เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 225
“ไม่มีหวังหรอ? ฮ่ะ..ฮ่าฮ่าฮ่า … “
จู่ๆเจียงอี้ก็หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ได้มีความประทับใจที่ดีกับอาณาจักรเสินหวู่อยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันกลายเป็นความเกลียดชังอย่างที่สุด
ราชอาณาจักรผิดสัญญาต่อเขาและทั่วพิภพ มันเป็นที่เข้าใจได้หากเซี่ยถิงเวยนั้นไม่ทราบว่าเจียงอี้ต้องการสมุนไพรสยบวิญญาณ แต่เขารู้ว่าเจียงอี้นั้นเข้าร่วมในสงครามราชอาณาจักรเพียงเพื่อสมุนไพรสยบวิญญาณและเสี่ยงชีวิตของเขาในนั้น ในท้ายที่สุด เนื่องจากเหตุผลส่วนตัวบางประการ คือคำขอของบุตรชายของเขา เซี่ยถิงเวยจึงได้นำสมุนไพรสยบวิญญาณมอบให้บุตรไป? เขารู้สึกละอายบ้างหรือเปล่า?
ต้นของสมุนไพรสยบวิญญาณอาจไม่ได้มีความหมายอะไรเลยสำหรับของขวัญหมั้นหมาย แต่มันสำคัญกับเจียงอี้มากกว่าตำแหน่งแม่ทัพเขี้ยวมังกร มากกว่าที่พำนักแม่ทัพ…มากกว่าตำลึงทองนับล้านเสียอีก
เซี่ยถิงเวยไม่รู้หรือว่าเซี่ยเถียนเป็นคนเช่นไร? ในฐานะราชา เขาไม่รู้เรื่องความคับข้องใจระหว่างเจียงอี้และบุตรชาย? เมื่อเซี่ยเถียนพยายามฆ่าเขาในสงครามอาณาจักร ทำไมเขาไม่สามารถฆ่าสมาชิกตระกูลราชวงศ์?
ราชาสามารถหันหลังให้กับโลกใบนี้ได้ แต่โลกใบนี้ไม่สามารถหันหลังให้กับเขาได้เช่นนั้นหรือ?
ในที่สุดเจียงอี้ก็เข้าใจถึงวิธีการกดขี่ข่มเหงของตระกูลขุนนางและตระกูลราชวงศ์ ลูกหลานของพวกเขาสามารถฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาได้และปฏิบัติต่อคนอื่นในฐานะไพร่
หากไพร่พลเหล่านี้ต่อต้านและทำร้ายคนของพวกเขา พวกเขาก็จะเดือดดาลเหมือนสิงโต และเปิดเผยใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากของพวกเขาและเผยให้เห็นคมเขี้ยวที่ชั่วร้ายของพวกเขาและฉีกทุกสิ่งออกเป็นชิ้นๆ
“เมื่อพวกเจ้าไม่มีความปราณี ก็อย่าหาว่าอยุติธรรมก็แล้วกัน!”
เจียงอี้พูดพึมพำด้วยเสียงที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยินและหันไปถามเฉียนกุ้ย “ท่านลุง นอกเหนือจากสมุนไพรสยบวิญญาณของตระกูลของราชวงศ์แล้ว มีที่อื่นอีกไหมที่ข้าจะสามารถหามันได้“
“ตอนนี้ไม่มีเลย!”
เฉียนกุ้ยส่ายหัวแล้วตอบว่า “ว่านก้วนได้พูดถึงเรื่องนี้ให้ข้าฟังและข้าได้ออกคำสั่งให้คนไปตรวจสอบทั่วทั้งหกอาณาจักรแล้ว แต่ไม่มีข้อมูลใดๆเกี่ยวกับสมุนไพรสยบวิญญาณเลย บางทีอาจจะมีอยู่หนึ่งชิ้นในท้องพระคลังของจักรวรรดิมังกรเวหา แต่ … นี่เป็นสมุนไพรบำรุงวิญญาณ เจ้าควรรู้ว่าองค์หญิงหลิงเสวี่ยกำลังบ่มเพาะพลังวิญญาณ นางอาจจะใช้มันไปแล้วก็ได้”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง!”
