เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ - ตอนที่446สถานะหนังสือเล่มดำ
(ย่าเล็กคะ คุณช่วยถ่ายรูปที่อยู่ในมืออาเขยมาให้ฉันใบนึงได้ไหมคะ?)
คุณแม่ลู่มีฐานะทั่วไป ไม่ได้มาจากตระกูลผู้ดี ตอนแรกๆ ผู้อาวุโสตระกูลลู่ต่างก็ไม่ชอบเธอ
คุณพ่อลู่เกือบแตกหักกับตระกูลลู่แล้ว
ตอนนั้นย่าเล็กที่แต่งงานอยู่ต่างประเทศกลับมา อีกฝ่ายพูดเพียงประโยคเดียว คนตระกูลลู่กลุ่มนั้นก็ไม่กล้าหายใจเลยด้วยซ้ำ
ย่าเล็กตระกูลลู่คนนั้นแต่งงานกับบุคคลลึกลับและยังเป็นคนรัฐM
คุณแม่ลู่ก็ไม่รู้ว่าปู่เล็กคนนั้นเป็นคนยังไงมาจนถึงทุกวันนี้ รู้แค่ว่าปู่เล็กแซ่ถัง
ด้วยการมีย่าเล็กคอยหนุนหลัง สถานะคุณแม่ลู่ในตระกูลลู่จึงเปลี่ยนไป
แม้กระทั่งทุกวันนี้ คนอื่นๆ ในตระกูลลู่ยังเกรงกลัวครอบครัวพวกเขามาก
ต่อมาเมื่อลู่จ้าวอิ่ง เฉิงเจวี้ยน และเจียงตงเยี่ยสนิทสนมกัน ตระกูลลู่ก็ยิ่งหวาดกลัวพวกเขามากขึ้น
คุณแม่ลู่ไม่ค่อยรู้เรื่องของคนรุ่นก่อนมากนัก รู้แค่ว่าย่าเล็กท่านนั้นของเธอมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับตระกูลลู่ แต่ย่าเล็กกลับดีกับเธอมาก มิฉะนั้นคงไม่ออกตัวช่วยเธอในช่วงเวลานั้น
จนท้ายที่สุด ตอนที่อาหญิงรับเธอไปเที่ยวรัฐM คุณแม่ลู่ถึงเพิ่งเข้าใจสาเหตุจากอาหญิง หน้าตาเธอมีส่วนคล้ายใครคนหนึ่งในอัลบั้มรูปของอาเขย
ย่าเล็กยังให้เธอดูรูปนั้น
เธอแค่บังเอิญหน้าเหมือน
แต่เมื่อเห็นฉินหร่านกับฉินหลิงผ่านทางทีวีกลับเหมือนยิ่งกว่า
ภาพในทีวีล้วนเป็นฟิลเตอร์ พอได้มาเจอฉินหร่านตัวจริง ออร่าหน้าตาก็แทบถอดแบบกันออกมา
พอคิดถึงตรงนี้ คุณแม่ลู่ก็นึกถึงฉินหลิงขึ้นมา เด็กคนนั้นประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์…
ยิ่งคนของตระกูลใหญ่ๆ ในเมืองหลวง ไม่รู้ว่ามีการต่อสู้ทั้งหน้าและลับหลังกันมากน้อยเพียงใด
คุณแม่ลู่ขมวดคิ้ว เธอได้ยินลู่จ้าวอิ่งบอกว่าฉินหลิงเป็นทายาทสายตรงของตระกูลฉิน อุบัติเหตุทางรถยนต์ครั้งนี้ย่อมไม่ธรรมดา
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในขณะนี้
คุณแม่ลู่หยิบขึ้นมารับสาย คุยกับอีกฝ่าย
**
ฉินหลิงฟื้นขึ้นมาตอนบ่ายสามโมง
หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว ควีนจิ่งกับเถียนเซียวเซียวและคนอื่นๆ ก็เข้ามาเยี่ยม
ในห้องผู้ป่วยมีคนเข้ามาไม่ขาดสาย แต่สภาพฉินหลิงนั้นดีมาก คุณหมอจึงไม่ได้ห้ามคนมาเยี่ยม
