เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 221
เมื่อถอนจิตกลับออกมา เจียงอี้ก็เกิดความสงสัยและตรวจสอบอีกสองสามครั้ง แม้กระทั่งเอาดาบเกล็ดทมิฬออกมาตรวจสอบอีกครั้ง ในที่สุดเขาก็สามารถยืนยันได้ว่าดาบมังกรเพลิงเล่มนี้มีค่ายกลยับยั้งมากมายที่บกพร่องอย่างแน่นอน
หลังจากหลอมรวมกับไข่มุกวิญญาณเพลิง สิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์นี้ยังมีข้อบกพร่องอีกจริงๆหรือ?
“ข้าถูกโกง? หรือนี่อาจจะเป็นดาบที่ไร้ประโยชน์?”
เจียงอี้พูดพึมพำกับตัวเองและไหลเวียนแก่นแท้พลังลงในดาบมังกรเพลิงหน้าเขาอย่างเบามือ
“ฟึ่บ ฟึ่บ!”
ดาบมังกรเพลิงเปล่งแสงสีแดงออกมาซึ่งบรรจบกันเป็นมังกรเพลิงสองตัวที่ว่ายเวียนไปตามตัวดาบก่อนที่มันจะโผล่ออกมา มังกรเพลิงสองตัวที่พุ่งมาข้างหน้าขยายขึ้นเป็นก้อนอากาศ ในที่สุดก็กลายเป็นมังกรเพลิงสองตัวซึ่งมีความเมตรกว่าและพวกมันก็ชนเข้ากับกำแพง!
“เวรแล้ว!”
เจียงอี้ถอยอย่างรีบเร่งและกันศีรษะของเขาไว้ทันที ขณะที่เขากำลังก้มหน้าก้มตามุดอยู่ที่มุมห้อง
“บูม!”
มังกรเพลิงทั้งสองตัวเปลี่ยนกำแพงข้างหน้าให้กลายเป็นฝุ่น ทำให้เกิดเป็นรูซากปรักหักพังขนาดใหญ่ ในขณะที่ห้องทั้งห้องสั่นสะเทือนจนเกือบจะพังลงมา
“ฉิบหายแล้ว!”
เจียงอี้กระพริบตาไปมาอย่างรวดเร็วและรีบเก็บดาบมังกรเพลิงลงไปอย่างลุกลี้ลุกลน ร่างทั้งเจ็ดถึงแปดร่างก็เร่งออกมาจากห้องใกล้ๆทันที ขณะที่รองเจ้าสำนักฉีตะโกนออกมาจากไกลๆ “เจียงอี้ เกิดอะไรขึ้น?”
“มะ…ไม่มีอะไรขอรับ…”
สีหน้าของเจียงอี้เต็มไปด้วยความวิตก และเดินโซเซออกมาจากรูกำแพงขนาดใหญ่อย่างไม่เป็นท่าพร้อมพูดขอโทษ “ข้ากำลังรีบฝึกฝนเคล็ดวิชาและบังเอิญเกิดเลยเถิดไปน่ะขอรับ… “
“…”
รองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆกลอกตา การบ่มเพาะทักษะการต่อสู้ในโรงเตี๊ยมคงเป็นสิ่งที่มีเพียงเจียงอี้คนเดียวที่จะทำใช่มั้ย? ยิ่งไปกว่านั้น นี่คือเมืองหลวงจักรวรรดิ ถ้ามันอึกทึกกว่านี้อีกนิดคงจะเกิดปัญหาและเรื่องนี้คงจะไปไปถึงหูหน่วยคุ้มกันจักรวรรดิเป็นแน่
“ผู้อาวุโสหลิว ช่วยจัดการเรื่องนี้ที“
เฉียนว่านก้วนที่อยู่นอกประตูตื่นตกใจจนก้นของเขากระแทกลงไปกับพื้น เขาคิดว่ามีใครบางคนกำลังโจมตีและเขากำลังจะตะโกนให้ผู้อาวุโสหลิวออกมาช่วยเขา แต่ตอนนี้เขาเพิ่งรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ผิดพลาดเท่านั้น
เมื่อเฉียนว่านก้วนเห็นคนของโรงเตี๊ยมซึ่งเข้ามาหลังจากได้ยินความโกลาหล เขาก็รีบให้ผู้อาวุโสหลิวจัดการกับผลที่ตามมาทันที
เมื่อทุกคนกระจัดกระจายกันกลับไป เฉียนว่านก้วนมองเจียงอี้อย่างสงสัยและถามว่า “ลูกพี่ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? นี่คือเมืองหลวงจักรวรรดิและถ้าทุกอย่างควบคุมไม่ได้ แม้แต่ตัวข้าเอง็ไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้นะ“
เจียงอี้ปัดมือของเขาแล้วพูดด้วยความคึกคะนองว่า “ข้าเพิ่งทดสอบดาบมังกรเพลิงและผลลัพธ์มันก็ … ท่วมท้นออกมานิดหน่อยน่ะ“
“บ้าเถอะ! นั่นมันเป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ ใช่ไหมล่ะ? พลังมันจะอ่อนแอได้อย่างไร? โชคดีที่เจ้าไม่ได้ใส่เต็มกำลัง ไม่เช่นนั้นคงทำให้ทั้งโรงเตี๊ยมถล่มลงมาแล้วล่ะมั้ง!”
