เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 224
การคาดเดาของเจียงอี้นั้นช่างแม่นยำยิ่งนัก บุคคลระดับแม่ทัพเหล่านี้ต่างก็ขึ้นตรงต่อเจียงเปี๋ยหลี ดังนั้นเมื่อเห็นว่าบุตรชายของผู้เป็นนายกำลังจะถูกลงโทษ พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยื่นมือเข้ามาก้าวก่าย
ชายร่างอ้วนที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่คือประมุขคนปัจจุบันของตระกูลเฉียนและยังควบตำแหน่งเสนาบดีกลมการคลัง, เฉียนกุ้ย!
ชายผู้นี้อาจจะไม่เคยเห็นเจียงอี้มาก่อน แต่เขากลับมีข้อมูลมากมายเกี่ยวกับเด็กคนนี้ นอกจากนี้ลูกชายของเขายังคอยป้วนเปี้ยนอยู่รอบกายเจียงอี้ไม่ห่างราวกับเป็นพี่น้อง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่เขาจะยอมออกหน้าแก้ตัวให้
ด้วยเสียงจากเหล่าแม่ทัพผสมเฉียนกุ้ยผู้ทรงอิทธิพล ขุนนางทั้งสองก่อนหน้านี้ก็ทำได้เพียงก้มหน้าลงและปิดปากเงียบ
หากให้กล่าวตามจริง การมีปากเสียงกับบรรดาแม่ทัพทั้งหลายหาใช่ปัญหาใหญ่ไม่ แต่การยั่วยุเฉียนกุ้ยนั้นไม่ใช่เรื่องตลก เพราะหากทำให้ชายผู้นี้โกรธ คอของพวกเขาสามารถขาดได้ทุกเมื่อ
“ฮึ่ม!”
ทันใดนั้น ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าขุนนางทั้งหมด ซึ่งก็คือชายวัยกลางคนผู้มีผมหงอกประปรายได้พ่นลมหายใจออกมาอย่างรุนแรงก่อนที่จะเอ่ย
“กฎก็คือกฎ! พวกเจ้าอยากที่จะทำให้กฎของพระราชสำนักมัวหมองหรืออย่างไร? หากว่าเด็กคนนี้เกิดไปสังหารใครสักคนในเมืองหลวง แล้วอ้างว่าเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาที่ไม่รู้กฎหมาย พวกเจ้ายังจะเรียกร้องความเมตตาให้เขาอยู่หรือไม่? ไร้สาระสิ้นดี!”
จอมพลจ่างซุนเหยียน!
เจียงอี้เบนสายตาไปหาคนผู้นั้นและจ้องมองอย่างเย็นชา ชายที่ดูชรากว่าวัยผู้นี้เป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งอาณาจักรซึ่งเป็นรองเพียงแค่องค์ราชาเท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าเขายังคงเคียดแค้นเจียงอี้ที่สังหารคนของตระกูลจ่างซุนไปมากมาย
เมื่อจ่างซุนเหยียนเอ่ยปากด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องกล่าวถึงแม่ทัพทั้งหลายเพราะแม้แต่เฉียนกุ้ยก็ยังต้องปิดปากเงียบ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่กล้าที่จะสร้างความขุ่นเคืองให้กับชายผู้นี้
“หึหึ!”
ทันใดนั้น ทางฝั่งของแม่ทัพ แม่ทัพวัยกลายคนผู้หนึ่งก็เอ่ยขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ข้าก็ไม่เห็นว่ามันจะร้ายแรงตรงไหน เจียงอี้วีรบุรุษแห่งสงครามราชอาณาจักรในรุ่นนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเราเรียกตัวเขามาเพื่อสรรเสริญชื่นชม? เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาทำให้กับอาณาจักรแล้ว ด้วยความผิดเล็กๆน้อยๆแค่นี้ อย่าได้เอามาใส่ใจเลย”
“ฟู้ววว…”
เมื่อชายคนนั้นกล่าวจบ ก็มีหลายคนที่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แม้ว่าคนผู้นี้จะสวมชุดเกราะแต่เขาก็ไม่เคยนำทัพมาก่อน
ถึงอย่างนั้น เพียงแค่มองจากตำแหน่งที่เขายืนอยู่ก็สามารถคาดเดาได้แล้วว่าเขาจะต้องมีสถานะที่สูงส่งภายในอาณาจักรเสินหวู่อย่างแน่นอน
ประมุขตระกูลจ้าน, จ้านอีหมิง!
