เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - ตอนที่ 264
ฟิ้ววว!
เหนือน่านฟ้าอาณาจักรเป่ยหมาง นกยูงห้าสี, อินทรีมังกรและวิหคยักษ์อีกตัวหนึ่งกำลังเหินบินด้วยความเร็วสูงสุด
นอกจากนี้ บนหลังของพวกมันยังบรรทุกคนอีกนับโหล ในบรรดาคนเหล่านั้นมีทั้งรุ่นเยาว์และรุ่นอาวุโส รวมไปถึงนักบวชจำนวนหนึ่ง
แต่สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือสีหน้าอันอิดโรยซึ่งเผยให้เห็นถึงความเหนื่อยล้าและดวงตาสีแดงก่ำ
กองทัพสัตว์อสูรได้เคลื่อนพลเข้ามาในอาณาจักรเป่ยหมางและสังหารผู้คนไปตลอดทาง นับตั้งแต่ที่เจียงอี้และคนที่เหลือได้ข้อสรุปว่าจิ้งจอกน้อยน่าจะอยู่ที่เมืองเทียนชิง พวกเขาต่างก็เดินทางตลอดทั้งวันทั้งคืนเพื่อที่จะตามหามันและหยุดการเข่นฆ่าที่ไร้ความหมายนี้ให้เร็วที่สุด
อีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนว่าราชาของอาณาจักรเป่ยหมางจะเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมมิใช่น้อยและสามารถคาดการณ์ถึงจุดหมายปลายทางของกองทัพสัตว์อสูรได้
เขาไม่สนใจว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง หากว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรต้องการที่จะบุกทำลายเมืองเทียนชิง เขาก็ยินดีที่จะช่วยเหลือมือมืดที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังให้ดำเนินแผนการได้สำเร็จ
และนี่ก็ยังเป็นสาเหตุที่ราชาแห่งอาณาจักรเป่ยหมางไม่ได้รวบรวมกำลังพลเพื่อเข้าขัดขวางกองทัพสัตว์อสูร และทำเพียงแค่อพยพผู้คนซึ่งอยู่ในเมืองที่คาดว่ากองทัพสัตว์อสูรจะเคลื่อนตัวผ่านก็เท่านั้น
เป็นไปตามที่เจียงอี้คาดไว้ กองทัพสัตว์อสูรกำลังมุ่งหน้าไปทางเมืองเทียนชิงจริงๆและทำให้จักรวรรดิมังกรเวหาเริ่มอกสั่นขวัญแขวน
เมืองเทียนชิงถือว่าเป็นรากฐานของจักรวรรดิ หากว่ามันถูกทำลายไป จักรวรรดิมังกรเวหาก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการล่มสลายได้อย่างแน่นอน
ในเวลานี้ พวกเขาได้ส่งคำร้องขอความช่วยเหลือไปยังอาณาจักรต่างๆ อีกทั้งยังเสนอสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์และศิลาสวรรค์หนึ่งร้อยก้อนให้เป็นรางวัลสำหรับผู้ที่มาช่วยเหลือพวกเขาในการต่อต้านกองทัพสัตว์อสูร
ในที่สุดกรรมก็ตามสนอง!
นอกเหนือจากกลุ่มของเจียงอี้ที่มุ่งหน้าไปยังเมืองเทียนชิง ทางด้านอาณาจักรบริวารที่เหลือต่างก็ไม่ยินยอมที่จะส่งทหารออกมาช่วยเลยแม้แต่คนเดียว
ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะช่วงเริ่มแรกที่สัตว์อสูรก่อจลาจล จักรวรรดิมังกรเวหาได้กระทำสิ่งที่ไม่ต่างอะไรไปจากการเยาะเย้ยผู้ที่ประสบกับความทุกข์ทรมาน แต่ในตอนนี้พวกเขากลับต้องตกอยู่ในสภาพเลวร้ายไม่ต่างกัน แล้วทำไมอาณาจักรทั้งหกถึงจะต้องช่วยเหลือพวกเขาด้วย?