ร่องสีดำๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเฉียนว่านก้วนก่อนที่เขาจะคิดอะไรบางอย่างได้และร้องออกมาว่า “ไม่สิ ลูกพี่ เจ้ากวัดแกว่งดาบมังกรเพลิงได้อย่างไร? นี่คือสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะขัดเกลาได้ในเวลาอันสั้น ใช่ไหม?”
“ฮิฮิ!”
เจียงอี้ไม่ได้อธิบายอะไรมากเพราะเรื่องนี้ค่อนข้างยากที่จะอธิบายให้ชัดเจน เขาเดินตามเฉียนว่านก้วนไปยังอีกห้องหนึ่งซึ่งมีสภาพดี เจียงอี้ถามขึ้นหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในห้อง “ว่านก้วน เจ้ารู้เกี่ยวกับค่างกลยับยั้งในสิ่งประดิษฐ์มากแค่ไหน?”
“ข้ารู้เกี่ยวกับนิดหน่อย มีอะไรหรือเปล่าลูกพี่?”
เฉียนว่านก้วนกะพริบตาและเห็นไข่มุกวิญญาณเพลิงของเจียงอี้ส่องประกายขึ้นซึ่งตามมาด้วยการปรากฏตัวของดาบมังกรเพลิง ดวงตาของเขาสว่างขึ้นทันที “สิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ ของดียิ่งนัก!”
เจียงอี้ส่งดาบมังกรเพลิงให้เฉียนว่านก้วนและถามอย่างสงสัยว่า “มีค่ายกลที่บกพร่องในสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์นี้ มีเพียงส่วนเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสภาพดี เจ้าลองสัมผัสดู“
“ข้าจะไปสัมผัสมันได้ยังไง! ด้วยพละกำลังของข้า ข้าไม่สามารถแม้แต่จะขัดเกลาสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ได้เลย แล้วข้าจะไปสัมผัสมันได้ยังไงเล่า?”
เฉียนว่านก้วนถือดาบมังกรเพลิงและควงมันเล่นขณะพูดพึมพำครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะพูดว่า “สิ่งประดิษฐ์ทั้งหมดจะต้องมีค่ายกลที่สมบูรณ์เพื่อปลดปล่อยพลังสูงสุด หากสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าชำรุด ถ้าหากมันเป็นระดับวิญญาณหรือสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ เจ้าสามารถหานักหลอมอุปกรณ์เพื่อทำการซ่อมแซมได้ แต่มันไม่มีทางที่จะซ่อมแซมสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ได้ “
“โอ้ เข้าใจแล้ว!”
เจียงอี้ดึงดาบมังกรเพลิงกลับมาและในตอนนี้ก็ยิ่งสับสนมากขึ้น
เมื่อเขากวัดแกว่งดาบ เขาจะรู้สึกถึงพลังของสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์ที่มีตำหนิซึ่งหลอมรวมกับไข่มุกวิญญาณเพลิง ซึ่งมันก็ไม่ได้ด้อยกว่าเมื่อเทียบกับตราประทับผู้ปกครองและสร้อยเงินดับโลกา หากค่ายกลภายในนั้นต่อกันอย่างสมบูรณ์ สิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์นี้จะมีประสิทธิภาพมากขนาดไหนกัน? มันจะยังคงถูกพิจารณาว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่หรือไม่?
คืนนี้ก็ค่อนข้างดึกมากแล้ว ดังนั้นเจียงอี้จึงให้เฉียนว่านก้วนกลับไปพักผ่อน เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงและขับไล่ความฟุ้งซ่าน บังคับให้เขาสงบจิตใจลงและเริ่มทำความเข้าใจบทสวดท่อนที่สามของศาสตร์นิรนาม
ท่อนแรกของศาสตร์นิรนามมอบแก่นแท้พลังสีดำลึกลับให้แก่เจียงอี้ ท่อนที่สองเพิ่มขีดจำกัดของแก่นแท้พลังสีดำเป็นพันเส้น ตอนนี้อยู่ในท่อนที่สาม เจียงอี้นั้นก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง
หลังจากนั้น หลายชั่วโมงต่อมา ท้องฟ้าข้างนอกก็เริ่มสว่างขาวราวกับท้องปลาเจียงอี้ก็ยังไม่สามารถเข้าใจอะไรได้เลย
สัญชาตญาณของเจียงอี้นั้นยอดเยี่ยมเสมอและเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงในการทำความเข้าใจบทสวดท่อนที่หนึ่งและสอง ท่อนที่สามนี้ลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่งซึ่งเขาไม่มีทางที่จะทะลวงมันเข้าไปได้
“ตึกๆๆ!”
เสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอก จนปลุกให้บางคนตื่นขึ้นมา เจียงอี้ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหยุดทำความเข้าใจบทสวดในตอนนี้ เขามีเวลาอีกมากหลังจากนี้ ซึ่งเขาจะค่อยๆทำความเข้าใจกับมันอย่างช้าๆ
เขาปิดตาได้ครู่หนึ่ง เฉียนว่านก้วนก็เริ่มมาเคาะประตูในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา กองกำลังของสำนักเตรียมพร้อมที่จะเดินทางไปยังอาณาจักรเสินหวู่ก่อนจะกลับไปที่สำนักจิตอสูรแล้ว
หลังจากล้างหน้าล้างตา เจียงอี้ก็รีบทานอาหารเช้าก่อนที่เขาจะตามคนอื่นๆขึ้นรถม้าไปที่จัตุรัส
หลังจากเขามาถึงจัตุรัสในเมือง หยุนเฟยก็มาพร้อมกับกู่เท่อและหั่วซู่ขณะที่นางเดินมาและกระซิบ “เจียงอี้ เฉียนว่านก้วน ข้าจะกลับไปที่อาณาจักรของข้าระยะหนึ่ง ข้าจะสามารถกลับไปที่สำนักได้ก็ต่อเมื่อสถานการณ์ราบรื่นแล้ว แน่นอนว่า … ข้าอาจจะไม่ได้กลับไปตลอดชีวิตอีกเช่นกัน หากมีโอกาส ข้ายินดีต้อนรับพวกเจ้าให้มาสังสรรค์ที่อาณาจักรเทียนเซวี่ยนที่ซึ่งข้าจะให้การต้อนรับเป็นอย่างดีแก่พวกเจ้าเลย“
“ฮะ…”
เจียงอี้และเฉียนว่านก้วนมองหน้ากันและหันไปมองจ้านอู๋ซวงโดยไม่รู้ตัว เจียงอี้พยักหน้า “ติดต่อมาหาเราได้หากมีปัญหาใดๆ หากดูท่าไม่ดี ก็อพยพออกจากอาณาจักรเทียนเซวี่ยนหรือไปที่สำนัก มาอยู่อาณาจักรเสินหวู่ก็ดีเช่นกัน สวรรค์มักจะมอบหนทางให้ผู้ที่สิ้นหวังเสมอ“
หยุนเฮ่อตายแล้วและจะต้องมีการเคลื่อนไหวลับๆอยู่มากมายในอาณาจักรเทียนเซวี่ยน หยุนเฟยอาจมีผนึกแห่งดวงจิตของหัั่วซู่และกู่เท่อ แต่อาจทำให้ตระกูลของพวกเขาเดือดดาลและรวมตัวกันเพื่อจัดการกับหยุนเฟย นางเป็นสตรีอ่อนแอที่ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับการต่อสู้แย่งชิงอำนาจและเจียงอี้ก็อดเป็นห่วงนางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“อื้ม!”
หยุนเฟยพยักหน้าและมองจ้านอู๋ซวงด้วยความรู้สึกที่ลึกซึ้ง จากนั้นนางก็นำกลุ่มคนอย่างหนักแน่นและเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อมุ่งหน้าสู่อาณาจักรเทียนเซวี่ยน
“ไปกันเถอะ!”
เจียงอี้เห็นสีหน้าที่น่าเศร้าของจ้านอู๋ซวง เขาตบไหล่จ้านอู๋ซวงในขณะที่เฉียนว่านก้วนมาพูดเบาๆ “ไม่ต้องห่วง พี่อู๋ซวง หลังจากนี้ข้ากลับไป ข้าจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อโน้มน้าวตระกูลของข้าเพื่อช่วยองค์หญิงหยุนเฟยจากเงามืด หากองค์ชายหยุนเสียนสามารถขึ้นครองราชย์ได้ มันจะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลเฉียน ตระกูลของข้าจะช่วยพวกเขาอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน“
“เข้าใจแล้ว!”
จ้านอู๋ซวงฝืนยิ้มออกมาและเดินไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายพร้อมกับทุกคน ซึ่งส่งพวกเขากลับไปยังอาณาจักรเสินหวู่
“บุฟ“
แสงระยิบระยับส่องผ่านระเรื่อในขณะที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายขนาดยักษ์ส่องสว่างออกมาด้านหน้าพระราชวังของอาณาจักรเสินหวู่
หลังจากแสงจางลง เจียงอี้และคนอื่นๆก็ลืมตาขึ้นมาและตกใจกับสิ่งที่พวกเขาเห็น มีบุคคลหลายคนยืนอยู่หน้าจัตุรัสของพระราชวังซึ่งมีมากกว่าหนึ่งพันคน ในช่วงกลางของกลุ่มคนเหล่านั้น รุ่นเยาว์ที่สวมชุดทางการต่างฮือฮาออกมาทันทีเมื่อทุกคนเดินออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย “เรายินดีต้อนรับนักรบผู้กล้าหาญของเรากลับสู่ราชอาณาจักร! เจียงอี้ จงรับพระราชโองการ!”