เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 233
เจียงอี้นับว่าโชคดีมาก!
หากเขาไม่มีสัตว์อสูรที่สามารถเดินทางผ่านใต้ดินได้เขาคงจะถูกตรวจพบโดยหน่วยสอดแนมที่มาจากอาณาจักรต้าเซี่ยและอาณาจักรเสินหวู่ไปแล้ว หากสัตว์วิญญาณของเขามีความสามารถในการมุดดินไม่เร็วพอ เขาอาจจะถูกพบเข้าในไม่ช้า
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวหลายสิบคนจากอาณาจักรต้าเซี่ยได้ไปยังที่ที่เกิดแสงขึ้นและใช้ความเร็วสูงสุดเพื่อออกค้นหา มีคนพบอุโมงค์หลายแห่งและหลังจากลงไปลึกขึ้น หน่วยสอดแนมกลับไม่พบใครเลย หนึ่งในอุโมงค์เหล่านั้นถูกขุดขึ้นโดยเจ้าเหลืองใหญ่เมื่อเจียงอี้ได้มาถึงที่นี่และมีอุโมงค์อื่นๆที่เหมือนจะถูกขุดมานานแล้ว เจียงอี้หนีออกจากอุโมงค์อื่นและถล่มเส้นทางที่เขาจากมา ดังนั้นคนกลุ่มนี้จะตามหาเขาพบได้อย่างไร?
ซูผิงผิงระดมหน่วยสอดแนมจากบริเวณใกล้เคียงในรัศมีห้าร้อยกิโลเมตรมาตามหาอย่างละเอียด แต่กลับไม่พบเบาะแสใดๆจากการค้นหาเลย หลังจากหน่วยสอดแนมจากอาณาจักรต้าเซี่ยกลับไปแล้ว หน่วยสอดแนมจากอาณาจักรเสินหวู่ก็มาถึงในขณะที่หน่วยสอดแนมจากขั้วอำนาจต่างๆก็พากันมาค้นหา บางคนถึงกับเข้าไปสำรวจในเมืองใกล้เคียงในอาณาจักรต้าเซี่ยเพื่อพยายามหาร่องรอยบางอย่าง
และผลก็ออกมาเป็นที่ชัดเจนว่า
ไม่มีใครสามารถหาเบาะแสใดๆเกี่ยวกับลำแสงศักดิ์สิทธิ์ทั้งเก้าพบราวกับว่าหายไปอย่างลึกลับ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นและกองกำลังผู้มีอิทธิพลทั้งหมดรู้ว่าไม่มีใครที่ทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุนและเชื่อมต่อกับกฎเกณฑ์สวรรค์ เรื่องนี้กลายเป็นปริศนาที่ไม่อาจแก้ไขได้และทำให้เกิดความไม่พอใจในอยู่หัวใจของกษัตริย์หลายองค์ ซึ่งเป็นเหมือนเสี้ยนหนามที่คอยตามทิ่มแทงพวกเขา
เรื่องนี้ทำให้เกิดการสั่นคลอนครั้งใหญ่ไปทั่วทั้งทวีปและหัวข้อที่ร้อนแรงที่สุดในทุกๆเมืองคือเรื่องลำแสงศักดิ์สิทธิ์เก้าสาย หลายคนก็เล่าว่ามันเป็นอุกกาบาตที่พุ่งลงมาจากสวรรค์ บางคนก็เล่าว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างผู้อมตะบนสวรรค์…บางคนเล่าว่ามันเป็นผู้เชี่ยวชาญลึกลับที่ทำลายโซ่ตรวนและกลับคืนสู่อิสรภาพ
ผู้สร้างข้อมูลเหล่านี้ก็ปิดบังตัวตนเช่นกัน
ส่วนเจียงอี้นั้นไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้น แม้ว่าเขาจะรู้ เขาก็ไม่มีเวลาที่จะคิดเกี่ยวกับมัน ตอนนี้เขานั่งอยู่ในถ้ำใต้ดินที่มีความลึกหลายกิโลเมตร เขาใช้วิสัยทัศน์มองดูตันเทียนของเขาในขณะที่สีหน้าของเขาแสดงออกอย่างขมขื่น
ตันเทียนของเขาเปลี่ยนไป ไม่มีตำหนักสีม่วงอีกต่อไปแล้วแต่มันกลับมีดาวเก้าดวงปรากฏขึ้นมาแทน