บรรดาผู้ยิ่งใหญ่อย่างสุ่ยโย่วหลาน, นักบวชเฒ่า, จูเก๋อชิงหยุนและคนอื่นๆต่างก็เริ่มเป็นกังวล หากจักรวรรดิมังกรเวหาถูกกวาดล้าง สมดุลแห่งขั้วอำนาจภายในทวีปก็จะพังทลาย
แม้ว่าในอนาคตการจลาจลของสัตว์อสูรจะบรรเทาลง แต่สงครามระหว่างอาณาจักรทั้งหกจะต้องปะทุขึ้นอย่างแน่นอนและผู้ที่จะได้รับความทุกข์ทรมานที่สุดก็ย่อมหนีไม่พ้นไพร่ฟ้าประชาชน
อีกอย่างหนึ่ง… จักรพรรดินีสัตว์อสูรอาจจะเป็นผู้ที่ทะลวงผ่านขั้นสุดท้ายและบรรลุระดับราชันสวรรค์แล้วก็เป็นได้
ในกรณีนั้น แม้ว่ายอดฝีมือทั้งหลายจะร่วมมือกัน แต่พวกเขาก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะสามารถกำราบนางได้สำเร็จ หากพวกเขาสิ้นชีพในการต่อสู้ ก็จะไม่มีใครสามารถรับมือกับจักรพรรดินีสัตว์อสูรได้อีกต่อไปและทั่วทั้งทวีปนี้ก็อาจจะกลายเป็นสนามหลังบ้านของเหล่าสัตว์อสูรไปโดยปริยาย
ดังนั้นสุ่ยโย่วหลานและคนอื่นๆจึงไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหวสุ่มสี่สุ่มห้า พวกเขาต้องการรอให้การต่อสู้ในเมืองเทียนชิงสิ้นสุดเสียก่อน
จักรวรรดิมังกรเวหาอยู่ในช่วงพักฟื้นมาเป็นเวลาหมื่นปี ดังนั้นพวกเขาก็สมควรที่จะมีเหล่ามือดีอยู่เป็นจำนวนมาก มันจึงไม่สายเกินไปที่สุ่ยโย่วหลานและคนที่เหลือจะก้าวเข้ามาในช่วงสุดท้าย
กองทัพอสูรมุ่งหน้าไปยังเมืองเทียนชิงซึ่งตั้งอยู่ระหว่างอาณาจักรเป่ยหมางและอาณาจักรเป่ยเหลียง ราชาของอาณาจักรเป่ยหมางได้เปิดเส้นทางให้กับพวกมันและกระทั่งยอมปล่อยให้พวกมันเหยียบทำลายเมืองที่ไร้ซึ่งผู้คน
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอีกสามวันกองทัพสัตว์อสูรคงจะเดินทางไปถึงเมืองเทียนชิงเป็นแน่แท้
ในช่วงเที่ยงวัน ในที่สุดกลุ่มของเจียงอี้ก็เดินทางมาถึงหน้าประตูของเมืองขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
เมืองเทียนชิงเป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิมังกรเวหาและยังเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในทวีป ภายในนั้นมีประชาชนอยู่หลายล้านคน หากว่ามันถูกทำลายไป ผู้คนเหล่านั้นก็จะต้องถูกฝังไปพร้อมกับมัน
“นั่นใคร? เมืองเทียนชิงปิดทางเข้าออกหมดแล้ว พวกเจ้ามาทางไหนก็ให้กลับไปทางนั้น มิฉะนั้นจะถูกฆ่าอย่างไร้ปรานี!”
ทหารผู้ซึ่งสวมชุดเกราะสีดำกล่าวด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม
ควับ! ควับ! ควับ!
ทันใดนั้นบรรดานักสู้จากหอดาราสุ่ยเยว่, นักบวชน้อยฮุ่ยเกินจากอารามเซนและคนที่เหลือต่างก็หันมามองเจียงอี้อย่างพร้อมเพรียงราวกับว่าต้องการจะเอ่ย ‘เจียงอี้เป็นทูตตรวจการของจักรวรรดิมิใช่รึ? ทำอะไรสักอย่างสิ…’
เจียงอี้ยิ้มออกมาด้วยความเคอะเขินในขณะที่หยิบป้ายสีดำขึ้นมาและโยนไปที่กำแพงเมืองเบื้องล่างโดยไม่กล่าวอันใด
“หืม?”