ดวงตาของเจียงอี้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว เขายืนขึ้นและโค้งคำนับเฉียนกุ้ยและพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ท่านลุง ข้าต้องการกลับสำนักสักพักหนึ่ง ข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่านเพื่อจัดการบางสิ่งในเมืองหลวง“
“หืม?”
แก้มย้วยๆของเฉียนกุ้ยเบียดรอบดวงตาเล็กๆของเขา เผยให้เห็นร่องรอยของความแวววาวขณะที่เขาพูดอย่างจริงจัง “หลานชาย หากเจ้าทนไม่ได้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้ เจ้าจะไม่สามารถบรรลุสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตได้ เพื่ออนาคตของเจ้า อย่าปล่อยให้อารมณ์ของเจ้าส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของเจ้า”
“ตำแหน่งของแม่ทัพเขี้ยวมังกร เป็นตำแหน่งที่มีอำนาจนัก คลื่นลมกำลังพลุกพล่านภายใต้หมู่เมฆและอาจมีสงครามปะทุขึ้นในไม่ช้านี้ หลังจากที่เจ้าแยกตัวไปบำเพ็ญสักแปดหรือสิบปี เจ้าจะสามารถนำกองทัพเข้าสู่สนามรบและยังอาจได้รับบุญญานุภาพที่จะกำหนดชีวิตของเจ้าได้ บางทีเจ้ายังอาจจะได้รับตำแหน่งจอมพลหรือแม้กระทั่งเสนาบดีเลยก็ได้“
“ขอบคุณท่านลุงที่ชี้แนะ!”
เจียงอี้พูดอย่างหนักแน่น “ข้าต้องการกลับสำนักไปหาปรมาจารย์เลี่ยวก่อนเพื่อดูว่ามีสิ่งอื่นใดที่สามารถทดแทนสมุนไพรสยบวิญญาณได้บ้างหรือไม่ ข้าจะบ่มเพาะพลังในสำนักระยะหนึ่งและเมื่อข้าแข็งแกร่งขึ้น ข้าจะกลับมาที่เมืองหลวงเพื่อรับตำแหน่งแม่ทัพเขี้ยวมังกรนี้ ข้าไม่ทราบว่าสิ่งนี้จะทำให้ท่านลุงเกิดปัญหาหรือไม่ … “
เฉียนกุ้ยจิบชาแล้วโบกมือของเขา “จะไม่เกิดปัญหาใดๆ เจ้าได้รับศิลาสวรรค์และมันเป็นที่เข้าใจได้ว่าเจ้าต้องการที่จะสกัดกลั่นมันเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของเจ้า ข้าจะช่วยอธิบายให้ฝั่งองค์ราชาและเขียนชื่อของเจ้าไว้ที่ฝ่ายทหารก่อน หลานชาย รีบกลับไปแล้วกลับมาเร็วๆเถิด“
“เช่นนั้น ท่านลุง ข้าขอตัวก่อน ข้าจะไปเยี่ยมท่านที่ตำหนักของท่านในครั้งต่อไป“
เจียงอี้โค้งคำนับอีกครั้งและหลังจากเฉียนกุ้ยพยักหน้า เขาก็กระโดดออกจากรถม้าและมุ่งตรงไปที่โรงเตี๊ยมมังกรซ่อนเร้น เขาเดินก้าวไปอย่างหนักแน่นพร้อมดาบซึ่งเปล่งรัศมีออกมาจากร่างกายของเขา
“ลูกพี่ เป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อกลับไปที่โรงเตี๊ยมมังกรซ่อนเร้น เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงกำลังรอคอยให้เขากลับมา พวกเขาทั้งสองเชิญเจียงอี้เข้ามาก่อนที่เฉียนว่านก้วนจะถามด้วยความประหม่าทันที
ดูเหมือนว่าเจียงอี้จะสงบและไม่มีร่องรอยของความตื่นเต้นหรือความโกรธใดๆ เขายกถ้วยชาของเขาขึ้นมาและตอบว่า “ไม่มีอะไรมาก ข้าได้พบกับเจียงเปี๋ยหลีและตัดความสัมพันธ์ของเราอย่างสมบูรณ์ ข้าได้รับพระราชทานนามของแม่ทัพเขี้ยวมังกรและมีทหารหมื่นนายใต้บังคับบัญชาและสาวใช้ …”
เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงแลกเปลี่ยนสายตาและรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ มีแววตาบางอย่างในดวงตาของเขาก่อนที่เขาจะถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “แล้วสมุนไพรสยบวิญญาณล่ะ?”