ตอนที่เฉิงเจวี้ยนมารับฉินหร่านตอนเย็นก็ถือโอกาสมาเยี่ยมฉินหลิงด้วย เมื่อแน่ใจแล้วว่าอาการฉินหลิงคงที่แล้วก็มอบหมายให้เฉิงเว่ยผิงดูแลฉินหลิงต่อ
เขาถึงกลับไปพร้อมฉินหร่าน
ทั้งสองออกจากห้องไปแล้ว แต่ผู้จัดการที่นั่งบนโซฟาห้องผู้ป่วยยังเอาแต่จับจ้องเฉิงเจวี้ยนอยู่ตลอดเวลา ลืมกินแม้กระทั่งแอปเปิลที่อยู่ในมือ
พ่อบ้านฉินตามฉินหร่านกับเฉิงเจวี้ยนไปส่งข้างนอก พอกลับมาเห็นสภาพผู้จัดการก็อดตบไหล่เขาไม่ได้ พูดอย่างผู้มีประสบการณ์ “คุณชายหกน่าจะยังไม่ได้บอกคุณสินะ นั่นก็คือคนคนนั้นที่คุณคิด คุณไม่ได้ดูผิดไปหรอก”
เขาพูดจบก็ไม่ได้สนใจท่าทีผู้จัดการ บอกฉินฮั่นชิวว่า “นายน้อยสอง ผมจะกลับไปหาคุณคุคเสียหน่อย”
ตอนแรกเขาคิดว่าฉินหร่านเพียงแค่จะเข้าร่วมการคัดเลือกผู้สืบทอดแทนฉินหลิงไปตามอารมณ์ แต่ตอนเที่ยงผู้จัดการบอกเขาว่าฉินหร่านไม่ได้ทำไปตามอารมณ์ อีกทั้งเธอยังมีพรสวรรค์เกินที่เขาคาดเอาไว้ พ่อบ้านฉินจึงต้องไปพบคุคเพื่อให้เขาจัดเนื้อหาการคัดเลือกให้ฉินหร่าน
ถ้าหาก…
ฉินหร่านก็สามารถผ่านมันไปได้ล่ะ?
พ่อบ้านฉินคิดไปด้วยขณะที่เดินทางกลับไปยังเขตที่พักอวิ๋นจิ่น เคาะประตูห้องคุคเพื่อจะคุยเรื่องนี้กับเขา
“คุณเข้ามาก่อนสิครับ” คุคได้ยินว่าฉินหลิงประสบอุบัติเหตุแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยดี เมื่อคืนจึงไปเยี่ยมฉินหลิง เขาเบี่ยงตัวให้พ่อบ้านฉินเข้ามาในห้อง หยิบคอมพิวเตอร์ออกมา “นี่คือขั้นตอนการปฏิบัติที่ผมช่วยฉินหลิงจัดทำ”
คุคเปิดโฟลเดอร์ในคอมพิวเตอร์ของตัวเองและพิมพ์ข้อมูลทั้งหมดที่อยู่ในนั้นออกมา
เนื้อหาที่เขาให้ฉินหลิงมีเยอะมาก จึงพิมพ์ออกมาช้าๆ ทีละแผ่น
พ่อบ้านฉินรออยู่ช่วงเวลาหนึ่ง คุคนำหนังสืออีกสองสามเล่มที่อยู่อีกด้านให้พ่อบ้านฉิน “นี่คือหนังสือของเสี่ยวหลิง”
พ่อบ้านฉินรับมา
รอต่ออีกสองนาทีกองเอกสารหนาๆ ก็พิมพ์เสร็จ คุคเข้าไปจัดเรียง พ่อบ้านฉินรีบวางหนังสือไว้บนโต๊ะ “คุณคุค ให้ผมจัดก็ได้”
เขาเย็บเข้าเล่มออกเป็นสามชุดตามจำนวนหน้า
ตอนที่หันกลับมาก็เผลอไปชนกับหนังสือสี่เล่มที่อยู่ริมโต๊ะ
หนังสือกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
พ่อบ้านฉินจึงรีบคุกเข่าหยิบหนังสือขึ้นมาทีละเล่ม
ฉินหลิงมีหนังสือจิปาถะค่อนข้างเยอะและยังมีหนังสือโปรแกรมพื้นฐานอยู่บางส่วน ทั้งหมดล้วนเป็นหนังสือที่ดี นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุคคิดอยู่เสมอว่ามีคนอยู่เบื้องหลังฉินหลิง แต่ทั้งหมดนี้เป็นหนังสือเพิ่มระดับพื้นฐาน คุคจึงไม่ได้ใช้เป็นธรรมดาและไม่ได้เปิดหนังสือฉินหลิงอ่าน