คนผู้นั้นเอื้อมไปคว้าป้ายสีดำด้วยมือข้างเดียว แต่เมื่อเขาเพ่งมองมัน ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปพร้อมทั้งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“ข้า แม่ทัพเฉินอี้ ขอคารวะใต้เท้าผู้ตรวจการเจียงและแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน!”
“คารวะใต้เท้าผู้ตรวจการเจียงและแขกผู้มีเกียรติทุกท่าน!”
เมื่อเห็นผู้ที่เป็นถึงแม่ทัพยังต้องคุกเข่า ดังนั้นบรรดาทหารที่เหลือต่างก็ไม่กล้าที่จะเมินเฉยและคุกเข่าทำความเคารพทันที ในเวลาเดียวกันหน่วยลาดตระเวนผู้หนึ่งก็รีบเดินทางไปยังพระราชวังหลวงเพื่อทำการรายงานทันที
“เอ่อ…”
เจียงอี้นึกไม่ถึงว่าตำแหน่งที่เขาตอบรับมาแบบส่งๆจะสามารถแสดงอำนาจได้ในสถานการณ์เช่นนี้ มันถึงขั้นที่สามารถทำให้แม่ทัพผู้หนึ่งถึงกับต้องคุกเข่าเลยทีเดียว หากเป็นในอาณาจักรอื่น เกรงว่าคงจะไม่มีใครเห็นหัวเขาด้วยซ้ำ
ฉากนี้ทำให้รองเจ้าสำนักฉีและคนที่เหลืออดไม่ได้ที่จะแสดงความประหลาดใจออกมา
“พวกเจ้าทำตัวตามสบายเถิด ว่าแต่ตอนนี้พวกข้าสามารถเข้าไปในเมืองได้แล้วใช่หรือไม่?”
“แน่นอนขอรับ!”
แม่ทัพเฉินอี้ยืนขึ้นและโค้งคำนับพลางผายมือ “ผู้ตรวจการเจียง ด้วยสถานะของท่าน ท่านสามารถเข้าไปในพระราชวังหลวงได้โดยตรงเลยขอรับ”
“ดี ไปกันเถอะ!”
พริบตาเดียว เงาร่างของวิหคทั้งสามตัวก็โผบินไปทางพระราชวังหลวงจนเหลือทิ้งไว้เพียงภาพติดตา
ตลอดทาง เจียงอี้ที่อยู่บนหลังของอินทรีมังกรได้บินวนอยู่รอบเมืองและคอยสัมผัสถึงกลิ่นของจิ้งจอกวิญญาณสามหาง
“ไม่มี!”
แม้ว่าจะบินทั่วทั้งเมือง แต่เจียงอี้ก็ไม่อาจสัมผัสได้ถึงกลิ่นของจิ้งจอกน้อยแต่อย่างใด นั่นก็หมายความว่ามันจะต้องถูกจับยัดลงไปในวัตถุพิเศษหรือไม่ก็ตายไปแล้ว หรือไม่ก็… อาจจะไม่ได้อยู่ในเมืองเทียนชิงตั้งแต่แรก!
ฟึ่บ
แต่ในขณะที่กำลังร้อนใจอยู่นั้น แม่ทัพเฉินอี้ก็วิ่งเข้ามาใกล้และตะโกน “ผู้ตรวจการเจียง! องค์หญิงหลิงเสวี่ยทรงเรียกท่านเข้าพบเพื่อทำการหารือภายใต้สถานการณ์ฉุกเฉินขอรับ!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็หันไปพูดคุยกับรองเจ้าสำนักอีกสองคนก่อนที่จะสั่งให้อินทรีมังกรบินลงไปเบื้องล่าง จากนั้นก็เข้าวังพร้อมกับแม่ทัพเฉินอี้และขบวนทหาร
เจียงอี้ออกวิ่งด้วยความเร็วสูงสุดโดยที่มาขบวนทหารตามอยู่ด้านหลังและตรงไปยังพระราชวังอันงดงามหลังหนึ่ง
“องค์หญิงทรงมีพระบัญชาให้ผู้ตรวจการเจียงสามารถเข้าเฝ้าได้ทันที!”