ตระกูลจ้านไม่เคยต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ เพราะเดิมทีชื่อของตระกูลก็เป็นตัวแทนของอำนาจด้วยตัวของมันเองอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ จ้านอีหมิงกลับเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นมาเองซึ่งเป็นการตบหน้าจ่างซุนเหยียนอย่างโจ่งแจ้งเลยก็ว่าได้!
ในอดีต นอกเหนือจากเจียงเปี๋ยหลีก็ไม่มีใครกล้าที่จะหักหน้าจ่างซุนเหยียนต่อหน้าสาธารณะชนเช่นนี้
“พอได้แล้ว!”
ราชาเซี่ยถิงเวยเอ่ยขึ้นมาขัดจังหวะ
“พวกเจ้าจะเถียงเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้ไปทำไม? เจียงอี้นำพาเกียรติยศมาสู่อาณาจักรเช่นนี้ อย่าว่าแต่เรื่องการแสดงความเคารพเลย ต่อให้เขาไม่ทำ ข้าก็จะไม่ลงโทษเขา! เอาล่ะ ซานสี่ ประกาศราชโองการได้แล้ว”
ในขณะเดียวกัน ทางด้านของเจียงอี้ก็ยังคงนิ่งเฉย แต่ภายในใจของเขากลับเยือกเย็นอย่างถึงที่สุด ฟังดูแล้วอาจจะคิดว่าคำพูดขององค์ราชาอาจจะดูเหมือนเข้าข้างเจียงอี้ แต่ทำไมเขาถึงไม่เอ่ยขึ้นมาก่อนหน้านี้? ทำไมต้องรอให้เหล่าขุนนางมีปากเสียงกันก่อน?
เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการที่จะสร้างบุญคุณ! แต่หลังจากที่เริ่มประกาศราชโองการ เจียงอี้ก็ไม่กล้ารอช้า เขาคุกเข่าลงไปข้างหนึ่งและแสร้งทำเป็นตื่นเต้นเล็กน้อย
“ขอบพระทัยฝ่าบาท!”
“ตามพระบัญชาแห่งองค์ราชา เจียงอี้คว้าอันดับหนึ่งในสงครามราชอาณาจักรซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดี อีกทั้งยังนำพาเกียรติยศและชื่อเสียงมาสู่อาณาจักรของเรา ดังนั้นเขาจึงได้รับพระราชทานตำแหน่งแม่ทัพเขี้ยวมังกรซึ่งจะเป็นผู้นำค่ายเสินหวู่, ตำหนักแม่ทัพ, เหล่าบริวาร, เงินหนึ่งล้านตำลึงทอง, หยก…”
รางวัลที่อาณาจักรมอบให้ช่างมากมายมหาศาลนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งแม่ทัพเขี้ยวมังกรที่ทำให้เขาสามารถนำพากองทัพที่มีทหารนับหมื่นนายออกไปสู้รบได้ เมื่อบวกกับรายชื่อรางวัลที่เหลือ มันก็ทำให้เจียงอี้รู้สึกวิงเวียนศีรษะเล็กน้อย
“… พระราชโองการสิ้นสุดเพียงเท่านี้!”
หลังจากที่อ่านประโยคสุดท้ายจบ ทุกสายตาก็จับจ้องไปที่เจียงอี้เพื่อรอให้เขาเอ่ยขอบคุณตามกระบวนพิธี แต่ปรากฏว่า พวกเขากลับเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสับสนของเด็กหนุ่มซึ่งทำให้คิ้วของหลายๆคนขมวดเข้าหากัน
แต่ไม่นานเกินรอ เจียงอี้ก็เอ่ยถามขึ้นมา “นี่มันไม่ถูกต้อง ทำไมถึงไม่มีชื่อของสมุนไพรสยบวิญญาณ? พระราชโองการมีอะไรตกหล่นไปรึเปล่าพะยะค่ะ?”