เจียงอี้ยิ้มกว้างขณะพูดอย่างใจเย็น “หายไปแล้ว มันถูกเซี่ยอู๋หุ่ยนำออกไป“
“ฮะ…”
เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงอ้าปากค้างและในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมเจียงอี้ถึงแสดงออกเช่นนี้ เขาโกรธแค้นถึงขีดสุดและเขาก็เป็นเสมือนความสงบก่อนจะเกิดพายุใหญ่ ยิ่งเจียงอี้ทำตัวเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกกลัวมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อเจียงอี้บ้าคลั่งไปแล้ว แม้แต่เฉียนว่านก้วนก็รู้สึกกลัว…เพราะเจียงอี้นั้นไม่มีความเกรงกลัวใดๆ!
“ลูกพี่ อย่าใจร้อนไป มันมีวิธีอื่นเสมอ ข้าจะออกไปข้างนอกสักครู่ก่อน … “
เฉียนว่านก้วนยืนขึ้นอย่างรวดเร็วและเห็นได้ชัดว่าเขาไปตรวจสอบสถานการณ์ ส่วนจ้านอู๋ซวงมองไปที่เจียงอี้ที่ก้มหัวมองต่ำและถอนหายใจ “เจียงอี้ อย่าท้อแท้ไป เจ้าไม่ได้บอกหยุนเฟยหรือว่าสวรรค์จะต้องเปิดทางให้เสมอ? เส้นทางสู่อนาคตนั้นยาวไกลนัก แต่ตราบใดที่เราตั้งใจอย่างหนัก เราจะสามารถเอาชนะทุกสิ่งได้“
“ข้าไม่ท้อแท้หรอก อู๋ซวง เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลกับข้าเลย“
เจียงอี้ยิ้มออกมา ซึ่งมันทำให้ภายในใจของจ้านอู๋ซวงรู้สึกไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เฉียนว่านก้วนกลับมาและแสดงท่าทีที่เหี่ยวเฉา ก่อนที่เขาจะพูดอะไร เจียงอี้ก็กล่าวทันทีว่า “เฉียนว่านก้วน รีบส่งคนไปถามปรมาจารย์เลี่ยวและถามเขาว่าจะสามารถเปลี่ยนสมุนไพรสยบวิญญาณได้ไหม? ราคาเท่าไรก็ได้และไหว้วานผู้ที่มีสถานะที่น่านับถือจากตระกูลของเจ้าไปนะ“
“นั่นเป็นเรื่องง่าย! ตระกูลของข้ามีอาจารย์อยู่ที่นั่นบางคนในสำนักและปรมาจารย์เลี่ยวรู้ว่าพวกเขามาจากตระกูลของข้า”
เฉียนว่านก้วนพยักหน้าและถามว่า “ลูกพี่ เจ้าบอกท่านพ่อของข้าว่าเจ้าต้องการกลับสำนักหรือ?”
“ถูกต้อง!”
เจียงอี้พยักหน้าและยืนยันว่า “ข้าไม่สบายใจที่จะอยู่ในเมืองหลวง ข้าอยากกลับไปและสกัดกลั่นศิลาสวรรค์“
“โอ้!”
เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงรู้สึกโล่งใจ เจียงเปี๋ยหลีอยู่ในเมืองหลวงและงานอภิเษกของเซี่ยอู๋หุ่ยและซูรั่วเสวี่ยกำลังจะถูกจัดขึ้นในเมืองหลวงซึ่งเป็นสาเหตุที่เจียงอี้รู้สึกอึดอัดใจเมื่ออยู่ที่นี่ มันจะค่อนข้างดีต่อตัวเขาที่จะกลับไปและบำเพ็ญสักระยะหนึ่ง
เมื่อเฉียนว่านก้วนกำลังจะออกไปข้างนอกและส่งข้อความไปยังอาจารย์ในสำนัก เจียงอี้พูดขึ้นมาอีกครั้งว่า “ใช่แล้ว ว่านก้วน! หมาป่าจันทราสีเงินของข้าตายแล้ว ช่วยข้าหาเครื่องรางสัตว์วิญญาณอีกสองสามชิ้นที ระหว่างทางกลับ ข้าจะไปที่หุบเขาสามหมื่นลี้เพื่อหาสัตว์วิญญาณดีๆสักหน่อย“
“ง่ายมาก!”
