เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 244
หลังจากที่เดินทางอยู่ใต้ดินตลอดทั้งวัน เจียงอี้ก็เดินทางมาถึงเมืองขนาดเล็กที่อยู่ทางเหนือของเมืองเซี่ยยวี่ มันมีชื่อว่าเมืองกุ้ยฮวา(หอมหมื่นลี้)!
หลังจากที่ทำการสืบหาข่าว เขาก็พบว่ากองทัพได้เคลื่อนขบวนผ่านเมืองกุ้ยฮวาไปแล้วและคาดว่าจะไปถึงเมืองเซี่ยยวี่ในช่วงเย็น ซึ่งนั่นก็หมายความว่าเขามีเวลาตลอดทั้งช่วงบ่ายเพื่อที่จะดำเนินแผนการ
นี่คือโอกาสสุดท้าย!
ในเวลานี้ เจียงอี้หาได้รีบร้อนไม่ เขาตรงไปยังโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งเพื่อทานอาหารและชำระร่างกายก่อนที่จะเปลี่ยนชุดใหม่และออกจากเมืองไป
เมื่อออกมาได้ไกลพอสมควร เขาก็ถอดหน้ากากหนังมนุษย์ออกและสวมหน้ากากปีศาจทับลงไปแทน จากนั้นก็นำเครื่องรางสัตว์วิญญาณออกมาพร้อมกับตะโกน “จงออกมา อินทรีมังกร!”
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
เงาดำขนาดยักษ์พุ่งขึ้นไปบนฟากฟ้าก่อนที่จะโฉบลงมาที่เบื้องหน้าของเจียงอี้ อินทรีมังกรตัวนี้มีความสูงถึงหกเมตร ร่างกายของมันถูกปกคลุมด้วยขนสีดำขลับราวกับถูกหลอมขึ้นมาจากเหล็กกล้า
เจียงอี้กระโดดขึ้นไปบนหลังของมันและกอดคอมันไว้แน่นก่อนที่จะกล่าว
“ตรงไปทางทิศใต้ด้วยความเร็วสูงสุดของเจ้า!”
“แกว๊ก!”
ปีกอันใหญ่โตของมันสยายออกและกระพือไปด้านข้างพร้อมกับสร้างพายุขนาดเล็กในขณะที่ร่างของมันกำลังลอยสูงขึ้น จากนั้นก็ทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูงสุด
ผมสีดำของเจียงอี้ปลิวไปตามแรงลม แม้แต่ดวงตาก็แทบจะลืมไม่ขึ้นเมื่อปะทะเข้ากับกระแสลม เมื่อมองไปเบื้องล่างเขาก็พบว่าตัวเมืองกำลังเล็กลงเรื่อยๆ
เม็ดเหงื่ออันเย็นเยียบไหลซึมออกมาจากฝ่ามือ ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มรู้สึกวิงเวียนศีรษะ ความรู้สึกนี้มันช่างคล้ายกับตอนที่ร่วงลงมาจากเจดีย์ในสุสานราชันสวรรค์หมื่นมังกรยิ่งนัก
“พอ พอ ไม่ต้องบินสูงขึ้นไปกว่านี้แล้ว!”
เมื่ออยู่เหนือระดับพื้นดินประมาณสามสิบกิโลเมตร ขนาดของผู้คนที่อยู่เบื้องล่างก็ไม่ต่างอะไรไปจากมด
ในความคิดของเจียงอี้ อย่าว่าแต่ผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวเลย เกรงว่าแม้แต่ยอดฝีมือขอบเขตจินกังก็ยากที่จะโจมตีเขาได้ในความสูงระดับนี้
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความคิดของเด็กอ่อนประสบการณ์อย่างเจียงอี้เท่านั้น…ในความเป็นจริง ยอดฝีมือขอบเขตจินกังสามารถเหาะเหินเดินอากาศและยังสามารถสังหารเขาได้อย่างง่ายดายราวกับบดขยี้มดแมลง
ความเร็วของอินทรีมังกรนั้นไม่เลวเลยทีเดียว เมื่อผนวกกับการเคลื่อนขบวนที่เชื่องช้าของกองทัพขนาดใหญ่ เจียงอี้ก็มั่นใจว่าจะสามารถไล่ตามพวกมันได้ทันภายในเวลาสองชั่วโมง
……
ความเร็วของขบวนทัพเป็นไปตามธรรมชาติ แต่เนื่องจากที่ด้านล่างของถนนสายหลัก มีการขุดอุโมงค์ซึ่งก็คือการป้องกันอีกชั้นหนึ่งที่ถูกเสริมขึ้นมาทำให้ความเร็วของขบวนทัพยิ่งช้าลงไปอีก
ตามการคาดการณ์ พวกเขาเหลือว่าเวลาอีกเพียงแค่สี่ชั่วโมงเท่านั้นก่อนที่จะไปถึงเมืองเซี่ยยวี่ ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าเจียงอี้จะไม่มีทางได้แตะต้องเซี่ยอู๋หุ่ยอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม เมื่อเข้าใกล้เมืองเซี่ยยวี่เท่าใด กลุ่มนักเดินทางและบรรดาพ่อค้าก็ยิ่งเพิ่มจำนวนมากขึ้น หากว่าเจียงอี้เกิดคลุ้มคลั่งและลงมือโจมตีกองทัพอีกครั้ง ทั้งเซี่ยอู๋หุ่ยและซูตี๋กั๋วก็จะต้องพบกับความอับอายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ตึง ตึง ตึง!