นี่อาจเป็นผลมาจากท่อนที่สามของบทสวดนิรนามในระหว่างการเปลี่ยนแปลงหรือปฏิรูปใดๆ แต่ไม่มีใครเคยได้ยินเกี่ยวกับดาวเก้าดวงที่ปรากฏอยู่ในตันเทียนในประวัติศาสตร์ทั่วพิภพนี้มาก่อน เขาคงจะไม่ตกตะลึงเลยถ้าหากศาสตร์นิรนามนี้จะเปลี่ยนตันเทียนเป็นตำหนักม่วงขนาดมหึมาหรือตำหนักม่วงสามหลัง … หรือแม้กระทั่งกลับไปสู่ขอบเขตฉูติ่ง แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนทุกสิ่งไปอย่างสิ้นเชิง
ร่างกายของมนุษย์นั้นเป็นหลักสำคัญ หากร่างกายนั้นเปลี่ยนแปลงและไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป ใครๆก็คงจะตกอยู่ในสภาวะหวาดกลัวและความสับสน ลองคิดดูว่ามนุษย์กลายเป็นสัตว์ครึ่งตัว แม้ว่ามันจะทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้นถึงสิบเท่าหรือร้อยเท่าและทำให้เขากลายเป็นนักสู้อันดับหนึ่งของพิภพ เขาก็จะไม่มีความสุขเพราะเขาได้กลายเป็นอมนุษย์ไปแล้ว
และแน่นอน…
สถานการณ์ของเจียงอี้ยังถือว่าดีกว่า เนื่องจากเขาเป็นคนประหลาดตั้งแต่อายุยังน้อยจึงกลายเป็นว่าเขาสามารถทนต่อความประหลาดใจที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้ เมื่อเขายังเด็ก ตันเทียนของเขาถูกผนึกไว้ซึ่งถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยศาสตร์นิรนาม เมื่อเขาควบแน่นตำหนักม่วง เขาก็มีตำหนักม่วงสองหลัง ดังนั้นเมื่อตันเทียนเปลี่ยนร่างเป็นรูปแบบที่แปลกประหลาดนี้ เจียงอี้อาจจะหวาดกลัวและสับสน แต่มันก็ไม่มากพอสำหรับเขาที่จะกลายเป็นคนบ้าคลั่งไปเพราะเรื่องเช่นนี้
“หากไม่มีตำหนักม่วง จากนี้ข้าจะบ่มเพาะอย่างไรดีล่ะ? ข้าควรจะอยู่ขอบเขตใดหรือขั้นใดกันล่ะทีนี้?”
เจียงอี้นั่งอยู่ในถ้ำใต้ดินแล้วถอนหายใจไปพลางด้วยความสับสน ขั้นตอนการฝึกฝนของจอมยุทธนั้นวัดจากระดับความแรงของแก่นแท้พลังในตำหนักม่วง ยิ่งแก่นแท้พลังในตำหนักม่วงมีมากเท่าไหร่ ขั้นของการบ่มเพาะพลังก็จะยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น เมื่อถึงจุดสูงสุดของตำหนักม่วงก็จะมีการเปลี่ยนแปลงคุณภาพไปและเปลี่ยนแก่นแท้พลังเหลวทั้งหมดให้เป็นรูปร่างเพื่อควบแน่นเสินตันจากนั้นก็บุกทะลวงสู่ขอบเขตเสินโหยว
หากไม่มีตำหนักม่วง ดูเหมือนว่าเจียงอี้จะไม่สามารถควบแน่นเสินตันได้ เจียงอี้ได้อ่านข้อมูลเกี่ยวกับเสินตันมาบ้าง และดวงดาราทั้งเก้าดวงเหล่านี้ไม่น่าจะใช่มัน เพราะเสินตันนั้นเปล่งเปล่งแสงสีทองและจะหมุนวนอย่างต่อเนื่อง แต่ดาวทั้งเก้าดวงนี้มืดมนและจางเหมือนกองมูลวัวเก้ากองซึ่งไม่มีอะไรที่ดูเหมือนเสินตันในตำราเลยเลย
เนื่องจากในกรณีนี้ มันหมายความว่าระดับการบ่มเพาะพลังของเจียงอี้ไม่สามารถตัดสินได้ด้วยระบบดั้งเดิม กล่าวอีกนัยหนึ่ง…ไม่มีทางรู้เลยว่าเขากำลังอยู่ในช่วงการฝึกฝนขั้นใดหรือขอบเขตใด เขาคงต้องตัดสินมันจากความเร็วและความแข็งแกร่งของวรยุทธและกระบวนท่าวิชาการต่อสู้เสียแล้ว
นี่แหละปัญหา!