รายชื่อรางวัลถูกขานออกไปมากมาย แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่เขาเฝ้ารอ นั่นก็คือ ‘สมุนไพรสยบวิญญาณ’ อีกทั้งเหตุผลหลักที่เขายอมเข้าร่วมสงครามราชอาณาจักรก็ยังเป็นเพราะมัน เขาสามารถละทิ้งรางวัลทั้งหมดได้ แต่เขาจะไม่มีทางยอมตัดใจจากสมุนไพรสยบวิญญาณอย่างแน่นอน!
ควับ! ควับ! ควับ!
คำพูดของเจียงอี้ทำให้บรรยากาศในห้องแปรเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน แม้กระทั่งเฉียนกุ้ยและจ้านอีหมิงก็ยังหน้าถอดสี
เป็นไปตามคาด ใบหน้าของเซี่ยถิงเวยในตอนนี้ดูเย็นชาอย่างถึงที่สุดและเผยให้เห็นร่องรอยของความโกรธเคือง
“บังอาจ!”
“เจ้าเหนื่อยที่จะมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่?!”
“สามหาว!”
เหล่าขุนนางส่วนใหญ่ต่างก็ก่นด่าออกมาด้วยความโกรธ ตามกระบวนพิธี เมื่อการอ่านพระราชโองการสิ้นสุดลง เจียงอี้จำเป็นต้องเอ่ยขอบคุณเพื่อเป็นการให้เกียรติราชวงศ์
แต่ไม่เพียงเขาจะไม่กล่าวสิ่งที่สมควรจะกล่าวเท่านั้น เขายังตั้งคำถามต่อพระราชโองการขององค์ราชา นี่ไม่เท่ากับว่าเป็นการตบหน้าราชาเซี่ยถิงเวยหรือ?
“ไม่ใช่อย่างนั้นพะยะค่ะฝ่าบาท! พระองค์อย่างเพิ่งทรงเข้าใจผิด กระหม่อมไม่ได้หมายความอย่างนั้น!”
เมื่อเจียงอี้ตระหนักได้ถึงการกระทำที่หุนหันพลันแล่นของตัวเอง เขาก็รีบกล่าวอธิบาย
“กระหม่อมสามารถละทิ้งตำแหน่งแม่ทัพและรางวัลทั้งหมดได้ แต่ขอเพียงสมุนไพรสยบวิญญาณเท่านั้นพะยะค่ะ มันสำคัญกับกระหม่อมมาก… โปรดพระองค์ทรงเมตตาด้วยเถิด!”
เมื่อเซี่ยถิงเวยได้ยินคำวิงวอนของเจียงอี้ แทนที่เขาจะเห็นใจแต่เขากลับโกรธเกรี้ยวยิ่งกว่าเดิม
“ฮึ่ม! เจ้ากล้าดียังไงถึงกล่าวว่าจะละทิ้งตำแหน่งแม่ทัพเขี้ยวมังกร? เจ้าเห็นราชสำนักเป็นโรงละครหรือยังไง?! เฉียนกุ้ย เจ้าเอาคนผู้นี้ไปอบรมสั่งสอนเสีย หากเขายังกล้าทำเช่นนี้อีก ข้าจะสั่งประหารชีวิตอย่างไม่ปรานี!”
เมื่อกล่าวจบ เซี่ยถิงเวยก็ลุกขึ้นจากบัลลังก์และจากไปทันทีโดยไม่แม้แต่จะเหลียวมองเจียงอี้
“พวกเราขอน้อมส่งฝ่าบาท!”
เหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างโค้งคำนับให้แก่องค์ราชา หลังจากที่เซี่ยถิงเวยจากไป จ่างซุนเหยียนก็ไม่รั้งรอและเตรียมที่จะจากไปทันที แต่เขาก็ยังไม่ลืมที่จะจ้องมองไปยังร่างของเจียงอี้ด้วยสายตาอำมหิต
กลุ่มขุนนางและแม่ทัพเริ่มสลายตัว ก่อนกลับพวกเขาต่างก็เหลือบมองเจียงอี้พลางถอนหายใจ พวกเขารู้ดีว่าหากเด็กคนนี้ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของเจียงเปี๋ยหลี… เขาคงจะถูกสั่งประหารชีวิตไปนานแล้ว
“หลานชาย!”
