เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 229
“มอ มอ-!”
สัตว์อสูรตัวนี้ปล่อยเสียงร้องคล้ายวัวออกมา มันยังคงสามารถเปล่งเสียงของมันออกมาได้หลังจากที่ถูกกดดันด้วยเจตจำนงสังหารและดาบมังกรเพลิง?
เจียงอี้ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นเท่าไหร่นักตราบใดที่ยังคงตรึงมันไว้ได้อยู่ เขาจับจ้องไปที่สัตว์อสูรนี้และเมื่อมันมีการเคลื่อนไหวใดๆ เช่นปล่อยวิชาอสูรออกมา ดาบมังกรเพลิงก็จะฟาดฟันมันอย่างไร้ความปราณี เขาพร้อมที่จะใช้ไหมปีศาจนภาของเขาในเวลาใดก็ได้ เช่นเดียวกับที่เขาเชื่อว่าเมื่อสัตว์อสูรนี้ถูกสะกดพลังไว้ ความเร็วในการโจมตีของมันไม่น่าจะเร็วกว่าของเขา
โชคดีที่ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรตัวนี้จะเข้าใจในจุดนี้ เพราะดวงตาเย็นชาของมันส่องแสงสีฟ้าออกมาซึ่งมองดาบมังกรเพลิงของเจียงอี้อย่างหวาดกลัวขณะที่ยังนิ่งเฉยอยู่และทำให้เจียงอี้ปล่อยอัขระสีทองจากเครื่องรางสัตว์วิญญาณออกมาได้
“มอ มออ!”
เมื่ออักขระก่อตัวเสร็จเรียบร้อย สัตว์อสูรนิรนามก็ส่งเสียงร้องออกมาในขณะที่ศีรษะของมันสั่นเทาด้วยความกลัว ดวงตาทวีความรุนแรงมากขึ้น ด้วยอักขระสีทองที่ออกมามากขึ้น เจียงอี้ก็รู้สึกปลอดภัยเมื่อกลิ่นอายความดุร้ายจากดวงตาของสัตว์อสูรดูอ่อนแอลง ทำให้มันยากที่จะต่อต้านเขาได้
“มอ มอ!”
มันต่างจากที่เจียงอี้คาดไว้ เมื่ออักขระสีทองก่อตั้งเสร็จสิ้น เสียงแปลกๆของสัตว์อสูรก็ดังขึ้นและมันเริ่มล่าถอย ร่างของมันสว่างออกมาด้วยแสงสีเหลืองอร่ามและดูเหมือนว่าความเร็วของมันจะไม่ลดลงจากแรงกดดันจากเจตจำนงสังหารและดาบมังกรเพลิง
“ฮึ่ม!”
เจียงอี้จะปล่อยให้ชิ้นเนื้อที่อยู่ในปากของเขาหลุดรอดไปได้อย่างไร?
ดาบมังกรเพลิงของเจียงอี้ทอแสงออกมา มังกรเพลิงสองตัวเริ่มว่ายเวียนอยู่ในดาบและเพิ่มแรงกดดันขึ้นอีก เจียงอี้วิ่งไปข้างหน้าในขณะที่ท่องบทสวดให้อักขระสีทองในเครื่องรางสัตว์วิญญาณเข้าไปที่ตัวสัตว์อสูรอย่างต่อเนื่อง
“มอ มออ!”
สัตว์อสูรไม่ได้หยุดตัวสั่น ขณะที่ความเร็วของมันก็ถดถอยลงเช่นกัน ดวงตาของเจียงอี้สว่างขึ้นเมื่อเขาเพิ่มความเร็วในการท่องบทสวด ทำให้อักขระสีทองออกมาอย่างรวดเร็วมากขึ้น
“บุฟ“
เมื่อถ้อยคำสุดท้ายถูกประทับลงไปที่สัตว์อสูร ร่างของมันเปล่งแสงสีเหลืองออกมาซึ่งทำให้มองเห็นโคลนใต้ดินรอบๆ ในขณะที่เจียงอี้รู้สึกถึงการเชื่อมต่อวิญญาณกับสัตว์อสูรนี้ผ่านเครื่องรางสัตว์วิญญาณ ซึ่งหมายความว่าสัตว์อสูรตัวนี้ได้ถูกทำให้กลายเป็นสัตว์วิญญาณของเขาแล้วเรียบร้อย
“กลับเข้าไป!”