ขณะนี้พ่อบ้านฉินทำหนังสือยุ่ง
หนังสือเล่มดำเล่มนั้นมีเส้นตรงเพียงไม่กี่เส้นบนหน้าปก คำว่า “black” ที่เขียนบนนั้นปรากฏอยู่ต่อหน้าคุค
มือคุคถึงกับชะงัก
“พ่อบ้านฉิน ให้ผมยืมหนังสือเล่มนี้ของเสี่ยวหลิงมาดูหน่อยได้ไหมครับ?” คุคเงยหน้าพลางมองพ่อบ้านฉินโดยไม่ขยับเขยื้อน
“แน่นอนครับ” เขาเป็นถึงครูของฉินหลิง พ่อบ้านฉินไม่มีทางปฏิเสธ
เขายื่นหนังสือเล่มสีดำให้คุค
พ่อบ้านฉินเห็นท่าทีของคุคต่างไปจากเดิม โดยหลักแล้วคุคจะดูเป็นคนเก่งมาก นอกจากพูดถึงเรื่องอวิ๋นกวงกรุ๊ปแล้ว ท่าทีของเขาก็แทบไม่เปลี่ยนแปลงเลย “คุณคุค หนังสือเล่มนี้…”
“ขอผมแน่ใจก่อน” คุคจับหนังสือแน่น ตาสีน้ำตาลอ่อนของเขาเป็นประกายด้วยความตกใจเล็กน้อย
**
วันรุ่งขึ้น
วันจันทร์
ฉินหร่านไปถึงห้องปฏิบัติการเวลาหกโมงเช้าเหมือนเดิม
วันนี้เธอยังคงมาตั้งแต่เช้า และทั้งสามคนก็มาถึงห้องปฏิบัติการกันแล้ว
นักวิจัยเลี่ยวกับพวกรุ่นพี่เยี่ยสามคนต่างกับฉินหร่าน พวกเขาแทบจะไม่ได้พักผ่อนในวันหยุดเสาร์อาทิตย์เลย
เมื่อเห็นฉินหร่านเข้ามา นักวิจัยเลี่ยวที่กำลังยุ่งอยู่ข้างในและจั่วชิวหรงที่กำลังรวบรวมข้อมูลก็ชะงักโดยไม่รู้ตัว มองมาทางฉินหร่าน
วันนี้ห้องปฏิบัติการมีคนเพิ่มมาหนึ่งคน
ชายวัยกลางคนที่กำลังถือข้อมูลการทดลองยืนอยู่ข้างนักวิจัยเลี่ยวก็มองมาทางฉินหร่านเช่นกัน
“นั่นคือเพื่อนของนักวิจัยเลี่ยว หนึ่งในห้านักวิจัยใหญ่ประจำห้องปฏิบัติการ นักวิจัยลู่…” รุ่นพี่เยี่ยกระซิบแนะนำข้างหูฉินหร่าน
ฉินหร่านผงกหัวหน่อยๆ วางกระเป๋าเป้ไว้บนโต๊ะด้วยสีหน้าเรียบเฉย เธอยื่นมือเปิดซิปกระเป๋าเป้แล้วหยิบรายงานผลการสำรวจเครื่องปฏิกรณ์ชั้นใต้ดินที่นักวิจัยเลี่ยวต้องการให้เธอเขียนออกมาจากในกระเป๋า
“เธอเขียนเสร็จแล้ว?” รุ่นพี่เยี่ยเหลือบดูรายงานการวิจัย
“อื้อ คุณจะดูหน่อยไหม?” ฉินหร่านยื่นให้รุ่นพี่เยี่ย
รุ่นพี่เยี่ยส่ายหน้าแล้วยิ้ม “ฉันน่าจะดูสิ่งที่เธอเขียนไม่ออก เอาไปให้นักวิจัยเลี่ยวสิ”
ฉินหร่านพยักหน้า เธอหดมือกลับและเดินเข้าไปชั้นในสุด จากนั้นก็ยื่นผลการวิจัยให้นักวิจัยเลี่ยว
นักวิจัยเลี่ยววางสิ่งที่อยู่ในมือ รับมาเปิดอ่านโดยตรง
นักวิจัยลู่ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาโน้มตัวลงมาทันที พูดเบาๆ ว่า “นั่นคงเป็นฉินหร่านสินะ เธอเขียนวิจัยอะไรอีกน่ะ ฉันดูหน่อย”
พูดไปได้ครึ่งทาง คำพูดนักวิจัยลู่ก็ถูกอุดไว้