เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 270 ชำระล้างทวีปด้วยเลือด
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 270 ชำระล้างทวีปด้วยเลือด
บทที่ 270 ชำระล้างทวีปด้วยเลือด
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ : แปลได้แล้ว
ฝูงสัตว์อสูรนับล้านตัวเข้าปกคลุมทั่วทั้งฟ้าดิน ผิดกับทางฝั่งของมนุษย์ที่มีนักสู้เพียงแค่หนึ่งแสนคนเท่านั้น
แต่ในบรรดาพวกเขาเกือบทั้งหมดต่างก็เป็นนักสู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดขอบเขตจื่อฝู่และมีประมาณหนึ่งหมื่นคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยว
ยังไม่หมดแค่นั้น เพราะยังมีมากกว่าห้าพันคนที่อยู่เหนือกว่าขอบเขตเสินโหยวขั้นที่ห้าและยอดฝีมือขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดอีกกว่าสามร้อยคน!
“โฮกกกกก!”
ยอดฝีมือขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดรวมตัวกันและตั้งเป็นหน่วยย่อยซึ่งมีสมาชิกประมาณสิบกว่าคนเพื่อเข้าปะทะกับราชันสัตว์อสูรหนึ่งตัว
พวกเขาอาศัยศาสตราวุธในมือและโจมตีอย่างมีแบบแผน อีกทั้งยังอาศัยการโจมตีจากทั่วทุกสารทิศจนทำให้ราชันสัตว์อสูรทั้งสิบแปดตัวโกรธเกรี้ยวและเปล่งเสียงคำรามออกมา
“ฟ่อ! ฟ่อ!”
อสรพิษยักษ์ที่มีห้าเศียรตนหนึ่งกำลังถูกบรรดาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวล้อมกรอบสังหาร หางของมันแข็งกร้าวราวกับโลหะ ทุกครั้งที่มันสะบัดหรือฟาดหางลงพื้นก็จะก่อให้เกิดหลุมที่มีความกว้างราวๆสามเมตรและลึกถึงยี่สิบเมตร
นอกจากนี้เศียรทั้งห้าของอสรพิษยักษ์ยังสามารถพ่นไฟออกมาได้เป็นครั้งคราว หากนักสู้ทางฝั่งมนุษย์คนใดเกิดไปสัมผัสมันเข้า ร่างของคนผู้นั้นก็จะกลายเป็นเถ้าถ่านทันที
แต่ช่างน่าสงสารนัก!
เพราะอสรพิษยักษ์มีร่างกายที่ยาวเกินไปผนวกกับมีสัตว์อสูรจำนวนมากอยู่รอบๆ ทำให้มันเคลื่อนไหวได้ยากเย็นนัก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุด เผ่ามนุษย์ซึ่งมีร่างกายที่เล็กและคล่องแคล่วกว่า แม้ว่ามันจะเป็นสัตว์อสูรชั้นสูง แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะรักษาความได้เปรียบไว้ได้
สิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ต่างก็มีความแหลมคมอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในมือของผู้ที่อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตเสินโหยว ศักยภาพทั้งหมดของพวกมันจะถูกดึงออกมาใช้จนถึงขีดสุด
ชนชั้นราชันสัตว์อสูรต่างก็ครอบครองพลังป้องกันที่น่ากลัว หากปราศจากพลังของสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ เกรงว่าการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญเผ่ามนุษย์คงไม่สามารถที่จะระแคะระคายได้แม้แต่ผิวหนังของพวกมัน
ในขณะที่พวกเขายังคงจู่โจมแบบไม่หยุดหย่อน รอยแผลลึกน้อยใหญ่ก็ถูกสลักลงบนร่างของอสรพิษยักษ์อย่างต่อเนื่อง หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป มันจะต้องถูกทรมานจนตายในที่สุด
