เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่445เจ๊หร่านฉันเข้าร่วม
“ติ๊ง——”
ประตูลิฟต์เปิด ฉินหร่านสาวเท้าเดินเข้าไป
พ่อบ้านฉินตามฉินหร่านเข้าไป เมื่อผ่านช่องประตูลิฟต์ที่กำลังปิดลงก็เห็นคุณชายสี่ตระกูลฉินและคนอื่นๆ ออกจากห้องประชุมมาพอดี
จนกระทั่งประตูลิฟต์ปิดหมดแล้ว พ่อบ้านฉินถึงจะละสายตา ส่ายหน้าพร้อมกับพูดด้วยความท้อแท้ “ไม่ได้หรอกครับ คุณชายน้อยจะเข้าร่วมไม่ได้ เขาต้องพักผ่อนไปอีกสองถึงสามเดือน”
การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะส่งผลต่อระบบประสาทอย่างมาก
แม้ยาที่สถาบันวิจัยจัดหาให้จะมีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูมากเพียงใด แต่พ่อบ้านฉินก็ไม่ยอมให้ฉินหลิงต้องมาเสี่ยง
เสียงฉินหร่านยังคงนิ่ง แววตาล้ำลึก “ไม่ได้บอกว่าให้เขาไปเสียหน่อย”
วันนี้วันเสาร์ ที่บริษัทจึงไม่ค่อยมีคนอยู่ ลิฟต์มาถึงที่ชั้นหนึ่งอย่างรวดเร็ว
พ่อบ้านฉินเบิกตาโพลงด้วยความตกตะลึง เขาเดินตามฉินหร่านออกประตูใหญ่มาติดๆ เห็นเฉิงมู่จอดรถอยู่ฝั่งตรงข้าม “แต่ว่า…คุณชายไม่ไป แล้วใครจะไป…”
ฉินหร่านหัวเราะเบาๆ ดวงตาดำขลับกลับไม่มีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่
เธอสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อโค้ต หยุดอยู่ที่ข้างรถและเงยหน้ามองพ่อบ้านฉิน พูดด้วยเสียงที่เย็นเฉียบ “ฉัน”
พอพูดเสร็จก็เอื้อมมือเปิดประตูฝั่งข้างคนขับและเดินอ้อมไปนั่งที่เบาะหลัง
ทว่าพ่อบ้านฉินยังยืนอยู่กับที่ สายตาที่แข็งค้างราวกับไร้การตอบสนอง
เฉิงมู่รอมาสิบกว่านาทีแล้ว จึงเรียกเสียงดังขึ้น “พ่อบ้านฉิน?”
“เอ๊ะ?” พ่อบ้านฉินรู้สึกตัวก็นั่งข้างคนขับตัวเบาโหวง
หลังจากผ่านไปได้สามนาที เขาก็ได้สติกลับมา มองฉินหร่านผ่านกระจกมองหลัง อีกฝ่ายนั่งเอนกายพิงประตูรถอย่างเกียจคร้าน ถือเอกสารพิมพ์ที่เรียบเรียงไว้อย่างดีอยู่ในมือและหลุบตาลงเปิดอ่านเนื้อหาในเอกสาร มองแววตาที่อยู่ใต้ล่างไม่ชัดเจน
ช่างซับซ้อนเหลือเกิน
แหย่ไม่ได้เลยจริงๆ
พ่อบ้านฉินไม่กล้าซักไซ้ ได้แต่คิดไปต่างๆ นานาเป็นอย่างที่เขาคิดอยู่หรือเปล่า?
ฉินหร่านบอกว่าเธอจะเข้าร่วมการคัดเลือกแทนฉินหลิง?
แล้ว…
ที่สำคัญคือ…เธอทำได้จริงไหม?
