เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 219
ศิลาสวรรค์ห้าก้อน? และแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณหนึ่งวง? จักรวรรดิมังกรเวหาไม่เหลือที่เก็บสิ่งประดิษฐ์ของพวกเขาแล้วหรือยังไง?
เจียงอี้รู้สึกกดดันเมื่อเขาเดินไปและมองไปที่กล่องดาบซึ่งมีความยาวสองเมตร ยิ่งเขาเข้าใกล้ดาบมังกรเพลิงมากเท่าใด หัวใจของเขายิ่งเต้นรัวขึ้น แม้แต่ไข่มุกวิญญาณเพลิงก็ยังเปล่งประกายและเหมือนมันก็รู้สึกตื่นเต้น
หืม? ดาบมังกรเพลิงเล่มนี้เกี่ยวข้องกับไข่มุกวิญญาณเพลิงหรือไม่กันนะ?
เจียงอี้ตกตะลึงอยู่ในใจของเขา แม้เขาจะอยากเปิดกล่องและดูหน้าตาของดาบมังกรเพลิง แต่เขาก็ไม่กล้าทำอย่างประมาทต่อหน้าผู้คนมากมาย เขานำไข่มุกวิญญาณเพลิงออกมาและเก็บทุกสิ่งไว้ข้างใน เขาจะตรวจสอบทุกอย่างหลังจากที่เขากลับจากงานเลี้ยง
“นายน้อยเจียง หลิงเสวี่ยจะไม่ปิดบัง ความจริงแล้วสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์นี้มีบางสิ่งไม่สมบูรณ์และไม่ได้มีพลังที่แท้จริงของสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ แต่แน่นอนว่ามันก็ยังคงเหนือกว่าสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ นี่คือเหตุผลที่จักรวรรดิ ได้เสริมแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณและศิลาสวรรค์ทั้งห้าก้อนเพื่อเป็นการชดเชย สำหรับวิธีการใช้ศิลาสวรรค์นั้น เจ้าจะเข้าใจเมื่อเจ้าทำการค้นหาข้อมูลทั่วไป“
เมื่อเจียงอี้โค้งคำนับและยื่นมือทั้งสองของเขาไปข้างหน้า องค์หญิงหลิงเสวี่ยได้ก้าวไปข้างหน้าสองก้าวและใช้มือหยกของนางประคองให้เจียงอี้ลุกขึ้นพร้อมเผยรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ในเวลาเดียวกันและกระซิบขณะที่นางอธิบายว่า “เมื่อศิลาสวรรค์ได้รับการขัดเกลาแล้ว ข้าประเมินว่าความแข็งแกร่งของนายน้อยเจียงจะบรรลุขอบเขตเสินโหยวได้อย่างรวดเร็ว“
“นี่เป็นการแสดงความจริงใจจากจักรวรรดิและข้าหวังว่านายน้อยเจียงจะพิจารณาเรื่องที่หลิงเสวี่ยพูดถึงในบ่ายวันนี้อย่างจริงจัง ตราบใดที่เจ้ารับใช้จักรวรรดิ ยังมีสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์อีกสองสามอย่างในจักรวรรดิที่เราจะมอบให้และจัดหาศิลาสวรรค์อย่างไม่มีวันหมดและ… หลิงเสวี่ยอยากให้เจ้าพิจารณาอย่างจริงจัง เพราะนายน้อยเจียงจะมีคู่ชีวิตที่ดีตลอดชีวิต“
มือหยกขององค์หญิงหลิงเสวี่ยเลื่อนผ่านฝ่ามือของเจียงอี้ ผิวนุ่มๆที่เหมือนหยกนั้น รอยยิ้มที่น่าดึงดูดใจ รูปร่างที่ละเอียดอ่อนพร้อมกลิ่นจางๆ และน้ำเสียงอ่อนโยนที่ดังก้องอยู่ในหูของเจียงอี้เหมือนลูกแมวที่เรียกร้องความสนใจ ทำให้ดวงตาของเจียงอี้มึนเมาไปชั่วขณะ
ผู้หญิงคนนี้เป็นบุคคลที่น่าเหลือเชื่ออย่างแท้จริง นางรู้วิธีเกลี้ยกล่อมบุรุษโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยคำพูดที่คลุมเครือของนางที่มีสถานะเช่นนี้ เพียงพอที่จะล่อลวงหัวใจของเหล่าบุรุษทั้งมวล
“ข้าจะพิจารณาอย่างรอบคอบ“
เจียงอี้พยักหน้าและผละตัวเองออกไป และเรียกคืนความสงบของเขา หลังจากที่เขากลับไปที่ที่นั่งของเขาในขณะที่หัวใจของเขายังคงเลื่อมใสอุบายของจักรวรรดิ
สิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ไม่สมบูรณ์? ไม่ใช่ว่าคนเหล่านี้ต้องการให้เขาลิ้มรสความน่าอัศจรรย์ของสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อที่จะทำให้ถูกชักจูงได้ง่ายขึ้น?