เมื่อเจียงอี้หลบหนีไป เขาก็รู้ว่าความเร็วของเขาเพิ่มมากกว่าเดิมสองเท่าซึ่งใกล้เคียงกับความเร็วในระดับเดียวกับจอมยุทธขอบเขตจื่อฝู่ขั้นที่ห้า แก่นแท้พลังสีดำอาจจะแข็งแกร่งกว่าแก่นแท้พลังสีน้ำเงินมาตลอด แต่ความเร็วของเขาก็ไม่น่าจะเร็วเช่นนี้ได้
“แก่นแท้พลังสีน้ำเงิน! แล้วแก่นแท้พลังสีน้ำเงินของข้าล่ะ?”
เจียงอี้สังเกตเห็นสิ่งแปลกประหลาดอีกอย่างหนึ่ง มีแก่นแท้พลังสีดำนับหมื่นในดาวเก้าดวงนั้น แต่แก่นแท้พลังสีน้ำเงินจำนวนมากก็หายไป เขาใช้วิสัยทัศน์สำรวจเป็นเวลานานและยืนยันว่าไม่มีแก่นแท้พลังสีน้ำเงิน เขาจึงเริ่มเข้าสู่การทำสมาธิในทันทีและบ่มเพาะพลังโดยใช้วรยุทธวารีตระกูลเจียง
ในที่สุด …
หลังจากบ่มเพาะพลังเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง เขาก็ต้องตกใจเมื่อรู้ว่าไม่มีแก่นแท้พลังสีน้ำเงินปรากฏขึ้นมาแม้แต่เพียงเส้นเดียว
“เกิดอะไรขึ้น? ข้าไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้อีกต่อไปแล้วหรือ?”
เจียงอี้บ่มเพาะพลังอีกครั้งและในที่สุดก็ตระหนักถึงสาเหตุของปัญหา
วรยุทธวารีตระกูลเจียงยังคงสามารถนำมาใช้บ่มเพาะพลังได้ แต่แก่นแท้พลังนั้นไม่ปรากฏในตันเทียน มันไปปรากฏอยู่ในดาวดวงแรกทางซ้ายและที่จริงแล้วมันก็คือ…แก่นแท้พลังสีดำ! ความเร็วในการฝึกฝนของเขาช้ากว่าเดิมมาก ซึ่งมันผลิตแก่นแท้พลังสีดำเพียงสามเส้นหลังจากบ่มเพาะพลังมานาน
“ให้ข้าลองศาสตร์นิรนาม!”
เจียงอี้ถ่ายเทศาสตร์นิรนามไปทั่วซึ่งทำให้เกิดการตอบสนองอย่างมหาศาล แก่นแท้พลังสีดำปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วในดาวดวงแรกทางซ้ายด้วยความเร็วซึ่งเร็วกว่าวรยุทธวารีตระกูลเจียงสิบเท่า มันเป็นความเร็วเท่ากับเมื่อตอนที่เขามีตำหนักม่วงสองหลัง
“วรยุทธวารีตระกูลเจียงสามารถบ่มเพาะแก่นแท้พลังสีดำได้จริงหรือ? และ…แก่นแท้พลังสีดำนี้อยู่ในสถานะอากาศธาตุ แต่ความเร็วเพิ่มขึ้นสิบเท่า?”
เจียงอี้เกิดความสับสน หลังจากทดลองเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงในที่สุดเขาก็สามารถตรวจสอบประเด็นได้บ้าง ประการแรก วรยุทธวารีตระกูลเจียงยังคงบ่มเพาะได้ แต่ค่อนข้างช้ากว่าศาสตร์นิรนาม ความเร็วในการบ่มเพาะของศาสตร์นิรนามนั้นเร็วเหมือนก่อนหน้านี้
ประการต่อมาเกี่ยวกับดวงจิตของเขา เจียงอี้รู้สึกถึงร่องรอยของการเปลี่ยนแปลง แต่เขาไม่สามารถระบุได้ว่ามันคืออะไร ถึงกระนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่ามันแตกต่างจากเมื่อก่อน
“ช่างมันเถอะ เดี๋ยวข้าก็ค่อยๆคิดออกเองแหละ หากข้าไม่บรรลุสิ่งที่ข้าต้องทำในตอนนี้ ข้าก็คงจะไปภพหน้าและไม่ได้สนใจว่าตันเทียนของข้าเปลี่ยนเป็นอะไรแล้วแหละ”
ด้วยความสงสัยมากมายที่รบกวนเจียงอี้อยู่ เขาไม่สามารถคิดเรื่องนี้ได้อีกแล้ว เขาเพียงรู้ว่าด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา เขายังสามารถฆ่าได้ นั่นก็เพียงพอแล้ว!