**
ชั้นบน
ทางเข้าลิฟต์
คุณชายสี่ตระกูลฉินและลูกน้องที่ตามอยู่ข้างๆ ได้ยินบทสนทนาที่พ่อบ้านฉินคุยกับฉินหร่านอย่างชัดเจน
“คุณชายสี่ ที่พวกพ่อบ้านฉินพูดหมายถึงอะไร?” ลูกน้องคุณชายสี่ตระกูลฉินมองลิฟต์ที่ลงไปถึงชั้นหนึ่ง เสียงของเขาหยุดชะงักเล็กน้อย
คุณชายสี่ตระกูลฉินย่นหัวคิ้ว
พ่อบ้านฉินนั้นไม่มีอะไร แต่หลักๆ คือท่าทีฉินหร่านทำให้คนยากที่จะเข้าใจ เธอนิ่งไปหน่อย…
“อาการบาดเจ็บของฉินหลิง นายแน่ใจนะ?” คุณชายสี่ตระกูลฉินหมุนตัวเดินไปทางห้องทำงานของตัวเอง
ลูกน้องพยักหน้าพูดด้วยความเคารพ “เขาผ่าตัดเปิดกะโหลก คงไม่ฟื้นตัวเร็วขนาดนั้นหรอกครับ”
คุณชายสี่ตระกูลฉินก็เชื่อว่าเขาไม่ได้ตรวจสอบมาผิด วันนี้เขาเห็นความกังวลของพ่อบ้านฉินผ่านทางแววตา “งั้นก็ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องไปสนใจว่าพวกเขาจะใช้ลูกไม้อะไร ฉินเจาทำตามที่ฉันหวังไว้จริงๆ เหี้ยมเหลือเกิน”
คุณชายสี่ตระกูลฉินเริ่มอารมณ์ดีขึ้นมา
อุตส่าห์เลี้ยงดูฉินเจามานาน อีกฝ่ายถือว่าช่วยเขาขจัดปัญหาใหญ่ไปแล้วหนึ่งอย่าง
ตั้งแต่รู้ถึงการมีตัวตนของฉินหลิง คุณชายสี่ตระกูลฉินก็นั่งไม่ติดที่
สำหรับคุณชายสี่ตระกูลฉินแล้ว ฉินฮั่นชิวกับฉินซิวเฉินยังไม่ได้เก่งพอที่จะทำให้เขารู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม คนที่ทำให้เขารู้สึกถึงการคุกคามมีเพียงคนเดียวนั่นก็คือฉินหลิงผู้ที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นตั้งแต่อายุยังน้อย
ตอนนี้ฉินหลิงไม่มีทางออกงานได้แน่ๆ คุณชายสี่ตระกูลฉินจึงรู้สึกผ่อนคลายภายในพริบตา
เพราะถึงอย่างไรเสียเขาก็ไม่คิดจะปล่อยหุ้น10%และตำแหน่งผู้สืบทอดไปอย่างแน่นอน
**
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เฉิงมู่ก็ขับรถมาถึงโรงพยาบาล
พ่อบ้านฉินลงจากรถแล้ว แต่ฉินหร่านไม่ลง ตอนนี้เหลืออีกไม่นานก็จะถึงเวลาที่เธอนัดกับลู่จ้าวอิ่งไว้
หน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาลจอดรถนานไม่ได้ พ่อบ้านฉินปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับเสร็จ เฉิงมู่ก็สตาร์ทรถทันที
พ่อบ้านฉินยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาล รอจนมองไม่เห็นรถเฉิงมู่แล้ว เขาถึงจะหันเข้าไปข้างใน
เมื่อคืนผู้จัดการฉินซิวเฉินได้พักผ่อนมาทั้งคืนแล้ว ตอนนี้เขาเพิ่งกลับมาจากสตูดิโอด้วยความแจ่มใส
เขาจอดรถเสร็จก็เห็นพ่อบ้านฉินกำลังเดินอยู่บนถนนใหญ่ด้วยหัวใจที่หนักอึ้ง
“พ่อบ้านฉิน” ผู้จัดการเดินไปไม่กี่ก้าวก็มาอยู่ข้างพ่อบ้านฉิน ปลอบใจเขา “ผู้อำนวยการเฉิงก็บอกแล้วไงว่าเสี่ยวหลิงไม่เป็นไร คุณอย่ากังวลไปเลย”
“ผมไม่ได้กังวลเรื่องนี้” ผู้จัดการก็เป็นคนที่รู้จักมักจี่กันมานาน เขารู้เรื่องของตระกูลฉินเกือบทุกอย่าง พ่อบ้านฉินจึงไม่ได้ปิดบังเขา เล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ “ความจริงแล้วผู้ถือหุ้นพวกนั้นไม่เห็นด้วย เดิมทีผมตั้งใจจะสละโอกาสนี้ไป แต่คุณหนูบอกว่าเธอจะเข้าร่วมคัดเลือกแทนคุณชายน้อย…”
ฉินซิวเฉินคุยกับเขามาหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ห้ามไปรบกวนฉินหร่าน
ตอนนี้ทุกเรื่องของฉินหลิงล้วนเป็นฉินหร่านกับ…คนที่คอยดูแลท่านนั้น และเธอยังต้องมาเคลียร์ปัญหาเลอะเทอะพวกนี้อีก
พ่อบ้านฉินสูดหายใจ
“หลานสาวตัวน้อยบอกว่าเธอจะเข้าร่วมการคัดเลือกแทนฉินหลิงหรอ?” ผู้จัดการรู้ดีว่าฉินหลิงจะเข้าร่วมการคัดเลือกผู้สืบทอด แต่พอได้ยินที่พ่อบ้านฉินพูด เขาก็นิ่งไปสักพักและพูดด้วยความตื่นเต้น “เป็นเรื่องดี!”