บนถนนสายหลัก บรรดาพ่อค้าน้อยใหญ่มากมายต่างก็หลบอยู่ข้างทางเพื่อปล่อยให้กองทัพเคลื่อนขบวนผ่านไปก่อน
ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้จะเป็นพลเมืองของอาณาจักรต้าเซี่ย เมื่อพวกเขามองเห็นซูตี๋กั๋วจากระยะไกล พวกเขาต่างก็คุกเข่าลงและทำความเคารพทันที
ต้องไม่ลืมว่าชายผู้นี้เป็นถึงแม่ทัพใหญ่เพียงคนเดียวของอาณาจักรต้าเซี่ยและยังถือว่าเป็นหน้าเป็นตาของประชาชนทั่วทั้งอาณาจักร
“อืม!”
ซูตี๋กั๋วเชิดหน้าด้วยความภาคภูมิใจและรู้สึกดีทุกครั้งที่ถูกปฏิบัติด้วยความเคารพสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามนี้มีองค์ชายอย่างเซี่ยอู๋หุ่ยและกองทัพของอาณาจักรเสินหวู่เดินตามอยู่ข้างหลัง
“ชู่! ชู่ว!”
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงกรีดร้องของสัตว์อสูรก็ดังกึกก้องไปทั่วท้องน่านฟ้า ซูตี๋กั๋วรีบเงยหน้าขึ้นไปมองและเห็นจุดสีดำขนาดเล็ก เมื่อเพ่งมองดีๆ เขาก็พบว่ามันคือร่างของนักยักษ์ตัวหนึ่งและยังมีคนอยู่บนหลังของมัน
ภายในอาณาจักรต้าเซี่ยมีคนอยู่จำนวนไม่น้อยที่มีสัตว์วิญญาณอยู่ในครอบครอง แต่กับสัตว์วิญญาณที่บินได้เหล่านี้กลับมีอยู่เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เขาไม่เชื่อว่าจะมีชาวต้าเซี่ยคนไหนที่จะกล้าขี่สัตว์วิญญาณผ่านเหนือศีรษะของเขารวมไปถึงกองทัพขนาดใหญ่เช่นนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าผู้ที่มาใหม่ไม่ได้มาด้วยเจตนาดีอย่างแน่นอน
“องครักษ์!”
ซูตี๋กั๋วรีบออกคำสั่ง ทันใดนั้นบรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวก็รีบกลับขึ้นไปบนหลังม้าและตรงไปยังเนินเขาสูงที่อยู่ไม่ไกลออกไป
“หืม?”
เซี่ยอู๋หุ่ยมองลอดผ้าม่านออกมาพร้อมกับการแสดงออกทางสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความสับสนขณะที่คิดในใจ
“คนผู้นั้นใช่เจียงอี้หรือไม่? ไม่สิ ไม่น่าเป็นไปได้ ข้าได้ยินมาว่ามันครอบครองสัตว์โบราณที่ถูกเรียกว่าเถาอู้ไปแล้วนิ? ไม่มีทางที่มันจะครอบครองสัตว์วิญญาณสองตัวได้ในเวลาเดียวกัน!”
“แต่ถ้าหากไม่ใช่เจียงอี้… แล้วคนผู้นั้นคือใคร?”
“ชู่ว!”