“ขึ้นไปบนพื้นดิน!”
เขากระโดดขึ้นตัวเจ้าเหลืองใหญ่ที่อยู่ข้างๆเขาและให้มันพาขึ้นไปยังพื้นผิวดิน จากการคำนวณของเขา ในตอนนี้ขบวนคุ้มกันเจ้าสาวควรจะผ่านหุบเขาทลายวิญญาณและกำลังจะเข้าสู่ดินแดนของอาณาจักรต้าเซี่ยแล้ว หากเขาไม่ไปที่นั่นทันที เมื่อกองทัพเคลื่อนขบวนไปถึงเมืองเซี่ยยวี่ในอีกสองสามวัน เขาจะสูญเสียโอกาสทั้งหมดไปอย่างสมบูรณ์
“มอ มออ!”
ความเร็วของเจ้าเหลืองใหญ่นั้นเร็วมากและใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะขึ้นมาถึงพื้นผิวดิน เจียงอี้วิเคราะห์ภูมิประเทศและควบคุมเจ้าเหลืองใหญ่ไปเมืองที่ใกล้หุบเขาทลายวิญญาณที่สุด
ครึ่งวันต่อมา เจียงอี้พบเมืองเล็กๆ เขาเก็บเจ้าเหลืองใหญ่ไว้ในเครื่องรางสัตว์วิญญาณและเดินเข้าไปในเมืองเล็กๆแห่งนี้และใช้จ่ายออกไปจำนวนหนึ่งเพื่อฟังข้อมูลที่น่าประหลาดใจมาก
ขบวนคุ้มกันเจ้าสาวของเซี่ยอู๋หุ่ยยังไม่ไปถึงอาณาจักรต้าเซี่ย แม้แต่เหล่าหน่วยสอดแนมก็ยังไม่ปรากฏ นี่หมายถึงว่าขบวนคุ้มกันเจ้าสาวยังไม่ได้เข้าสู่ดินแดนของอาณาจักรต้าเซี่ยและยังอยู่ในอาณาจักรเสินหวู่
“เกิดอะไรขึ้น?”
ดวงตาที่ไม่มั่นใจส่องประกายอยู่ภายใต้หน้ากากปีศาจของเจียงอี้ เขาจะไม่ยอมปล่อยโอกาสที่ดีเช่นนี้ไปอยู่แล้ว เขาออกจากเมืองทันทีและใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดเพื่อรีบไปที่หุบเขาทลายวิญญาณ
ครึ่งวันต่อมา เจียงอี้ก็เดินทางมาถึงบริเวณใกล้หุบเขาทลายวิญญาณในขณะที่หน่วยสอดแนมล่วงหน้าของขบวนคุ้มกันเจ้าสาวยังไม่มาถึง เขาสำรวจรอบพื้นที่อย่างรวดเร็วและพบมุมอับและขุดลงไปอยู่ใต้ดินโดยใช้เจ้าเหลืองใหญ่ก่อนจะไปอยู่ใต้หุบเขาทลายวิญญาณ เขาจัดเตรียมเส้นทางใต้ดินทั้งหมดเป็นเวลาหกชั่วโมงก่อนที่จะหยุดพัก
เขามองไปที่อุโมงค์อันกว้างขวางใต้หุบเขาทลายวิญญาณและปล่อยเสียงพึมพำออกมาก่อนที่เขาจะหลับ “ข้าได้ทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้แล้ว ไม่ว่าข้าจะสามารถปล้นสมุนไพรสยบวิญญาณได้หรือไม่ ส่วนที่เหลือนั้นก็คงต้องขึ้นอยู่กับความเมตตาจากสวรรค์แล้ว!”