เฉียนกุ้ยเดินเข้ามาหาพร้อมกับส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นมาให้ “ข้าเฉียนกุ้ยเป็นพ่อของเฉียนว่านก้วน ส่วนนี่คือจ้านอีหมิงและเป็นพ่อของจ้านอู๋ซวง”
เมื่อเจียงอี้เห็นเช่นนั้น เขาก็ไม่กล้าที่จะละเลยผู้อาวุโสทั้งสอง จากนั้นเขาก็โค้งตัวลงและกล่าวทักทาย
“หลานชายขอคารวะท่านลุงทั้งสอง!”
จ้านอีหมิงเดินเข้ามาใกล้พร้อมกับยิ้มอย่างจนใจ “เจียงอี้ อารมณ์ของเจ้าช่างเหมือนกับแม่ของเจ้ายิ่งนัก หากว่าเจ้ามีเวลาก็สามารถมาไปเยี่ยมเยียนข้าที่ตระกูลจ้านได้เสมอ เอาล่ะ เจ้าพูดคุยกับตาเฒ่าเฉียนไปเถอะ ข้าขอตัวก่อน“
เจียงอี้โค้งคำนับอีกครั้ง จากนั้นก็หันมาทางเฉียนกุ้ยและเอ่ยถามด้วยความกังวลใจ “ท่านลุงเฉียน แล้วเรื่องสมุนไพรสยบวิญญาณ…”
เฉียนกุ้ยรีบยกมือขึ้นมาเพื่อส่งสัญญาณให้เจียงอี้หยุดพูด จากนั้นเขาก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ “อย่างเพิ่งพูดตอนนี้ ค่อยไปคุยกันตอนอยู่ระหว่างทางเถอะ”
หลังจากที่ตามเฉียนกุ้ยออกจากพระราชวัง รถม้าที่ถูกตกแต่งอย่างหรูหราก็ถูกจัดเตรียมไว้แล้ว เมื่อพวกเขาทั้งสองขึ้นไปบนรถม้า มันก็ออกตัวทันที
การที่สามารถนั่งรถม้าแม้ว่าจะอยู่ในเขตพระราชวังหลวง ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเฉียนกุ้ยนั้นมีความสำคัญต่ออาณาจักรเสินหวู่มากแค่ไหน
“ท่านลุง!”
เจียงอี้เอ่ยอีกครั้งด้วยความร้อนใจ เฉียนกุ้ยโบกมือและส่งถ้วยชาให้กับอีกฝ่ายเพื่อหวังให้เขาใจเย็นลงหน่อย
“ข้ารู้เรื่องแล้ว เจ้าต้องการสมุนไพรสยบวิญญาณเพื่อใช้ช่วยชีวิตใครบางคนสินะ? เห้ออ ในตอนแรกราชสำนักก็ตั้งใจที่จะใช้สมุนไพรสยบวิญญาณเป็นรางวัลให้แก่ผู้ชนะเลิศนี่แหละ… แต่ตอนนี้มันกลับไปอยู่ในมือของคนอื่นเสียแล้ว”
“มันเป็นใคร?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงอี้ก็เผลอปลดปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างกะทันหันราวกับพยัคฆ์ที่ตื่นจากการหลับใหล
“องค์รัชทายาท!”
เฉียนกุ้ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “ขบวนคุ้มกันเจ้าสาวขององค์รัชทายาทจะออกเดินทางพรุ่งนี้และพวกเขายังนำของขวัญจำนวนมากไปด้วย ไม่นานมากนี้ เมื่อองค์รัชทายาทเอ่ยขอสมุนไพรสยบวิญญาณ… ราชาเซี่ยถิงเวยก็ไม่ทรงคัดค้านแต่อย่างใด”
“เห้ออ มีความเป็นไปได้สูงที่องค์ราชาจะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเจ้าต้องการมัน ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้รับชัยชนะจากสงคราม แต่ก็ดูเหมือนว่าพระองค์จะไม่ค่อยมีความสุขกับมันนัก ถึงเจ้าจะต้องการสมุนไพรสยบวิญญาณจริงๆ มันก็คงไม่มีหวังแล้ว…”