ศิลาสวรรค์นี้เป็นศิลาลึกลับเพื่อเอาไว้บ่มเพาะพลังจริงๆหรือ? เขาไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนและดูเหมือนว่าเฉพาะจักรวรรดิเท่านั้นที่มีสิ่งนี้ จักรวรรดิมังกรเวหาต้องการให้เจียงอี้ได้ลองลิ้มรสสิ่งเหล่านี้ เมื่อเขาต้องการมันมากขึ้น เขาก็จะไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพึ่งพาจักรวรรดิมังกรเวหา
การแสดงสิ้นสุดลงและงานเลี้ยงก็มาถึงช่วงสุดท้าย!
องค์หญิงหลิงเสวี่ยขอตัวกลับก่อนแล้วทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังที่น่าหลงใหล หลังจากนั้นเจียงอี้และคนอื่นๆก็ขอตัวจากไปเช่นกัน หากคนเหล่านี้ต้องการพักค้างคืนที่นี่ ตระกูลของจักรวรรดิจะจัดการเรื่องนี้อย่างแน่นอน แต่เนื่องจากทุกคนได้รับสมบัติมาแล้ว พวกเขาจึงอยากกลับไปแบ่งปันข่าวดีนี้กับพวกพ้องของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงขึ้นรถม้าตามลำดับและถูกพาออกจากพระราชวังไป
รองเจ้าสำนักฉี เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆกำลังพักอยู่โรงเตี๊ยมทุ่งหญ้านิรันดร์ ทางตอนใต้ของเมืองเจียงอี เมื่อรถม้าของเจียงอี้มาถึงที่โรงเตี๊ยมทุ่งหญ้านิรันดร์มันก็เที่ยงคืนแล้ว มันเป็นข้อห้ามสำหรับทุกคนที่จะต่อสู้กันในเมืองเจียงอี และด้วยผู้คุ้มกันของจักรวรรดิ มันค่อนข้างปลอดภัยตลอดทาง
ที่โรงเตี๊ยมทุ่งหญ้านิรันดร์นั้นยังคงสว่างไสวและทุกคนต่างก็รอคอยการกลับมาของเจียงอี้ เฉียนว่านก้วนเดินไปเดินมารอบๆอยู่ด้านนอก เมื่อเขาเห็นรถม้าใกล้เข้า มาเขาก็ไปต้อนรับอย่างรวดเร็วด้วยความดีใจ
“เข้าไปข้างในก่อนเลย!”
เจียงอี้ไม่ได้พูดอะไรกับเฉียนว่านก้วนมากนักและมุ่งหน้าเข้าไปข้างใน เมื่อเขาเข้าไปด้านใน เขาเห็นคนกลุ่มหนึ่งจากสำนักจิตอสูรกำลังรอเขาอยู่ เขารู้ว่าทุกอยากรู้อะไรและพูดโผงผางออกมาว่า “ข้าได้รับสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ แหวนแก่นแท้โบราณศักดิ์สิทธิ์หนึ่งวง และ … ศิลาสวรรค์ห้าก้อน“
“อะไรนะ?”