การปรากฏตัวของอินทรีมังกรทำให้สถานการณ์ตกอยู่ในความตึงเครียด ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทั้งหมดต่างก็โคจรแก่นแท้พลังและเตรียมพร้อมที่จะลงมือได้ทุกเมื่อ
ในขณะเดียวกัน ทหารหนึ่งพันนายก็นำหน้าไม้สังหารเทพขึ้นมาและเล็งไปที่อินทรีมังกร หากว่ามันเข้ามาใกล้ พวกเขาก็สามารถระดมยิงได้ทันที
ซูตี๋กั๋วกำลังนั่งอยู่บนหลังของสัตว์อสูรตัวใหญ่ที่ดูแข็งแรงกำยำ ในเวลาเดียวกันเขาก็ปลดปล่อยแรงกดดันอันมหาศาลออกมาและคำราม “เจ้าเป็นใคร? ข้าคือแม่ทัพใหญ่แห่งอาณาจักรต้าเซี่ย ซูตี๋กั๋ว! รีบไสหัวกลับไปซะ มิฉะนั้นอย่าได้หาว่าข้าไม่เตือน!”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
หลังจากที่สั่งให้อินทรีมังกรดิ่งลงมาจากท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง ชายที่สวมหน้ากากปีศาจก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาก่อนที่จะตะโกน
“แม่ทัพซู ข้าไม่คิดที่จะตั้งตนเป็นศัตรูกับอาณาจักรต้าเซี่ย! หากพวกเจ้ายอมถอยไปแต่โดยดี ข้าก็จะไม่แตะต้องกองทัพของพวกเจ้า”
“ข้ามาที่นี่เพียงเพราะต้องการสมุนไพรสยบวิญญาณก็เท่านั้น ตราบเท่าที่เซี่ยอู๋หุ่ยยอมมอบมันให้ข้าแต่โดยดี ข้าก็จะรีบจากไป ไม่อย่างนั้น… ก็คงต้องรบกันสักตั้ง!”
“เจียงอี้!!”
ทันใดนั้น ภายในกองทัพก็บังเกิดความโกลาหล เจียงอี้กล้ามาปรากฏตัวอีกครั้งแล้วจริงๆ? อีกทั้งยังกล่าววาจาสามหาวต่อหน้าแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่?
นอกจากนี้ เขายังกล้าที่จะข่มขู่องค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรเสินหวู่ต่อหน้าทุกคนในกองทัพและผู้เชี่ยวชาญนับไม่ถ้วน? นี่เขาไปกินดีหมีมาหรือไงถึงได้วอนตายเช่นนี้!
“นี่มันทำยังไงถึงสามารถสร้างพันธะกับสัตว์วิญญาณทั้งสองตัวในเวลาเดียวกัน? หรือว่าวิหคเพลิงอมตะเมื่อครั้งนั้นก็เป็นของมันด้วยเช่นกัน?”
เซี่ยอู๋หุ่ยทั้งตกตะลึงและสับสน แต่เขาก็มั่นใจว่าคนผู้นี้คือเจียงอี้ไม่ผิดแน่ ยิ่งเมื่อเห็นการกระทำที่ไม่เห็นหัวใครเช่นนี้ โทสะของเขาก็ยิ่งปะทุออกมาขณะตะโกนออกคำสั่ง
“ฆ่ามัน! ฆ่าไอ้คนทรยศนั่นซะ!”
บรรดาผู้เชี่ยวชาญจากอาณาจักรเสินหวู่ต่างก็ต้องการที่จะสังหารเจียงอี้ แต่เนื่องจากเขาอยู่สูงจากพื้นหลายกิโลเมตร การโจมตีของพวกเขาคงไปไม่ถึงอีกฝ่ายเป็นแน่!
ซูตี๋กั๋วที่โกรธเกรี้ยวเนื่องจากถูกเหยียบย่ำศักดิ์ศรีก็เอ่ยขึ้น “องค์ชายอู๋หุ่ยเป็นแขกคนสำคัญของอาณาจักรต้าเซี่ยและยังอยู่ภายใต้ความดูแลของข้า”
“ข้าขอเตือนเป็นครั้งสุดท้ายว่าให้เจ้ารีบกลับไปเสีย ไม่เช่นนั้น เจ้าจะกลายเป็นศัตรูของอาณาจักรต้าเซี่ยและจะถูกสังหารโดยไม่มีการเจรจา!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้ที่อยู่บนหลังของอินทรีมังกรหาได้สนใจคำขู่นั้นไม่ เขาหันไปมองรถม้าหลายสิบคันเบื้องล่างและตะโกนด้วยความเหยียดหยาม
“เซี่ยอู๋หุ่ย! หากเจ้าเป็นลูกผู้ชาย ก็ไสหัวออกมาซะ! เป็นถึงเชื้อสายกษัตริย์ แต่มุดหัวอยู่แต่ในกระดองแบบนี้มันใช้ได้รึ? ส่งสมุนไพรสยบวิญญาณมาเสียแต่โดยดี แล้วข้าจะไม่ทำให้เจ้าอับอายไปมากกว่านี้!”
“สารเลว!!”