เจียงอี้รู้สึกดีใจที่เห็นเครื่องรางสัตว์วิญญาณส่องแสงในขณะที่สัตว์วิอสูรได้กลายเป็นแสงสีเหลืองและหายไปอยู่ในเครื่องรางสัตว์วิญญาณ
“เรียบร้อย!”
เจียงอี้กลับไปที่ถ้ำใต้ดินอย่างรวดเร็วและมุ่งหน้าขึ้นไปยังพื้นดินด้วยความเร็วสูงสุดของเขา เขาปรากฏตัวขึ้นบนพื้นดินในขณะที่เครื่องรางของสัตว์วิญญาณสว่างขึ้นด้วยแสงสีทองเมื่อเขาตะโกนว่า “จงออกมา!”
“บุฟ“
มีแสงสีเหลืองส่องออกมาและสัตว์อสูรร่างยักษ์ปรากฏออกมาและมองเจียงอี้อย่างคุ้นเคยด้วยดวงตาที่เปล่งแสงสีฟ้า ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรตัวนี้จะมีระดับเชาว์ปัญญาพอๆกันกับหมาป่าจันทราสีเงิน ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันไม่ได้ฉลาดเท่าจิ้งจอกวิญญาณสามหาง
“สัตว์อสูรนิรนามตัวนี้คืออะไรกันนะ? สัตว์อสูรภูเขา?”
เจียงอี้มองไปที่เพื่อนตัวใหญ่ตัวนี้ด้วยความสับสน มันเป็นสัตว์ประเภทตัวลิ่นที่มีเกล็ดอยู่รอบตัว ซึ่งมีความยาวเกินกว่าหกเมตรและสูงหนึ่งเมตร มันมีเขาหกเขาอยู่ที่หัว มีหนามแหลมอยู่ด้านหลังและมีหางยาวที่มีหนามเล็กๆเช่นกัน สัตว์อสูรตัวนี้ถูกปกคลุมไปด้วยแผ่นเกราะสีเหลืองที่สะท้อนแสงเย็นเยียบ ตั้งแต่เข่าไปจนถึงแขนขาของมันถูกปกคลุมด้วยหนามแหลมและแต่ละแขนแต่ละขามีกรงเล็บแหลมคมสี่ถึงห้านิ้ว หัวของมันไม่ยาวและมีรูปทรงแหลมเหมือนลิ่น แต่หัวของมันเหมือนหัวของวัว
“หนามที่หลังไม่เลวเลย ข้าสามารถนั่งตรงกลางได้แหละ!”
เจียงอี้มองไปที่หนามแหลมที่หลังของมันแล้วกระโดดขึ้นไปนั่งอยู่ระหว่างหนามที่ยาวหนึ่งเมตรสองเมตร เขาไม่ต้องกังวลกับการตกลงมาจากหลังของมันหลังจากที่เขาขึ้นไปอยู่บนตัวมันแล้ว เขาจับไปที่กับหนามแหลมเย็นๆด้านหน้าเขาและตะโกน “ขุด!”
“มอ มอ!”
สัตว์อสูรส่งเสียงคำรามออกมาในขณะที่ร่างกายสว่างขึ้นด้วยแสงสีเหลือง และกระโดดไปข้างหน้าด้วยแขนและขาทั้งสี่ของมัน หัวอันใหญ่ยักษ์มุดเข้าไปในพื้นดิน เขาทั้งหกบนหัวสว่างขึ้นพร้อมกับแสงสีเหลืองพร้อมกับเงาสะท้อน
มีบางสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น โคลนที่อยู่ด้านหน้านั้นกลายเป็นฝุ่นทันทีที่เขาของมันสัมผัสกับโคลน สัตว์อสูรนิรนามมุดเข้าไปในพื้นดินและสร้างอุโมงค์ขนาดใหญ่ด้วยความรวดเร็วและอันตรายนักขณะที่มันวิ่งไปอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตา มันก็ขุดลงไปในพื้นดินกว่าร้อยเมตรแล้ว
“แม่เจ้าโว้ย เจ้าสัตว์อสูรตัวนี้คืออะไร? หรือว่ามันจะเป็นสัตว์อสูรเผ่าพันธุ์โบราณ?”
