เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 216
ไม่กี่วันต่อมา กลุ่มของเจียงอี้ก็ได้เผชิญหน้ากับกลุ่มย่อยอีกหลายกลุ่มและยังคงได้รับชัยชนะเรื่อยมา
หยุนเฟยครอบครองกายวิญญาณพฤกษาทำให้สามารถรับรู้ทุกสิ่งในระยะห้าสิบกิโลเมตรรอบป่าได้ ด้วยความสามารถอันขี้โกงนี้ทำให้พวกเขาได้เปรียบอยู่เสมอ
แน่นอนว่าจำนวนของพวกเขาเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นแล้วนับว่าน้อยจนน่าใจหาย แต่ถ้าหากคำนวณเพียงแค่กำลังรบ ก็มีน้อยกลุ่มนักที่จะเทียบพวกเขาได้
สงครามราชอาณาจักรในครานี้มีองค์ชายมาเข้าร่วมเพียงแค่สองคนเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือองค์ชายหยุนเฮ่อแห่งอาณาจักรเทียนเซวี่ยนที่ถูกเจียงอี้สังหารไปแล้ว ส่วนอีกหนึ่งก็คือเซี่ยเถียน องค์ชายแห่งอาณาจักรเสินหวู่
ภายในสงคราม กองกำลังต่างๆมีขนาดแตกต่างกัน มีตั้งแต่กองกำลังที่มีสมาชิกสิบคน, ร้อยคนไปจนถึงหลักพัน แต่ถึงอย่างนั้นแม้ว่าจะเป็นกองกำลังที่มีสมาชิกนับพัน บางกลุ่มก็ยังไม่สามารถเทียบแสนยานุภาพของกองกำลังของเจียงอี้ได้
ความแข็งแกร่งโดยเฉลี่ยของเหล่าหญิงสาวจากหอดาราสุ่ยเยว่อยู่ที่ขั้นที่สองหรือสามขอบเขตเสินโหยว หากจัดตั้งค่ายกลสุ่ยเยว่ก็จะทำให้พลังของพวกนางถูกยกระดับไปถึงขั้นที่สามหรือสี่ของขอบเขตเสินโหยวเลยทีเดียว
หลังจากที่ร่วมมือกับกลุ่มของกู่เท่อและคนที่เหลือ กำลังรบโดยรวมของคนกลุ่มนี้ก็สามารถสยบกลุ่มอื่นๆได้อย่างง่ายดาย
ทุกครั้งที่เกิดสงคราม เจียงอี้จะส่งนักสู้จากหอดาราสุ่ยเยว่และพวกกู่เท่อไปเป็นแนวหน้าโดยที่พวกเขาจะเฝ้าดูอยู่ด้านหลังเสมอ
หากว่าฝ่ายศัตรูมีจำนวนมากเกินไป เขาถึงจะขอให้จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยส่งคนของตัวเองไปช่วยรบ แต่เมื่อได้รับสินสงครามมา ของทั้งหมดก็จะถูกแบ่งกับให้ทั้งสองคนเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้ทำให้คนของหอดาราสุ่ยเยว่และพวกของกู่เท่อบันดาลโทสะจนควันแทบออกหู
ผ่านไปอีกสิบวัน…
หลังจากที่กลุ่มของเจียงอี้ทำศึกมาหลายสิบครั้ง พวกเขาก็ได้รับเหรียญตรามาหลายพันเหรียญซึ่งก็หมายความว่า มันคงจะไม่ใช่เรื่องน่าแปลกนักหากเจียงอี้จะกลายเป็นอันดับหนึ่ง!
