาแขวนไว้ที่ปลายเตียงฉินหลิงดังเดิม พูดด้วยน้ำเสียงเฉยชา หลุบหน้าลง “พ่อคะ พวกเรากลับก่อนนะ”
“พ่อไปส่งพวกเธอเอง” ฉินฮั่นชิวไปเปิดประตูห้องผู้ป่วย
“เดี๋ยวก่อน” เฉิงเจวี้ยนดึงข้อมือฉินหร่าน ไม่ได้รีบไปในทันที
เขานิ่งอยู่กับที่และกำชับกลุ่มคนเหล่านี้โดยละเอียดก่อนจะออกไป
ทั้งสองขึ้นลิฟต์ลงไปที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินโดยตรง
เฉิงเจวี้ยนควานหากุญแจรถในกระเป๋ากางเกง ตอนที่เปิดประตูรถ เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เงยหน้าที่บอบบางพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อย “เดี๋ยว เจ๊หร่าน…”
“อยู่นี่” ฉินหร่านอ้อมไปที่ฝั่งข้างคนขับ ตอบส่งๆ
“วันนี้เธอเหาะรถเองหรอ?” เฉิงเจวี้ยนยันประตูรถมองเธอ
ฉินหร่าน “…”
“ใบปรับสองใบ” เฉิงเจวี้ยนเอื้อมมืออีกข้างออกไป “กุญแจล่ะ?”
โชคดีที่ไม่มีใครกล้ามาขวางทะเบียนรถที่เธอขับ แค่แอบหักคะแนนแล้วปรับเงินอย่างเงียบๆ และถือโอกาสแจ้งเขา
ฉินหร่านควานหากุญแจออกมาจากกระเป๋าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
**
ด้านบน
กลุ่มของเฉิงเว่ยผิงตรวจดูอาการด้วยท่าทางเคารพนบน้อมกว่าเดิมตลอดทั้งกระบวนการก่อนจะออกจากห้องผู้ป่วย
ในที่สุด ขณะนี้ห้องผู้ป่วยก็เงียบสงบลงเล็กน้อย
ฉินฮั่นชิวดื่มน้ำไปครึ่งแก้ว ส่งข้อความให้ฉินหร่านโดยบอกว่าพอถึงบ้านแล้วให้เธอบอกเขาสักคำ จากนั้นก็มองพ่อบ้านฉิน “พ่อบ้านฉิน คุณไม่เป็นไรนะ?”
พ่อบ้านฉินมือยันโซฟา เขาเงยหน้าขึ้นโดยไม่แสดงออกผ่านทางสีหน้า “ไม่เป็นไรครับนายน้อยสอง”
“งั้นก็ดี คุณก็ไม่ได้หลับมาทั้งวันทั้งคืนนี่ กลับไปพักผ่อนที่บ้านเถอะ อย่าฝืนร่างกายเลย” ฉินฮั่นชิวบอก
ขณะที่ตอบ พ่อบ้านฉินก็ถูกฉินฮั่นชิวพาไปส่งที่ลิฟต์
พอฉินฮั่นชิวเห็นพ่อบ้านฉินไม่ตอบสนอง เขาจึงเข้าไปกดลิฟต์ลงชั้นหนึ่งให้พ่อบ้านฉินด้วยความใส่ใจ
เมื่อลิฟต์ไปถึงชั้นหนึ่ง พ่อบ้านฉินก็รู้สึกตัวขึ้นมา
เขาเดินออกจากลิฟต์ ยืนอยู่ที่ทางเข้าลิฟต์ที่มีผู้คนสัญจรไปมา ควานหาโทรศัพท์แล้วต่อสายหาฉินซิวเฉิน
ฉินซิวเฉินเพิ่งสั่งการบางอย่างเสร็จได้ไม่นานก็รับสายพ่อบ้านฉิน ใบหน้าเขายังมีความโกรธเคืองหลงเหลืออยู่จางๆ ยืนจุดบุหรี่อยู่ริมหน้าต่าง “พ่อบ้านฉิน?”
“คุณชายหก” พ่อบ้านฉินมองคนที่สัญจรและกลับมาได้สติในที่สุด “เมื่อกี้ผมเพิ่งเจอเสี่ยวเฉิงคนที่นายน้อยสองพูดถึงเป็นประจำ คุณรู้ไหมว่าเขาเป็นใคร?”
ฉินซิวเฉินพ่นควันออกมา
อารมณ์แย่ๆ บนใบหน้าค่อยๆ หายไปเมื่อได้ยินพ่อบ้านฉินพูด คิ้วกระตุก
ฉินฮั่นชิวเคยพูดถึงเสี่ยวเฉิงอยู่หลายครั้ง วันนี้เขายิ่งได้ยินมาแล้วหลายครั้งตอนที่อยู่โรงพยาบาล แม้เขาจะรู้เรื่องสถาบันวิจัยทางการแพทย์ไม่มาก แต่ก็พอจะเดาได้บ้าง
“พ่อบ้านฉิน เขาคือ…คนของตระกูลเฉิงงั้นเหรอ?” ฉินซิวเฉินเดา
พ่อบ้านฉินเดินออกจากประตูแผนกผู้ป่วยใน ลมหนาวด้านนอกหนาวสะท้านกระดูก สมองเขาเริ่มปลอดโปร่ง “ไม่ใช่แค่เท่านั้น คุณเชื่อไหมว่านายน้อยสองเรียกทายาทตระกูลเฉิงว่าเสี่ยวเฉิงมาโดยตลอด”