ทางด้านของราชันสัตว์อสูรตัวอื่นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เมื่อใดก็ตามที่พวกมันปลดปล่อยวิชาอสูรออกมา พวกมันก็สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดได้เพียงแค่หนึ่งถึงสองคนเท่านั้น
แต่จำนวนผู้เชี่ยวชาญของจักรวรรดิมังกรเวหานั้นมีมากกว่าของอาณาจักรใดๆในบรรดาอาณาจักรบริวารทั้งหมด และนั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมอาณาจักรเหล่านั้นถึงยังไม่กล้าที่จะตั้งตนเป็นศัตรูกับจักรวรรดิอย่างเปิดเผย
ในขณะที่ราชันสัตว์อสูรทั้งสิบแปดตัวได้ถูกผู้เชี่ยวชาญชั้นสูงผนึกกำลังกันตรึงเอาไว้ ทางด้านของกองทัพอสูรในตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่สัตว์อสูรระดับสามและสองเท่านั้น แม้ว่าจะมีจำนวนมหาศาลแต่ก็ไม่ได้เป็นภัยคุกคามแต่อย่างใด
หากให้เทียบอัตราการตาย ในทุกๆครั้งที่มีนักสู้เผ่ามนุษย์เสียชีวิตลงหนึ่งคน ก็จะต้องมีสัตว์อสูรยี่สิบถึงสามสิบตัวที่ตกตายตามไปด้วย
ถ้าหากว่าพวกเขายังคงรักษาเสถียรภาพเช่นนี้ไว้ได้ ถึงจักรวรรดิมังกรเวหาจะประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ แต่ตราชั่งแห่งชัยชนะก็จะเอนเอียงมาอยู่ฝั่งของพวกเขาแน่นอน
“ประเสริฐ!”
องค์หญิงหลิงเสวี่ยที่ก่อนหน้านี้มีแต่ความสิ้นหวัง แต่บัดนี้เมื่อบรรพบุรุษเฒ่าของจักรวรรดิออกโรงด้วยตัวเอง เปลวไฟแห่งความหวังก็ลุกโชนขึ้นในใจของนางอีกครั้ง!
หากว่าจักรวรรดิมังกรเวหาสามารถผ่านพ้นภัยพิบัติในครั้งนี้ไปได้ พวกเขาจะสามารถใช้ความฮึกเหิมเพื่อพลิกสถานการณ์ของจักรวรรดิให้กลับมาอยู่บนจุดสูงสุดได้อย่างแท้จริง
พวกเขาจะใช้กำลังรบทั้งหมดในการปราบปรามอาณาจักรบริวารทั้งหกและพิชิตทวีปแห่งนี้อีกครั้ง
ในขณะเดียวกัน อาณาจักรต้าเซี่ยและอาณาจักรเซิ่งหลิงกำลังอยู่ในช่วงอ่อนแอจากการถูกโจมตีโดยกองทัพสัตว์อสูร ดังนั้นมันจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จักรวรรดิจะกรีฑาทัพและเข้าทำลายทั้งสองอาณาจักรทิ้งเสีย
ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงระเบิดดังสนั่นมาจากชั้นฟ้าซึ่งทำให้หลิงเสวี่ยรีบดึงสติกลับมา คิ้วของนางขมวดเป็นปมและอธิษฐานอย่างบ้าคลั่งภายในใจ
“ท่านบรรพบุรุษ ท่านห้ามแพ้นะ!”
ฟิ้วววว!
แต่ทันใดนั้นเอง ร่างเงาสายหนึ่งพุ่งลงมาจากฟากฟ้าราวกับดาวตก
เมื่อองค์หญิงหลิงเสวี่ยและชาวเทียนชิงมากมายเงยหน้าขึ้นไปมอง สีหน้าของพวกเขาก็เผยให้เห็นความปิติยินดี เพราะร่างของคนที่ปรากฏออกมานั้นคือบรรพบุรุษเฒ่าของจักรวรรดิมังกรเวหา!
หรือว่าเขาจะสังหารจักรพรรดินีอสูรสำเร็จแล้ว?
“แค่กก!”
ตู้มมม!
แต่ในขณะที่ทุกคนกำลังดีใจอยู่นั้น จู่ๆบรรพบุรุษเฒ่าก็กระอักเลือดออกมาคำโต พร้อมกับวิถีการบินที่เปลี่ยนไปและพุ่งชนเข้ากับพระราชวังหลวงอย่างแรง
“ท่านบรรพบุรุษ!!”