สงครามราชอาณาจักรย่อยมีผู้เข้าร่วมมากถึงหกหมื่นถึงเจ็ดหมื่นคน และเจียงอี้ได้รับเหรียญมาแล้วไม่ต่ำกว่าหนึ่งหมื่นเหรียญ
ในความเป็นจริง หากว่าหยุนเฮ่อยังไม่ตาย กลุ่มของเขาก็คงมีศักยภาพมากพอที่จะกวาดล้างทุกกลุ่มที่อยู่ในที่ราบหินผลึกและคว้าอันดับหนึ่งได้อย่างไม่ยากเย็น
ช่วงหลังมานี้ กองกำลังของเจียงอี้เคยเผชิญหน้ากับกองกำลังใหญ่หลายครั้ง หนึ่งในนั้นก็รวมไปถึงกลุ่มของนักบวชจากอารามเซน แต่เป็นเพราะเขาไม่ต้องการที่จะทำศึกใหญ่โดยไม่จำเป็น
ดังนั้นเมื่อเจอคนเหล่านั้น พวกเขาก็จะหลีกเลี่ยงทันทีเมื่อหยุนเฟยตรวจสอบเจอ
นอกจากนี้พวกเขายังเคยเจอกับกองกำลังของตระกูลเฉียน, ตระกูลอิง, ตระกูลหลงและตระกูลไท่สื่อ แต่เจียงอี้ก็ไม่ต้องการที่จะติดต่อกับพวกเขาเพื่อหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ดังนั้นจึงได้หลบเลี่ยงพวกเขาเช่นกัน
ช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา มีหญิงสาวแปดคนของหอดาราสุ่ยเยว่ตกตายไประหว่างการต่อสู้ทำให้สุ่ยจงฮวาจ้องมองไปยังเจียงอี้ด้วยสายตาที่มีเลศนัย
แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากสุ่ยโย่วหลานโดยตรง แม้ว่าพวกนางจะต้องต่อสู้จนเหลือเพียงคนสุดท้าย พวกนางก็จะต้องฟังคำสั่งของเจียงอี้และพาเขาขึ้นสู่อันดับหนึ่งให้จงได้
ทางฝั่งของกู่เท่อก็มีสองสามคนที่ตายไปแล้วเช่นกัน แต่หยุนเฟยก็หาได้สนใจไม่ ตราบใดที่ไม่ใช่สมาชิกหลักอย่างกูเท่อกับหั่วซู่ ไม่ว่าใครจะตายไปก็ไม่ใช่ปัญหาทั้งสิ้น
แต่เมื่อคนของจ้านอู๋ซวงเกิดเหตุไม่คาดฝันและสิ้นชีพไป เจียงอี้กลับรู้สึกผิดจนต้องเอ่ยขอโทษอยู่หลายครั้ง
นี่มันช่าง… ลำเอียงยิ่งนัก!
หลังจากที่พวกเขาสะสมเหรียญตราได้เป็นจำนวนมาก เจียงอี้ก็พาทุกคนเข้าไปพักในหุบเขาเล็กๆ นับจากนี้อีกสามสี่วันก็ครบหนึ่งเดือนพอดี เมื่อถึงตอนนั้นพวกเขาทั้งหมดก็จะถูกส่งกลับไปยังเมืองหลวงจักรวรรดิโดยอัตโนมัติ
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มของสุ่ยจงฮวาหรือกู่เท่อ พวกเขาทุกคนรู้สึกราวกับภาระถูกปลดเปลื้อง การต่อสู้ที่ผ่านมา พวกเขาจะเป็นต้องเสียเลือดเนื้อเพื่อเจียงอี้โดยไม่ได้รับค่าตอบแทน
ซึ่งถ้าหากพวกเขาต้องตาย นั่นก็หมายความว่าเป็นการตายอย่างไร้ค่า มันช่างน่าเศร้ายิ่งนัก…
หลังจากที่ชำระร่างกายในทะเลสาบเล็กๆ เจียงอี้ก็นำกระโจมออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงและนำมากางเป็นที่พัก จากนั้นก็นอนรอให้สงครามสิ้นสุดอย่างเงียบๆ
……
ครื้นนนนน!
สี่วันต่อมา ท้องนภาเหนือที่รอบหินผลึกเปล่งแสงราวกับฟ้าเปิดที่ไร้ซึ่งหมู่เมฆและหมอกควัน ลำแสงสีทองหลายสายยิงลงมาจากเบื้องบนและห่อหุ้มร่างของเหล่านักสู้ที่ยังคงมีชีวิตรอด วินาทีต่อมาพวกเขาก็หายตัวไปและไปปรากฏตัวอยู่ที่จัตุรัสกลางเมืองจักรวรรดิ
“ว้าว!”
จัตุรัสกลางเมืองเนืองแน่นไปด้วยผู้คน เมื่อเหล่าผู้รอดชีวิตปรากฏตัวขึ้น ความโกลาหลวุ่นวายก็บังเกิดขึ้นในทันที
สายตานับไม่ถ้วนจับจ้องไปยังร่างของเหล่าผู้รอดชีวิต แม้แต่พวกเขาเองก็ใช้สายตาสำรวจซึ่งกันและกันราวกับว่ากำลังมองหามิตรสหายเพื่อดูว่าพวกเขายังคงอยู่ดีหรือตกตายไปในสงคราม
“ลูกพี่! พี่อู๋ซวง!”
