เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 312 ข้ากำลังจะไปหาเจ้าแล้ว
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 312 ข้ากำลังจะไปหาเจ้าแล้ว
บทที่ 312 ข้ากำลังจะไปหาเจ้าแล้ว
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
ยอดฝีมืออันดับหนึ่งและอันดับสองผนึกกำลังกัน!
สิ่งสำคัญยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาได้ประกาศกร้าวด้วยถ้อยคำที่คล้ายคลึงกัน นั่นก็คือต้องการปกป้องเจียงอี้เป็นเวลาสามปี!
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักบวชเฒ่าแห่งอารามเซน หากว่าเจียงอี้ทำลายบาตรของเขาจริง ทำไมเขาถึงไม่โกรธแค้นอีกฝ่ายแต่กลับเลือกที่จะปกป้องแทน?
บรรยากาศราวกับถูกแช่แข็งและดูแปลกประหลาดพิกล ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่าทำไมอารามเซนและหอดาราสุ่ยเยว่ที่ก่อนหน้านี้ประกาศว่าจะให้การสนับสนุนกองทัพพันธมิตรถึงได้เปลี่ยนท่าทีไปราวฟ้ากับเหวเช่นนี้? เป็นไปได้ไหมว่าทุกอย่างจะเป็นเพราะเจียงอี้?
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ตอนนี้ยอดฝีมืออันดับหนึ่ง,อันดับสองและอันดับเจ็ดก็กำลังเผชิญหน้ากับยอดฝีมือทั้งเจ็ดของฝ่ายพันธมิตรแล้ว!
การเผชิญหน้ากันของตัวตนที่ยืนอยู่ในจุดสูงสุดของทวีปทั้งสิบคนนี้ทำให้หัวใจของผู้คนนับล้านที่อยู่เบื้องล่างแทบจะหยุดเต้น
หากการโรมรันของพวกเขาเกิดขึ้นจริง มันจะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ไปชั่วนิรันดร์ซึ่งจะมีพวกเขาเป็นสักขีพยาน!
ฝ่ายใดจะเป็นผู้มีชัย?
เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ แม้ว่าฝ่ายหนึ่งจะมีจำนวนคนเพียงแค่ครึ่งเดียวของอีกฝ่าย แต่ก็ต้องอย่างลืมว่าหลินกงกงและจอมพลเฒ่าแห่งอาณาจักรเซิ่งหลิงไม่ได้อยู่ในสภาพดีนัก
อีกด้านหนึ่ง แม้ว่าจูเก๋อชิงหยุนจะได้รับบาดเจ็บ แต่เขาก็ยังคงมียอดฝีมืออันดับหนึ่งและอันดับสองของทวีปคอยสนับสนุน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชื่อเสียงและเกียรติยศของพวกเขาทั้งสองที่พิสูจน์ให้ทั่วโลกได้เห็นมานานแล้ว
สุ่ยโย่วหลานเคยใช้ฝ่ามือเดียวก็สามารถทำลายจีวรของนักบวชเฒ่าได้ จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนางนั้นอยู่ระดับไหนกันแน่
ไม่นานนัก สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนก็หันไปมองเจียงอี้ด้วยความอิจฉาและชื่นชมในเวลาเดียวกัน ชายหนุ่มผู้นี้เป็นคนแรกที่นักสู้อันดับหนึ่งและอันดับสองในทำเนียบยอดฝีมือรวมไปถึงจูเก๋อชิงหยุนให้การคุ้มครอง?
แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครเข้าใจเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงเลือกที่จะทำเช่นนี้
เจ้าสำนักหยูแห่งสำนักมังกรเวหาขมวดคิ้วและเอ่ยถามนักบวชเฒ่า
“เจ้าอาวาสเหยียนเส่อ มีบางสิ่งที่ข้าไม่เข้าใจ ตามที่ข้ารู้มาอารามเซนและเจียงอี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆต่อกัน แล้วทำไมท่านถึงเสี่ยงชีวิตเพื่อที่จะปกป้องเขารวมไปถึงอาณาจักรต้าเซี่ยที่กระทำเรื่องชั่วร้ายซึ่งส่งผลให้คนบริสุทธิ์ต้องตายไปมากมาย?”