พ่อบ้านฉินมองผู้จัดการที่กำลังตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก “? ? ?”
“หลานสาวตัวน้อยเล่าให้คุณฟังด้วยเหรอว่าเธอเขียนโปรแกรมเป็น?” ผู้จัดการคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ก็ไพ่เทพเกมท่องยุทธภพนั่นน่ะ การเคลื่อนไหวและความเชี่ยวชาญทางเทคนิคล้วนเป็นโปรแกรมที่เธอเขียนไว้เมื่อสี่ปีก่อน พูดแล้วก็ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นคนวาดรูปไพ่เทพสามใบนั้นด้วยมั้ง…”
ผู้จัดการชะงักเมื่อพูดถึงตรงนี้ เขาไม่ได้คิดเยอะอะไร แค่ตบไหล่พ่อบ้านฉิน
พ่อบ้านฉินเบลออยู่หน่อยๆ เขาเงยหน้าด้วยความตกใจ “คุณบอกว่าคุณหนูยังเขียนโปรแกรมเป็นด้วยเหรอครับ? เธอเรียนเอกฟิสิกส์ไม่ใช่เหรอ?”
และยังเก่งมากอีกด้วย
“ใช่แล้ว ฝีมือน่าจะไม่เลวเลยทีเดียว” ผู้จัดการส่ายหน้า “ผมไม่รู้ว่าการคัดเลือกของพวกคุณจะออกโจทย์ยากแค่ไหน แต่การที่เธอยินดีเข้าร่วมก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”
ผู้จัดการไม่ค่อยรู้เรื่องการเขียนโปรแกรมและไม่รู้ว่าฉินหร่านไปถึงขั้นไหนแล้ว แต่ถึงอย่างไรตระกูลฉินก็เคยมาถึงจุดสูงสุดของสายงานนี้ คนเลวก็มีไม่น้อย การคัดเลือกก็ยิ่งผิดแผกออกไป ผู้จัดการเองก็ไม่รู้ว่าฉินหร่านจะผ่านมันไปได้หรือไม่
นี่ไม่ใช่เรื่องเหลวไหล
พอเขาพูดจบ พ่อบ้านฉินก็ไม่มีการตอบสนอง
ตอนนี้พ่อบ้านฉินมีแต่ความวุ่นวายอยู่ในหัว เขายังจนปัญญาที่จะเชื่อว่าฉินหร่านเขียนโปรแกรมได้ พึมพำกับตัวเอง “เขียนโปรแกรมได้ตั้งแต่สี่ปีก่อน…”
สี่ปีที่แล้วเธออายุแค่สิบหกเอง ไม่ว่าจะเขียนโปรแกรมอะไร พอมาอายุเท่านี้ก็สามารถเขียนได้หมดแล้ว นั่นก็แสดงให้เห็นว่าเธอมีพรสวรรค์…
ถ้านายท่านยังอยู่ ถ้าเธอได้รับการฝึกฝนอย่างดีจากตระกูลฉินล่ะก็…
**
ทางด้านนี้
ฉินหร่านมาถึงร้านอาหารที่นัดกับลู่จ้าวอิ่งไว้แล้ว
ร้านอาหารอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลมากนัก
ลู่จ้าวอิ่งกับคุณแม่ลู่มาถึงที่ห้องอาหารเรียบร้อยแล้ว ฉินหร่านดึงผ้าพันคอขึ้นมาคลุมเกือบครึ่งหน้า เผยให้เห็นดวงตาที่มืดมนและเยือกเย็นคู่หนึ่ง เธอบอกชื่อห้องให้กับพนักงานและปล่อยพนักงานพาตัวเองไปที่หน้าประตูห้องอาหาร
ตอนที่พนักงานกำลังจะไป ก็อดด้อมๆ มองๆ มาทางฉินหร่านไม่ได้ “คุ้นจัง…”
ภายในห้องอาหาร
คุณแม่ลู่เดินไปเดินมาอยู่ในห้องอาหาร
ลู่จ้าวอิ่งนั่งอยู่ริมหน้าต่าง เขาพิงพนักเก้าอี้พลางเล่นโทรศัพท์มือถือ “แม่ฮะ แม่อย่าเดินไปเดินมาเลย ผมเห็นแล้วเวียนหัว”