เจียงอี้เลียริมฝีปากของเขาขณะที่สัตว์อสูรนั้นกำลังเดินทางราวกับว่ามันอยู่บนบก ด้วยเจ้าตัวภูเขาที่อยู่ในมือของเขา เขาสามารถหลบหนีลงใต้ดินได้ แล้วพวกจอมยุทธธรรมดาๆจะสามารถตามเขาได้หรือไม่? เขาเพียงแค่แกว่งดาบมังกรเพลิงลวกๆเพื่อปิดทางอุโมงค์ด้านหลังของเขาและผู้ไล่ตามเขามาจะต้องเสียเวลาขุดอุโมงค์ใหม่เพื่อไล่ล่าเขา
ผู้เชี่ยวชาญอาจจะใช้สิ่งประดิษฐ์ระดับวิญญาณหรือระดับสวรรค์ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็วในการขุดได้ แต่มันจะเร็วกว่าสัตว์อสูรตัวนี้หรือ? ยิ่งไปกว่านั้นความเร็วของสัตว์อสูรตัวนี้อาจไม่เทียบเท่ากับปีศาจจันทราสีเงิน แต่มันก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากเท่าไหร่นัก แน่นอนว่ามันก็ยังเป็นสัตว์อสูรตัวหนึ่งที่รวดเร็วกว่าสัตว์อสูรระดับสามทั่วไปอยู่ดี
“ขึ้นไปบนดิน“
เจียงอี้ออกคำสั่งแก่สัตว์อสูรตัวนี้ ซึ่งให้มันขึ้นไป มันวิ่งไปในมุมแนวตั้งเกือบจะเป็นแนวตั้งฉากซึ่งมันคงแกว่งเจียงอี้ตกไปแล้วหากร่างของเขาไม่ได้อยู่ระหว่างหนามแหลมยักษ์ทั้งสองนี้
“ปัง!”
พื้นผิวของหน้าดินระเบิดออก สัตว์อสูรพุ่งทะลุออกมาทำให้สัตว์อสูรระดับสองที่อยู่ใกล้ๆต่างกระเจิงไปด้วยความหวาดกลัว เจียงอี้ใช้มือของเขาสัมผัสเกล็ดสีเหลืองของสัตว์อสูรนิรนามตัวนี้และพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “ข้าอาจไม่รู้ว่าเจ้าเป็นสัตว์อสูรชนิดใด แต่เมื่อเจ้ากลายเป็นสัตว์วิญญาณของข้า ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าแล้วกัน ข้าจะเรียกเจ้าว่า เจ้าเหลืองใหญ่!”
“มอ ม๊ออออ!”
เจ้าตัวมหึมาเช่นนี้ถูกเจียงอี้ตั้งชื่อให้ราวกับมันเป็นสุนัข ดูเหมือนว่าสิ่งนี้ทำให้สัตว์อสูรชนิดนี้เกิดความไม่พอใจในขณะเดียวกันมันร้องเสียงดังออกมาราวกับต้องการที่จะประท้วง
“ฮ่าฮ่า เจ้าเหลืองใหญ่ ออกเดินทางไปหุบเขาอัคคีเมฆากันเถอะ!”
เมื่อได้รับสัตว์อสูรมาแล้ว เจียงอี้ก็ไม่ต้องการที่จะล่าช้าอีกต่อไปและสั่งให้เจ้าเหลืองใหญ่มุ่งหน้าตรงไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้
“เอ๊ะ?”
เมื่อพวกเขาเริ่มออกเดินทาง เจียงอี้ก็รู้สึกแปลกๆ สัตว์อสูรตัวนี้ดูเหมือนจะมีความเร็วที่ช้าเมื่ออยู่บนพื้นดิน? มันก็ไม่ได้ช้าขนาดนั้นหรอก แต่เห็นได้ชัดว่าช้ากว่าตอนที่มันเดินทางใต้ดิน หลังจากผ่านไประยะหนึ่งเจียงอี้ก็นึกอะไรบางอย่างได้และตะโกนออกมาว่า “เหลืองใหญ่ ลงไปใต้ดิน!”