เจ้าอาวาสเหยียนเส่อประสานมือเข้าด้วยกันและโค้งคำนับเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ
“มันก็เหมือนกับที่อาตมากล่าวไปก่อนหน้านี้ เพียงแต่บาตรที่ประสกเจียงทำลายไปนั้นหาใช่ของอาตมาไม่ แต่เป็นสิ่งประดิษฐ์สายพุทธที่ท่านผู้ก่อตั้งอารามเซนเหลือทิ้งเอาไว้”
“ท่านเจ้าอาวาสรุ่นก่อนเคยกล่าวเอาไว้ก่อนที่จะมรณภาพว่า… ใครก็ตามที่สามารถทำลายสิ่งนี้ได้ นั่นก็แสดงว่าเขาคือผู้ที่มีคุณธรรมและคนแห่งโชคชะตา”
“แน่นอนว่าอาตมายังไม่ปักใจเชื่อว่าประสกเจียงเป็นคนประเภทนั้นหรือไม่ ดังนั้นอาตมาจึงอยากลองเสี่ยงที่จะปกป้องเขาดู แต่ถ้าหากเขาไม่ได้เป็นเหมือนที่ตำนานกล่าวไว้ หลังจากครบสามปี อาตมาจะลงมือปลิดชีพเขาด้วยตัวเอง!”
“ผู้มีคุณธรรม? คนแห่งโชคชะตา?”
เจ้าสำนักหยู, เซียวหลงหวางแห่งอาณาจักรเป่ยหมางและคนที่เหลือต่างก็มองหน้ากัน
พวกเขารู้เกี่ยวกับผู้ก่อตั้งอารามเซนมาบ้าง คนผู้นั้นเป็นนักบวชผู้ซึ่งหยั่งถึงเต๋าที่แท้จริงและยังครอบครองพลังในระดับ… ราชันสวรรค์!
แต่พลังของเด็กหนุ่มคนเดียวจะสามารถทำลายสิ่งประดิษฐ์สายพุทธของคนผู้นั้นได้จริงหรือ?
“เหอะ!”
เซียวหลงหวางเค้นเสียงและกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าอาวาสเหยียนเส่อ ข้าคิดว่าท่านคงจะเลอะเลือนไปแล้วกระมัง? ท่านอย่าลืมสิว่าไอ้เด็กนั่นสามารถเข้าถึงเจตจำนงสังหารได้ แล้วท่านไม่เห็นผู้คนมากมายที่ถูกมันฆ่าในวันนี้รึ? คนแบบนี้จะเป็นคนแห่งโชคชะตาที่ท่านพูดถึงได้อย่างไร?”
“ใช่แล้ว! คนที่สามารถตีความเจตจำนงสังหารได้ย่อมต้องเป็นคนที่ชั่วร้ายในกมลสันดาน หากว่าวันหนึ่งเจียงอี้สามารถบรรลุขั้นสุดของเจตจำนงสังหารและกลายเป็นปีศาจเต็มตัว ท่านคิดบ้างไหมว่าจะต้องมีผู้บริสุทธิ์อีกกี่ล้านชีวิตที่ต้องสังเวยภายใต้เงื้อมมือของมัน?!”
“ท่านเจ้าอาวาส โปรดหลีกทางไปเถิด การฆ่าปีศาจตัวนี้ในตอนที่มันยังอ่อนแอถือว่าเป็นการสร้างบุญกุศลและช่วยชีวิตผู้คนอีกนับไม่ถ้วน!”