“พี่ใหญ่เจียงอี้! จ้านอู๋ซวง!”
เจ้าอ้วนเฉียนว่านก้วนและจ้านหลินเอ๋อร์โบกไม้โบกมือด้วยความตื่นเต้น หากไม่ใช่เพราะว่าถูกทหารของจักรวรรดิห้ามปรามเอาไว้ ป่านนี้พวกเขาก็คงจะรีบไปลงที่นั่นนานแล้ว
รองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆเองก็เผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ แม้ว่าสำนักจิตอสูรจะสูญเสียลูกศิษย์ไปบ้าง แต่จำนวนผู้รอดชีวิตก็ถือว่าสูงกว่าที่พวกเขาตั้งเป้าไว้
“ฟืดดดด…”
เจียงอี้และจ้านอู๋ซวงมองไปรอบๆก่อนที่จะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด พวกเขาหันไปมองท้องฟ้าอันสดใสและรู้สึกโล่งใจ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจียงอี้ที่รอดพ้นจากความตายมาหลายครั้ง มันทำให้เขารู้สึกว่าการมีชีวิตอยู่นี่มันดีจริงๆ
ดวงตาของเขากวาดมองกลุ่มของรองเจ้าสำนักฉี เฉียนว่านก้วนและจ้านหลินเอ๋อร์ แต่ไม่นานนักก็ต้องผิดหวังที่ไม่เห็นร่างอันคุ้นเคยท่ามกลางฝูงชน
ซูรั่วเสวี่ยไม่ได้มาส่งเขาก่อนเข้าร่วมสงครามและนางก็ไม่ได้อยู่ในวันที่เขากลับมาพร้อมกับชัยชนะ ดูเหมือนว่านางต้องการที่จะตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับเขาจริงๆ
“เจียงอี้!”
เสียงขบฟันที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังดังมาจากมุมหนึ่งของจัตุรัสทำให้เจียงอี้หันกลับไปมอง และเขาก็เจอเข้ากับจ่างซุนอู๋จี้และเซี่ยเถียนที่กำลังมองมาทางนี้ด้วยความโกรธ
ถึงอย่างนั้นเขาก็ทำเพียงแค่ส่งยิ้มให้กับทั้งสองอย่างเป็นมิตรและไม่ได้ให้ความสนใจอีก ซึ่งทำให้พวกเขาทั้งสองบันดาลโทสะจนเกือบจะกระโจนเข้าใส่เขาด้วยความแค้น
“จ้านอู๋ซวง?”
เมื่อเซี่ยเถียนเห็นจ้านอู๋ซวงกับเจียงอี้ยืนอยู่กับคนของหอดาราสุ่ยเยว่ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนโง่เขลาขนาดไหน เขาก็ตระหนักได้แล้วว่าเรื่องในวันนั้นคือการจัดฉาก แต่เป็นเพราะไม่มีหลักฐานใดๆยืนยัน เขาจึงทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนความแค้นกลับลงไป
ตึก! ตึก! ตึก!
ทันใดนั้น เสียงฝีเท้าก็ดังมาจากด้านหน้าของจัตุรัสกลางเมือง ขบวนทหารในชุดเกราะสีดำหลายนายกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ซึ่งนี่ก็คือขบวนขององค์หญิงแห่งจักรวรรดิผู้เลอโฉม
การปรากฏตัวของนางทำให้ความปั่นป่วนในจัตุรัสสงบลง สายตาของทุกคนจับจ้องไปยังทิศทางเดียวกันเพราะรู้ว่าเหตุการณ์สำคัญกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
“สงครามราชอาณาจักรสิ้นสุดลงแล้ว ข้าขอให้ผู้กล้าทุกท่านส่งเหรียญตราคืนมาด้วย หลังจากนี้จะเป็นการประกาศอันดับผู้ชนะสิบอันดับแรก รวมไปถึงการมอบรางวัล!”
บรรดาเจ้าหน้าที่ของจักรวรรดิต่างก็เดินออกมาและเริ่มทำการนับคะแนน นักสู้ที่เข้าร่วมสงครามทุกคนต่างก็เรียงแถวและส่งเหรียญตราให้กับคนเหล่านี้
“เซียนอวี๋ฉางแห่งอาณาจักรเป่ยเหลียง, หนึ่งพันหกร้อยเหรียญ, สี่พันสองร้อยหกสิบคะแนน!”