ใกล้จะถึงเที่ยงครึ่งขึ้นมาทุกทีแล้ว ตอนนี้เธอจึงไม่ได้คิดถือสาหาความกับลู่จ้าวอิ่ง เพียงกลอกตาใส่เขา
ยังไม่ทันได้พูดก็มีเสียงเคาะประตู
คุณแม่ลู่รีบวางท่วงท่าสง่างามเพียบพร้อมไปด้วยความเป็นกุลสตรีอย่างรวดเร็ว เธอเหลือบมองลู่จ้าวอิ่ง ใช้สายตาส่งสัญญาณให้เขารีบไปเปิดประตูให้ไว
ลู่จ้าวอิ่ง “…”
เขาเดินไปเปิดประตู
ฉินหร่านเดินเข้ามา
คุณแม่ลู่ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน ท่วงท่าสง่างาม อากัปกิริยาผู้ดีมีระดับ “หนูก็คือคุณหนูฉินใช่ไหมจ๊ะ ฉันเป็นแม่ของลู่จ้าวอิ่ง”
ฉินหร่านเอื้อมมือดึงผ้าพันคอลง พยักหน้าให้เธออย่างมีมารยาท “คุณเรียกชื่อหนูถูกแล้วค่ะ”
ทั้งสามคนนั่งลง
ลู่จ้าวอิ่งรู้รสปากของทั้งสองคนดี หลังจากหยิบระบบอัจฉริยะบนโต๊ะมาสั่งอาหารเสร็จก็มองมาที่ทั้งสองคน สุดท้ายก็หยุดสายตามาทางฉินหร่าน นั่งไขว่ห้างแล้วยิ้ม “ฉันบอกแล้วไงว่าพวกเธอเหมือนกันมาก”
“หร่านหร่านกินนี่สิ” คุณแม่ลู่คีบกระดูกซี่โครงให้ฉินหร่าน พูดด้วยเสียงที่อ่อนโยนขั้นสุด “นี่เป็นอาหารแนะนำ”
“ขอบคุณค่ะ” ฉินหร่านกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
ตอนที่อยู่ที่บ้าน คุณแม่ลู่รู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก แต่พอได้มาเจอฉินหร่านจริงๆ เธอกลับสำรวมกิริยาขึ้นมา
ลู่จ้าวอิ่งอดถูแขนไม่ได้ “แม่ฮะ แม่อย่าเป็นแบบนี้ ผมกลัว”
“แกมัน...” คุณแม่ลู่ขบฟันพูด อยากด่าไปสักประโยคตามความเคยชิน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับดวงตามืดมนและเยือกเย็นของฉินหร่านแล้ว เธอก็ยิ้มหน่อยๆ “เสี่ยวลู่ กินผักสิ”
เธอคีบผักใบเล็กๆ ให้ลู่จ้าวอิ่ง
ตอนที่คุณแม่ลู่ลาจากฉินหร่านก็คิดจะช่วยฉินหร่านจัดผ้าพันคอ ฉินหร่านถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว
ลู่จ้าวอิ่งไปส่งฉินหร่านที่โรงพยาบาลและถือโอกาสไปเยี่ยมฉินหลิง คุณแม่ลู่จึงส่งสายตามองพวกเขาจากไป
“คุณนาย ตอนนี้จะไปที่ไหนครับ?” คนขับรถตระกูลลู่เดินออกมาจากที่นั่งคนขับ เขาเปิดประตูเบาะหลังและถามด้วยความเคารพ
คุณแม่ลู่ไม่ตอบ เธอรอจนแผ่นหลังทั้งสองหายลับไปก่อนจะเงยหน้าขึ้นมา กางมือขวา
คนขับรถมองตามสายตาเธอไปแล้วก้มหน้ามอง ในมือคุณแม่ลู่มีผมเส้นหนึ่ง
“กลับเถอะ” คุณแม่ลู่นั่งเบาะหลัง วางกระเป๋าไว้บนตัก เปิดซิปออก หยิบกระดาษเช็ดมือมาห่อผมของเธอและใส่ไว้ในกระเป๋าด้านในสุดอย่างระมัดระวัง
จากนั้นหยิบโทรศัพท์ออกมาและหาเบอร์โทรศัพท์ท้องถิ่นของรัฐM ส่งข้อความไป——