จ้านอู๋ซวง หยุนเฟยและเฉียนว่านก้วนต่างพากันประหลาดใจ แม้แต่รองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆก็ตกตะลึงเช่นกัน ดวงตาของอาจารย์ฉีสั่นไหวก่อนที่นางจะบ่น “จักรวรรดิมอบศิลาสวรรค์จริงๆ? พวกเขาพยายามจะทำอะไร? ดูเหมือนว่าจะมีพายุลูกใหญ่เกิดขึ้นที่ทวีปนี้ในไม่ช้า“
เมื่อเจียงอี้เห็นจ้านอู๋ซวงและคนอื่นๆมีอารมณ์ที่หลากหลาย เช่นอิจฉา กังวลและงงงวย เขาถามอย่างสงสัยว่า “ศิลาสวรรค์มันคืออะไร? ข้ารู้เพียงว่ามันใช้เพื่อการบ่มเพาะพลัง“
“ลูกพี่! ไม่ใช่ว่าข้าบอกเจ้าเกี่ยวกับสมบัติบ่มพลังสิบอันดับแรกของทวีปแล้วหรือ? หลินจืออัคคีอยู่อันดับที่หก แต่ศิลาสวรรค์ที่เจ้าได้รับนั้นอยู่ในอันดับที่หนึ่งเลยนะ สมบัตินี้ลือกันว่าเป็นศิลาศักดิ์สิทธิ์ที่ร่วงหล่นมาจากสวรรค์ มันประกอบด้วยพลังแก่นแท้แห่งฟ้าดิน เมื่อซึมซับมันเข้าไป ความเร็วในการบ่มเพาะพลังจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล นี่เป็นสิ่งที่ประเมินค่ามิได้นอกเหนือจากจักรวรรดิมังกรเวหาแล้วมันเป็นสิ่งที่หายากยิ่งในตระกูลอื่นทั่วทั้งหกอาณาจักร กับตระกูลเฉียนและตระกูลจ้านก็เช่นเดียวกัน เราไม่มีแม้แต่ก้อนเดียว! ทั้งทวีปเข้าใจว่าจักรวรรดิ มังกรเวหามีศิลาสวรรค์เหล่านี้อยู่จำนวนมาก แต่มันไม่เคยถูกใช้เป็นรางวัลในสงครามราชอาณาจักรนี้ ในครั้งนี้ เจ้าคงรู้ว่ามันหมายถึงอะไรใช่ไหม…?”
เฉียนว่านก้วนอธิบายด้วยเสียงอ่อนๆซึ่งทำให้เจียงอี้ตกใจอย่างรวดเร็ว เขาเข้าใจได้อย่างรวดเร็วว่ารองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆเป็นกังวลอะไรกัน
สำหรับอาณาจักรมังกรเวหาที่จะมอบศิลาสวรรค์ให้กับเจียงอี้และคนอื่นๆ มันเป็นการประกาศอย่างโจ่งแจ้งไปทั่วพิภพว่าจักรวรรดิกำลังสรรหาผู้มีความสามารถ ตราบใดที่พวกเขาเข้าร่วมกับจักรวรรดิมังกรเวหา พวกเขาจะได้รับศิลาสวรรค์จำนวนมากเพื่อช่วยในการฝึกฝน
ใครบ้างที่จะไม่อยากเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้? ใครบ้างจะไม่ต้องการให้ความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว?
ด้วยศิลาสวรรค์จำนวนมากในจักรวรรดิมังกรเวหา มันจะทำให้อัจฉริยะแห่กรูกันเข้าไปอย่างแน่นอน เช่นนี้จักรวรรดิจะสามารถสร้างกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว และจะส่งผลให้ความแข็งแกร่งโดยรวมของอาณาจักรมังกรเวหาแข็งแกร่งขึ้น
จักรวรรดิมังกรเวหาได้สรรหาผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้มาโดยตลอด แต่พวกเขาไม่ได้ทำอย่างเปิดเผย ท้ายที่สุดแล้วมันก็เสมือนเป็นการประกาศสงครามอย่างชัดเจนต่อขั้วอำนาจทั้งหก ตอนนี้พวกเขาโอ้อวดศิลาสวรรค์ นั่นจะหมายความว่าอย่างไรได้?