เจ้าสำนักหยูและบรรดายอดฝีมือทั้งหลายต่างก็พยักหน้าเป็นการเห็นพ้อง
อันที่จริง…
ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่พวกเขามารวมตัวกันที่นี่ นั่นก็เป็นเพราะเจตจำนงสังหารของเจียงอี้นั้นพัฒนารวดเร็วเกินไป หากว่ามันยังอยู่ในขั้นที่สองหรือสาม พวกเขายังพอที่จะเมินเฉยได้ แต่เมื่อบรรลุขั้นที่สี่แล้ว มันจะแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง!
หากเจียงอี้ประสบความสำเร็จในการทะลวงสู่ขั้นที่ห้าของเจตจำนงสังหาร คราวนี้แม้แต่ชนชั้นจินกังก็จะได้รับผลกระทบจากพลังของเขาเช่นกัน
ในหน้าประวัติศาสตร์ เป็นที่รู้กันดีว่าราชันสวรรค์สังหารใช้เจตจำนงสังหารในการเข่นฆ่าผู้เชี่ยวชาญทั้งโลก
ความปรารถนาในการฆ่าฟันของเจตจำนงสังหารนั้นรุนแรงเกินไป ตามที่ตำราโบราณได้จดบันทึกไว้ นอกเหนือจากสองผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาแล้ว ราชันสวรรค์สังหารได้กวาดล้างบรรดายอดฝีมือของทวีปเทียนชิงทั้งหมดด้วยมือของเขาเอง
ดังนั้นเหล่าชนชั้นจินกังในยุคนี้ถึงได้หวาดกลัวต่อการพัฒนาที่รวดเร็วเกินไปของเจียงอี้นัก หากว่าวันหนึ่งเขาสำเร็จขั้นที่ห้าของเจตจำนงสังหารขึ้นมา เขาจะกลายเป็นราชันสวรรค์สังหารคนที่สองและชโลมทวีปนี้ด้วยเลือดหรือไม่?
แม้ว่าเจ้าอาวาสชราจะเข้าใจถึงความกังวลของคนเหล่านั้น แต่เขาก็ยังคงนิ่งเงียบก่อนที่จะเอ่ยออกมาในที่สุด
“ประสกเจียงได้สังหารผู้คนไปมากมายและเจตจำนงสังหารของเขาก็น่าหวาดกลัวเหมือนกับที่พวกท่านว่าจริงๆนั่นแหละ”
“ถึงอย่างนั้น อาตมาก็ยังไม่พบร่องรอยปีศาจหรือความชั่วร้ายในตัวเขา และอาตมาก็ไม่เคยได้ยินด้วยว่าเขาสังหารผู้อื่นอย่างไร้เหตุผล ดังนั้น… อาตมาก็ยังยืนยันคำเดิมที่จะปกป้องเขาเป็นเวลาสามปี!”
”…”
เจ้าสำนักหยูและคนอื่นๆต่างก็หมดคำพูด เป็นที่รู้กันดีว่าเจ้าอาวาสรูปนี้ขึ้นชื่อเรื่องความดื้อรั้น และเมื่อเขาตัดสินใจทำสิ่งใดไปแล้ว เช่นนั้นก็หมายความว่าเขาจะทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อปกป้องเจียงอี้แน่นอน
เจ้าสำนักหยูนิ่งเงียบและเหลือบมองสุ่ยโย่วหลาน แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไรออกมานั้น นางก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระไว้เท่านี้เถิด แม่นางอีเพียวเพียวและข้าเคยมีความสัมพันธ์อันดีกันในวันวาน ดังนั้นข้าจึงต้องการที่จะปกป้องบุตรชายของนางเป็นเวลาสามปีเช่นกัน หากพวกเจ้าจะลงมือ เช่นนั้นก็รีบเข้ามาเสีย จะมัวแต่เปล่งวาจาให้เปลืองน้ำลายไปทำไม?”