เมื่อมาถึง ขันทีผู้หนึ่งก็ป่าวประกาศและนำเจียงอี้เข้าไปภายในราชวังทันที
องค์หญิงหลิงเสวี่ยสวมชุดสีม่วงและกำลังนั่งรออยู่แล้ว เมื่อนางเห็นว่าเจียงอี้เดินเข้ามาและกำลังจะโค้งคำนับ นางก็รีบโบกมือและกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง
“ไม่ต้องมากพิธี! ผู้ตรวจการเจียง สถานการณ์ภายนอกเป็นเช่นไรบ้าง? กลุ่มของเจ้าเดินทางมาที่นี่เพราะสังเกตเห็นบางสิ่งผิดปกติใช่หรือไม่?”
เมื่อเห็นสีหน้าขององค์หญิง เจียงอี้ก็ไม่กล้าที่จะรอช้าและรีบกล่าว “ฝ่าบาทกล่าวได้ถูกต้องแล้ว พวกเรากำลังตามหาจิ้งจอกวิญญาณสามหางตัวหนึ่งซึ่งเป็นธิดาของจักรพรรดินีสัตว์อสูร”
“ตามการคาดการณ์ มันน่าจะถูกกลุ่มผู้ไม่หวังดีพาตัวมายังเมืองเทียนชิงแห่งนี้และดูเหมือนว่ามันจะถูกจองจำอยู่ในวัตถุบางอย่างซึ่งทำให้พวกเราไม่อาจตามกลิ่นของมันต่อได้”
“หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอีกไม่กี่วันกองทัพอสูรคงเดินทางมาถึงที่นี่ก่อนที่จะเราจะหาจิ้งจอกน้อยเจอเป็นแน่…”
คำกล่าวอธิบายของเจียงอี้ทำให้สีหน้าขององค์หญิงหลิงเสวี่ยย่ำแย่ลง จากนั้นนางก็ยืนขึ้นและเอ่ย “ผู้ตรวจการเจียง เจ้าต้องทำทุกวิถีทางเพื่อตามหาตัวจิ้งจอกน้อยให้จงได้นะ และหากเจ้ามีข้อเรียกร้อง ข้าจะรับมันไว้ทั้งหมด”
“นอกจากนี้ เจ้ายังสามารถเรียกใช้ทหารหลวงได้อีกด้วย มันจะดีที่สุดหากเจ้าหาจิ้งจอกน้อยเจอก่อนที่กองทัพสัตว์อสูรที่น่ารังเกียจพวกนั้นจะเดินทางมาถึงที่นี่”
“ตอนนี้ ชีวิตของผู้คนนับล้านและอนาคตของจักรวรรดิมังกรเวหาได้อยู่ในมือของเจ้าแล้ว!”
“นี่…”
จู่ๆเจียงอี้ก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาและทำให้ร่างของเขาหนักอึ้ง
“ทำไมฝ่าบาทถึงไม่อพยพผู้คนออกจากเมือง?”
“ทำไม่ได้!”
หลิงเสวี่ยถอนหายใจยาวก่อนจะเอ่ย “ชาวเมืองเทียนชิงตั้งรกรากอยู่ที่นี่มานานกว่าหมื่นปี พวกเขาคือผู้ที่ซื่อสัตย์ต่อจักรวรรดิมากที่สุดและอาศัยอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคน มันคงง่ายกว่าที่จะสังหารพวกเขาแทนที่จะขอให้พวกเขาอพยพไปยังอาณาจักรอื่น…”
“ก็ได้!”
ในเมื่อไม่มีทางเลือก เจียงอี้ก็ทำได้เพียงกัดฟันแน่นและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอันจริงจัง
“ข้าจะพยายามให้ดีที่สุด แต่ท้ายสุดแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์ว่าจะทำให้ข้าค้นหาจิ้งจอกน้อยเจอหรือไม่!”