นั่นหมายความว่าจักรวรรดิมังกรเวหาได้รวบรวมพลังมากมาย พวกเขาไม่กลัวการถูกลอบโจมตีจากหกขั้วอำนาจและกำลังจะกลับมาเฉิดฉายในเร็ววัน เหล่าขั้วอำนาจทั้งหกที่รักษากฎของพวกเขามานานหลายปี จะมองการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิในขณะที่พวกเขาทำอะไรไม่ได้? พวกเขาจะทำได้แค่มองอย่างว่างเปล่าเมื่อจักรวรรดิกำจัดพวกเขาและปกครองพิภพหรือไม่?”
แน่อนว่าไม่!
นี่คือเหตุผลที่รองเจ้าสำนักฉี จ้านอู๋ซวง เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆกังวลกันมาก เมื่อสงครามเริ่มขึ้น กองกำลังที่มีอิทธิพลทั้งทวีปจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง สำนักจิตอสูรก็คงจะต้องข้องเกี่ยวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางที สำนักจิตอสูร ตระกูลจ้าน ตระกูลเฉียนและตระกูลอื่นๆอาจสิ้นประวัติศาสตร์ที่เคยมีมาอย่างยาวนานได้เลยเสียด้วยซ้ำ
“เอาล่ะ ทุกคน ไปพักผ่อนก่อนเถอะ เราจะออกเดินทางแต่เช้าและกลับไปยังอาณาจักรเสินหวู่ก่อนจะเดินทางกลับสำนัก”
หลังจากรองเจ้าสำนักฉีกล่าวจบ นางก็จากไปพร้อมรองเจ้าสำนักคนอื่นและอาจารย์อีกหลายคน ศิษย์ที่เหลือก็รีบออกไปและส่งข่าวที่น่าตกใจนี้ไปยังตระกูลของพวกเขา
เมื่อหยุนเฟยกำลังเตรียมพร้อมที่จะไปพัก เจียงอี้ก็แสดงท่าทีให้นางหยุด “หยุนเฟย รอเดี๋ยว!”
ไข่มุกวิญญาณเพลิงส่องแสงออกมา แหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณและกล่องหยกสองกล่องปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเจียงอี้ เขามองที่จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยก่อนที่จะพูดว่า “ข้าบอกว่าข้าจะแบ่งปันของที่ไม่มีประโยชน์เมื่อข้าได้รับอันดับที่หนึ่งของสงครามราชอาณาจักร แหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณนี้และศิลาสวรรค์สองก้อนนี้สำหรับพวกเจ้า หากปราศจากความช่วยเหลือของพวกเจ้า ข้าคงไม่สามารถฆ่าหยุนเฮ่อและคนอื่นๆได้ และพวกเจ้าจะแบ่งหั่นมันได้อย่างไร ข้าขอทิ้งมันไว้ให้กับคู่สามีและภรรยาคนละก้อนแล้วกัน“
“เอ๊ะ…”
หยุนเฟยและจ้านอู๋ซวงตื่นตกใจ แม้แต่เฉียนว่านก้วนก็ยังตกใจ ใบหน้าของจ้านอู๋ซวงเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วขณะที่เขาพูดอย่างเยือกเย็น “เจียงอี้ เจ้ากำลังทำบ้าอะไร? เอามันคืนไป!”
หยุนเฟยพยักหน้าเช่นกัน “เราไม่ได้ทำอะไรมากมาย นอกจากนี้ … เจ้าช่วยให้ข้าฆ่าหยุนเฮ่อและแก้แค้นให้กับพี่ชายของข้าได้ ข้ารู้สึกขอบคุณอย่างมากแล้ว ข้าไม่สามารถรับของชิ้นนี้ได้“
“ได้โปรดอย่าพูดเช่นนั้น… “
เหมือนเจียงอี้ต้องการพูดอะไรบางอย่าง จ้านอู๋ซวงมองเขาก่อนที่จะหยิบแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณขึ้นมาและมอบให้กับหยุนเฟย “เจียงอี้ เจ้ามีสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถเก็บของได้อยู่แล้ว ดังนั้นให้หยุนเฟยใช้แหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณนี้ สำหรับศิลาสวรรค์ เจ้าเป็นคนที่ต้องการยกระดับการบ่มพลังของตัวเองมากที่สุด เก็บมันไว้ทั้งหมดนั่นแหละ อย่าพูดจาไร้สาระอีก ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่นับเจ้าเป็นพี่น้องอีกต่อไป!”