“มอ มอออ!”
เหลืองใหญ่ขานรับด้วยน้ำเสียงลากยาวและรีบรุดลงไปใต้พื้นดินทันที เมื่ออยู่ใต้ดิน ความเร็วของมันเร็วขึ้นมากซึ่งทำให้เจียงอี้งงงวย ในขณะที่เขาไม่รู้ว่าทำไมมันจึงเป็นเช่นนี้
“งั้นเราจะเดินทางใต้ดิน! มันทั้งปลอดภัยกว่าและเราก็ไม่ต้องเลือกเส้นทางพร้อมความเร็วเต็มกำลังและตรงไปอย่างเดียว!”
ใต้ดินอาจจะค่อนข้างน่าเบื่อและมีอากาศเพียงเล็กน้อยเช่นกัน แต่เจียงอี้ก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก หลังจากที่เหลืองใหญ่ขุดมานานกว่าหลายร้อยเมตร ในเวลาต่อมา เจียงอี้ก็บอกให้มันตรงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เขาเพียงขึ้นไปดูด้านบนพื้นดินจากระยะไกลเพื่อให้แน่ใจว่าเขาจะไม่ไปผิดที่
มันปลอดภัยกว่ามากที่จะเดินทางผ่านใต้ดิน แม้ว่าจะมีสัตว์อสูรอยู่ใต้ดิน แต่โอกาสก็ยากนัก สัตว์อสูรเหล่านี้จะกล้าพุ่งเข้าหาเจ้าเหลืองใหญ่ซึ่งเป็นสัตว์อสูรระดับสามด้วยหรือ? ตอนนี้เจียงอี้ควบคุมเหลืองใหญ่และรีบไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ พวกเขาจะเดินทางไปในทิศทางตรงกันข้ามกับหุบเขาสามหมื่นลี้ ทำให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น
มันค่อนข้างคงที่เมื่อเจียงอี้ขี่เจ้าเหลืองใหญ่และสะดวกสบายกว่าขี่หมาป่าจันทราสีเงินเสียด้วย เจ้าเหลืองใหญ่เดินทางใต้ดินทำให้ดินและหินทั้งหมดกลายเป็นฝุ่นผงเมื่อสัมผัสกับเขาของมัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเลือกเส้นทางและไม่มีการกระแทกใดๆ มันเหมือนกับว่าเจียงอี้กำลังขี่ก้อนหินขนาดยักษ์ที่เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็ว
“ไม่เลว ไม่เลวเลย!”
หลังจากผ่านไปสักพัก เจียงอี้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ พวกเขาพบสัตว์อสูรใต้ดินระดับหนึ่ง แต่มันก็ถูกเขาของเจ้าเหลืองใหญ่สับเป็นชิ้นๆอย่างง่ายดายซึ่งทำให้เจียงอี้สบายขึ้นมาก มันค่อนข้างน่าเบื่อที่จะเดินทางใต้ดิน ดังนั้นเจียงอี้จึงเริ่มเข้าสู่สันโดษและเริ่มทำความเข้าใจท่อนที่สามของศาสตร์นิรนาม
“ทำไมข้าถึงไม่เข้าใจศาสตร์นิรนามท่อนที่สามนี้ได้สักทีนะ ข้าจะพลาดอะไรไป?”
หลังจากพยายามทำความเข้าใจเป็นเวลาหลายวัน เจียงอี้ก็ยังไม่สามารถเข้าใจมันได้ บทสวดนี้เริ่มดูลึกลับยิ่งขึ้น มันทำให้เจียงอี้สงสัยว่าการเข้าใจของเขาอยู่ในแนวคิดที่ถูกต้องหรือไม่ เขาตัดสินใจว่าถ้าเขายังไม่เข้าใจเมื่อผ่านไประยะหนึ่งแล้ว เขาก็คงจะต้องรอโอกาสที่จะช่วยให้เขาเข้าใจมันได้ทันที