“ผู่เชอจวิ้นแห่งอาณาจักรเซิ่งหลิง, หกร้อยสามสิบเหรียญ…”
“อิงเตาแห่งอาณาจักรเสินหวู่, สองพันห้าร้อยเก้าสิบหกเหรียญ…”
“…”
จำนวนเหรียญถูกบรรดาเจ้าหน้าที่ลงบันทึกอย่างรวดเร็ว เจียงอี้รู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินว่า ‘อิงเตา’ ได้รับเหรียญตราเป็นจำนวนมาก
แต่ไม่นานนักเขาก็เข้าใจ ตระกูลอิงเชี่ยวชาญด้านการลอบสังหารเป็นที่สุด ความจริงมีตัวแทนจากตระกูลอิงที่มาเข้าร่วมสงครามในครั้งนี้เพียงแค่แปดคน แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่หายตัวไป นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพวกเขามีพลังที่ไม่ธรรมดา
หลังจากที่ฟังผลไปได้พักใหญ่ เจียงอี้ก็รู้สึกโล่งใจเพราะคนส่วนใหญ่มอบเหรียญตราให้กับเจ้าหน้าที่หมดแล้วและผู้ที่ครอบครองเหรียญมากที่สุดก็ยังคงเป็นอิงเตา เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่าอันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้นมือเขาอย่างแน่นอน
ตึก! ตึก!
ทันใดนั้น นักสู้เกราะดำผู้หนึ่งก้าวออกมาพร้อมกับแหวนในมือที่ส่องสว่าง จากนั้นกองเหรียญจำนวนหนึ่งก็ปรากฏออกมาซึ่งสร้างความโกลาหลไม่น้อย
“หืม?”
แม้แต่องค์หญิงของจักรวรรดิก็ยังให้ความสนใจและเหลือบมองนักสู้ผู้นั้น
“เขาคือใคร?”
ดวงตาของเจียงอี้เผยให้เห็นความตกตะลึงขณะที่จ้องมองไปยังกองเหรียญบนพื้น แต่ไม่นานนักเขาก็พ่นลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แม้ว่าคนผู้นี้จะมีเหรียญอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ดูเหมือนว่าไม่น่าจะถึงหนึ่งหมื่นเหรียญ
เมื่อจ้านอู๋ซวงเห็นเช่นนั้น เขาจึงเปิดปากอธิบาย “ชายผู้นี้คือประมุขน้อยของตระกูลเตาแห่งอาณาจักรเป่ยหมาง มีนามว่าเตาจ้าน ไม่ใช่ว่าพวกเราพบเจอกับกองกำลังนับพันแต่หลีกเลี่ยงการปะทะหรือ? กองกำลังในตอนนั้นถูกนำโดยชายคนนี้แหละ”
“อ่อ”
เจียงอี้ผงกศีรษะ อีกไม่นานการนับคะแนนก็จะสิ้นสุดลงและก็เป็นไปตามที่เขาคิด จำนวนเหรียญของเตาจ้านมีมากกว่าเก้าพันเหรียญและขาดอีกเล็กน้อยก็จะแตะหนึ่งหมื่นเหรียญแล้ว!
หลังจากที่รอคอยมานานหนึ่งชั่วโมง คะแนนของประมุขน้อยตระกูลเตาก็นำขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่ง แม้แต่ตัวเขาเองก็คิดว่าตำแหน่งอับดับหนึ่งคงไม่หนีไปไหนอย่างแน่นอน
แต่ทันใดนั้นร่างของเจียงอี้ก็เดินไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ปลดปล่อยเหรียญตราออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงซึ่งมันเทกระจายอยู่เต็มพื้นจนกลายเป็นภูเขาลูกย่อมๆ
“โอ้โห!”
“อะไรนะ?!”
ดวงตาของฝูงชนเบิกกว้างด้วยความตกตะลึง แม้แต่ร่างขององค์หญิงของจักรวรรดิก็ถึงกับผงะเล็กน้อย
ไม่นานนักใบหน้าของนางก็เผยให้เห็นรอยยิ้มอันงดงามซึ่งทำให้ร่างของเหล่าบุรุษเพศถูกตรึงไปชั่วขณะ…