เฉียนว่านก้วนพยักหน้า เจียงอี้เป็นศิษย์อัจฉริยะของสำนักจิตอสูรแล้ว และแม้แต่การขอมันด้วยตัวเขาเอง เจียงอี้ก็สามารถนำมันมาได้อย่างง่ายดาย
เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว เจียงอี้ก็เข้ามาในห้องของเขาและยังคงแกะท่อนที่สามของบทสวดนิรนาม รองเจ้าสำนักฉีก็ส่งข้อความที่พวกเขาจะออกเดินทางกลับสำนักในวันพรุ่งนี้ เหล่าศิษย์สามารถไปกับขบวนของสำนักหรือจะอยู่ในเมืองหลวงต่อก็ได้
ทางด้านจ้านอู๋ซวงนั้นก็เป็นกังวลกับหยุนเฟย ดังนั้นเขาจึงยังไม่กลับสำนัก เขาสามารถใช้หน่วยลาดตระเวนในเมืองหลวงเพื่อรับรู้สถานการณ์ในอาณาจักรเทียนเซวี่ยนได้ ส่วนด้านเฉียนว่านก้วนนั้นเฉยๆ แต่เขาเป็นห่วงเจียงอี้ ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจกลับสำนักกับเจียงอี้
วันรุ่งขึ้น ขบวนของสำนักก็เริ่มล้อหมุน รถม้ามากกว่าหนึ่งโหลเริ่มเคลื่อนไปทางทิศใต้อย่างรวดเร็ว ด้วยความช่วยเหลือของเฉียนกุ้ย เจียงอี้จึงไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องในเมืองหลวงเลย เขานั่งรถม้าไปอย่างสงบพร้อมเฉียนว่านก้วน และใช้เวลาทั้งวันเพื่อถอดใจความของบทสวดนิรนามท่อนที่สาม
ในวันที่สาม เมื่อเครื่องรางสัตว์วิญญาณมาถึง จดหมายจากตระกูลเฉียนก็มาถึงในเวลาเดียวกัน ปรมาจารย์เลี่ยวตอบพร้อมกับคำแนะนำที่ชัดเจนว่าโสมเก๋ากี้พันปีสามารถเปลี่ยนเป็นหนึ่งร้อยปีได้หรือแม้กระทั่งไม่ใช้มัน!
ส่วนสมุนไพรชีเย่สามกลีบและสมุนไพรสยบวิญญาณนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะสมุนไพรสยบวิญญาณ หากปราศจากสมุนไพรสยบวิญญาณ เขาไม่สามารถรับประกันความปลอดภัยดวงวิญญาณของเจียงเสี่ยวนู๋ได้
เมื่อเจียงอี้ได้ยินข่าวนี้ เขาก็ยิ่งเงียบกว่าเดิม เขาจะใช้เวลาทั้งวันในการทำสมาธิและพยายามที่จะเข้าใจบทสวดนิรนามท่อนที่สาม หลังจากพยายามทำความเข้าใจมันมาเป็นเวลานานเขาก็ไม่ได้อะไรเลย
วันที่สี่!
ขบวนของสำนักใช้เวลาทั้งคืนในเมืองเล็กๆ ในอาณาจักรเสินหวู่และเมื่อถึงรุ่งสาง เฉียนว่านก้วนก็ตื่นขึ้นไปปลุกเจียงอี้เช่นเคย แต่แล้วเขาก็ตระหนักว่าห้องของเจียงอี้นั้นว่างเปล่าและมีเพียงข้อความที่ถูกทิ้งไว้
“อย่าพยายามหาข่าวใดๆเกี่ยวกับข้า หากข้ารอดไปได้ในครั้งนี้ เราจะร่วมดื่มกันอย่างเพลิดเพลินในภายหน้าและเดินทางภายใต้สวรรค์ หากข้าวายสิ้น ข้าจะยังคงขอนับถือเจ้าเป็นพี่น้องในภพหน้า เจียงอี้!”
หลังจากอ่านข้อความแล้ว ร่างกายอ้วนเตี้ยของเฉียนว่านก้วนก็สั่นไปทั่ว สิ่งที่เขากังวลมากที่สุด ในที่สุดมันก็เกิดขึ้น
เจียงอี้บ้าไปแล้ว!