ในที่สุดเซี่ยอู๋หุ่ยก็ไม่สามารถทนการถูกเหยียดหยามได้อีกต่อไป เขาพังหลังคารถม้าและกระโดดขึ้นมาอยู่ด้านบน ตามมาด้วยขันทีชราที่รีบมาปรากฏอยู่ข้างกายและบรรดาองครักษ์ขอบเขตเสินโหยวที่ล้อมเขาเอาไว้
“เจียงอี้! สมุนไพรสยบวิญญาณอยู่กับองค์ชายผู้นี้ หากว่าแน่จริงก็รีบลงมาเอาซะ!”
“จัดให้ตามที่ขอ!” เจียงอี้แสยะยิ้ม
ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นทหารธรรมดา หรือแม้แต่นักสู้ชั้นสูงต่างก็อยู่ในสภาวะพร้อมรบอย่างสมบูรณ์ ศาสตราวุธของบรรดาผู้เชี่ยวชาญรวมไปถึงซูตี๋กั๋วสาดแสง ทันใดนั้นคลื่นพลังจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกยิงขึ้นไปบนฟ้า
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ดวงตาของเจียงอี้เต็มไปด้วยความเย้ยหยัน เขามองเห็นคลื่นพลังรวมไปถึงลูกศรจำนวนมากที่ถูกยิงขึ้นมาได้อย่างชัดเจน
แม้ว่าเขาจะลดระดับความสูงจนอยู่เหนือพื้นดินเพียงแค่เก้ากิโลเมตร แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่การโจมตีเหล่านั้นจะมาถึงตัวเขาได้
เจียงอี้สั่งให้อินทรีมังกรบินขึ้นสูงอีกเล็กน้อย ในเวลาเดียวกันหินวิญญาณเพลิงก็ถูกเรียกออกมา โดยไม่รอช้า เขารีบขว้างมันลงไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี
“ทุกคนรีบกระจายตัวเร็วเข้า!”
“หนี!”
เมื่อหินวิญญาณเพลิงปรากฏออกมา สีหน้าของเว่ยกงกง, ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทั้งหมดรวมไปถึงซูตี๋กั๋วก็บิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด
โดยไม่รอช้า ขันทีชราใช้มือข้างหนึ่งคว้าไปที่ร่างของเซี่ยอู๋หุ่ยและหลบหนีด้วยความเร็วสูงสุดจนทิ้งไว้เพียงภาพติดตา
เพียงแค่หินก้อนเดียว แต่กลับทำให้กองทัพทั้งหมดตกอยู่ในความโกลาหล พวกนักสู้ระดับสูงของกองทัพที่สัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของมันต่างก็หนีกระเจิงกันไปคนละทิศคนละทาง
ปังง!
หินวิญญาณเพลิงถูกเขวี้ยงลงมาเร็วเกินไปทำให้เปลวเพลิงสีเขียวระเบิดออกมากลางอากาศและแผ่ขยายไปทั่วทั้งบริเวณ
ทหารนับพันที่ไม่แบ่งแยกว่าเป็นของอาณาจักรไหนต่างก็ได้รับผลกระทบจากไอความร้อนที่น่าสะพรึงกลัวอย่างถ้วนหน้า
“อ๊าก—!”
“ม่ายยยย!”
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวมีประสาทสัมผัสที่ไวกว่าจึงทำให้หลบหนีได้ทันท่วงที ในขณะเดียวกัน เมื่อเห็นปฏิกิริยาของพวกผู้บังคับบัญชา ทหารธรรมดาทั้งหลายต่างก็ต้องการที่จะหลบหนีเอาชีวิตรอดด้วยเช่นกัน แต่ด้วยจำนวนที่มากเกินไป พวกเขาจะหลบหนีไปไหนได้?
ในที่สุดหินวิญญาณเพลิงก็ตกลงมาถึงเบื้องล่าง ทหารหลายร้อยนายตกตายในพริบตาและยังมีทหารอีกเกือบพันนายที่ถูกลูกหลงจนทำให้ร่างกายถูกแผดเผา
“ชู่! ชู่!”
อินทรีมังกรดิ่งลงมาอีกครั้ง ในขณะเดียวกันดวงตาของเจียงอี้ก็จับจ้องไปที่ร่างของเซี่ยอู๋หุ่ยซึ่งถูกหิ้วโดยขันทีชรา จากนั้นก็ตะโกน
“เซี่ยอู๋หุ่ย หากเจ้าไม่ส่งสมุนไพรสยบวิญญาณมาให้ข้า ข้าจะบดขยี้ค่ายเสินหวู่ทิ้งเสีย!”
“ส่วนเจ้า ซูตี๋กั๋ว! จงสั่งให้คนของเจ้าถอยออกไปซะ มิฉะนั้นนายน้อยผู้นี้จะไม่รับผิดชอบต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้!”