สีหน้าของหลิงเสวี่ยซีดขาวลงทันตา โดยไม่รอช้า นางรีบสั่งให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนตรงไปยังจุดที่บรรพบุรุษตกลงไปทันที
จากนั้นนางก็เงยหน้ามองบนฟ้าอีกครั้ง แต่ในเวลานี้นางกลับมองเห็นร่างของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายอันสูงส่งซึ่งกำลังลอยตัวลงมาราวกับทวยเทพจากสวรรค์ก็มิปาน ทันใดนั้นสีหน้าของนางห่อเหี่ยวลงและเผยให้เห็นความสิ้นหวังทันที
บรรพบุรุษเฒ่าแห่งจักรวรรดิมังกรเวหาพ่ายแพ้แล้ว! เขาเป็นถึงยอดฝีมือขั้นสูงสุดเมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน แต่เขาก็ยังไม่สามารถเอาชนะจักรพรรดินีสัตว์อสูรได้!
เมื่อบรรพบุรุษเฒ่าพ่ายแพ้ มันก็หมายถึงความพ่ายแพ้ของจักรวรรดิด้วยเช่นกัน เพราะด้วยพลังของจักรพรรดินีสัตว์อสูรเพียงคนเดียว นางก็สามารถบดขยี้กองทัพนับล้านได้อย่างง่ายดาย
“ฮึ่ม!”
เป็นไปตามคาด ใบหน้าของจักรพรรดินีสัตว์อสูรเผยให้เห็นความเย็นชา ในเวลาต่อมา แสงสีขาวศักดิ์สิทธิ์ก็เปล่งออกมาจากตัวนางก่อนที่ร่างของนางจะเปลี่ยนเป็นจิ้งจอกสีขาวหิมะที่สง่างามตนหนึ่ง
ที่ด้านหลังของจิ้งจอกตนนั้นปรากฏหางทั้งห้าซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าลำตัว ในเวลานี้จักรพรรดินีสัตว์อสูรได้กลับคืนสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมแล้ว วินาทีต่อมากลิ่นหอมอันมีเอกลักษณ์สายหนึ่งก็ได้แผ่ขยายไปทั่วทั้งสนามรบและทำให้นักสู้มากมายนับไม่ถ้วนสั่นสะท้านด้วยความกลัว
“กลิ่นรัญจวนจิ้งจอก! นางกำลังใช้วิชาอสูร… พวกเราจบสิ้นแล้ว…”
ไม่ใช่แค่หลิงเสวี่ยเท่านั้นที่ตกอยู่ในความสิ้นหวัง แม้แต่การต่อสู้ทั้งหมดก็หยุดชะงัก
เนิ่นนานมาแล้ว เคยมีจิ้งจอกวิญญาณสามหางตัวหนึ่งได้ปลดปล่อยวิชาอสูรและเข่นฆ่าผู้คนทั้งหมดด้วยตัวมันเอง ซึ่งเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็สามารถพิสูจน์ความน่าสะพรึงกลัวของศาสตร์ลับของเผ่าพันธุ์จิ้งจอกวิญญาณได้เป็นอย่างดี
และในตอนนี้ จักรพรรดินีสัตว์อสูรที่เป็นถึงจิ้งจอกวิญญาณห้าหางกำลังปลดปล่อยวิชาสัตว์อสูรของนางออกมา ดังนั้นจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทุกคนที่อยู่ที่นี่จะต้องตายอย่างแน่นอน
“จักรวรรดิมังกรเวหาจบสิ้นแล้ว เสด็จพ่อ อีกไม่นานลูกคงจะได้ตามไปอยู่กับท่าน…”
แม้ว่าหลิงเสวี่ยจะเป็นยอดอัจฉริยะด้านศาสตร์วิญญาณ แต่ก็ไม่มีทางเลยที่นางจะต่อต้านศาสตร์ลับของจักรพรรดินีจิ้งจอกวิญญาณได้ ขณะเดียวกันดวงตาของนางก็เริ่มเผยให้เห็นความเหม่อลอยซึ่งเป็นสัญญาณว่านางกำลังตกอยู่ในการควบคุมของอีกฝ่ายแล้ว
“ชู่ชู่!”
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงวิหคร้องก็ดังมาจากเส้นขอบฟ้าและดึงสติหลิงเสวี่ยกลับมาอย่างรวดเร็ว ร่างของนางสั่นสะท้านพร้อมกับน้ำอุ่นๆคลออยู่ในดวงตาของนาง
“จักรพรรดินีหยุดก่อน! ข้าช่วยลูกสาวของท่านกลับมาได้แล้ว!”
ร่างของวิหคยักษ์ทั้งสามตัวพุ่งทะยานมาจากทางทิศตะวันออกอย่างรวดเร็ว แต่ทางด้านของรองเจ้าสำนักฉีและคนอื่นๆต่างก็หวาดกลัวต่อจักรพรรดินีสัตว์อสูร พวกนางจึงไม่กล้าเข้าใกล้ด้วยความประมาท
“จี้จี้!”
เจียงอี้กำลังยืนอยู่บนหลังของอินทรีมังกรพร้อมกับอุ้มจิ้งจอกน้อยไว้ในอ้อมแขนซึ่งตัวมันเองก็เผยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความสุขขณะที่หันไปมองจิ้งจอกวิญญาณห้าหางและส่งเสียงร้อง
วืดดด!
ร่างของจิ้งจอกวิญญาณห้าหางเปล่งแสงอีกครั้งก่อนที่จะกลับคืนสู่รูปลักษณ์มนุษย์ ใบหน้าของนางยังคงเฉยเมยแต่ก็เผยให้เห็นร่องรอยของความเจ็บปวด
“เสี่ยวเฟย!”
“จี้จี้!”
สุดท้ายดวงตาที่งดงามราวกับอัญมณีของจิ้งจอกน้อยก็กลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ มันส่งเสียงร้องแห่งความโศกเศร้าคนึงหาออกมาและรีบผละออกจากอ้อมแขนของเจียงอี้พร้อมทั้งพุ่งตรงไปยังจักรพรรดินีสัตว์อสูรอย่างรวดเร็ว ถึงอย่างนั้นมันก็ยังคงร่ำร้องออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน
“เสี่ยวเฟย ลำบากเจ้าแล้วนะ!”
น้ำเสียงของผู้เป็นมารดาให้จิ้งจอกน้อยสงบลงในที่สุด
“ฟู้ววว…”
เจียงอี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ในเวลาเดียวกันเขาก็มองเห็นผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่เริ่มได้สติกลับคืนมา นอกจากนี้เขายังรู้สึกโล่งใจที่เมืองเทียนชิงยังไม่บุบสลายและจำนวนคนตายก็มีเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
แต่ถ้าหากว่าเขามาช้ากว่านี้ ไม่แน่ว่าบางทีเมืองเทียนชิงคงจะกลายเป็นเมืองร้างไปแล้วก็ได้!
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์ไม่ได้ลุกลามถึงขั้นแตกหัก เขาก็หันไปทางจักรพรรดินีสัตว์อสูรและโค้งคำนับให้ “จักรพรรดินี ข้าช่วยเหลือบุตรสาวของท่านกลับมาได้แล้ว ข้าขอวิงวอนให้ท่านนำกองทัพสัตว์อสูรกลับไปยังหุบเขาสามหมื่นลี้ได้หรือไม่?”
“ฮึ่ม!”
แต่ใครจะคาดคิดล่ะว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรจะยังคงใช้สายตาอันเย็นชาจับจ้องมาที่ร่างของเจียงอี้
“เจ้าคิดว่าข้าจะยอมถอนกำลังเพียงเพราะเจ้าขอร้องอย่างนั้นรึ? ข้ายังไม่พบตัวผู้ที่อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวลูกสาวข้า เจ้าจะให้ข้านำกองทัพกลับไปเฉยๆเช่นนี้หรือ? หากมนุษย์อย่างพวกเจ้าไม่อาจให้คำอธิบายที่น่าพึงพอใจแก่จักรพรรดินีผู้นี้ได้ เช่นนั้นทวีปนี้ก็คงต้องถูกชำระล้างด้วยเลือดของพวกเจ้าเสียแล้ว!”
….…