“นี่มัน…”
ทันใดนั้นความโกลาหลก็ปะทุขึ้นมาในทันที ดูเหมือนว่าเรื่องในครั้งนี้จะไม่สามารถสะสางได้อย่างสันติแล้ว ผู้คนนับล้านที่อยู่เบื้องล่างต่างก็แข่งกันกลั้นหายใจและไม่กล้าที่จะส่งเสียงดังออกมา ส่วนผู้ที่มีระดับการบ่มเพาะที่อ่อนแอต่างก็มีเม็ดเหงื่ออันเย็นเยียบค่อยๆหลั่งไหลออกมาจากหน้าผากเพราะความกลัวและตื่นเต้น
“ในเมื่อเรื่องมันมาถึงขั้นนี้แล้ว เช่นนี้พวกเราก็ขอยลโฉมทักษะวิชาขั้นสุดยอดของพวกเจ้าทั้งสามหน่อยเถิด!”
หลังจากที่กล่าวจบ ยอดฝีมือทั้งหมดก็เริ่มปลดปล่อยกลิ่นอายของตนออกมาและพร้อมที่จะลงมือเข้าโรมรันได้ทุกเมื่อ
ในเมื่อไม่สามารถประนีประนอมกันได้ เช่นนั้นก็มีทางเดียวคือใช้กำปั้นแทนวาจา ในขณะเดียวกันพวกเขาทั้งเจ็ดก็ไม่เชื่อว่าพวกตนจะไม่สามารถหยุดยั้งพวกเขาทั้งสามคนได้
ฟิ้วว!
แต่ทันใดนั้นเอง ลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งตรงมาจากทางทิศเหนือด้วยความเร็วสูงสุด จากนั้นไม่นานก็ปรากฏเป็นร่างของชายชราที่สวมชุดคลุมลายมังกรซึ่งปลดปล่อยแรงกดดันที่อยู่เหนือกว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังเกือบทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ออกมา
กลิ่นอายที่ออกมาจากร่างของเขาสามารถสัมผัสได้ถึงความสูงส่งและเที่ยงธรรมราวกับเทพสวรรค์ก็ไม่ปาน อีกทั้งยังคล้ายกับสุดยอดนักรบผู้ไร้ซึ่งผู้ใดจะมาเทียบเทียม!
ร่างของชายชราลอยเข้ามาใกล้พร้อมกับกวาดตาของทุกร่างด้วยความเหยียดหยาม จากนั้นก็เอ่ย
“ลงมือเถิด จงฆ่าเจียงอี้เพื่อจักรพรรดิผู้นี้! แล้วมาดูกันว่าใครจะกล้าปกป้องเขา?”
แน่นอนว่าคนผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบรรพบุรุษเฒ่าแห่งจักรวรรดิมังกรเวหา!
เมื่อเห็นเช่นนี้ เจียงอี้ที่อยู่บนพื้นเบื้องล่างก็ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้ว ใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความดูถูกออกมา จากนั้นก็กวาดตามองยอดฝีมือทุกคนราวกับว่ากำลังจดจำใบหน้าของคนเหล่านั้นเอาไว้
วินาทีต่อมา เขาก็ยกดาบมังกรเพลิงสูงขึ้นและชี้ไปบนท้องฟ้าก่อนที่จะคำรามออกมา
“เช่นนั้นก็เข้ามา! พวกเจ้าจงสังหารข้า—เจียงอี้—โดยเร็วเถิด! ไม่อย่างนั้นในอนาคต หากข้าเติบโตขึ้น ข้าจะทำให้พวกเจ้าทุกคนต้องเผชิญกับสิ้นหวังอย่างแท้จริง!”
“ฮึ่ม!”
เจ้าสำนักหยูระเบิดกลิ่นอายออกมาและพุ่งเข้าหาเจียงอี้ทันที ในขณะเดียวกันเซียวหลงหวางและชาตี้ก็พุ่งเข้าไปดักหน้าเจ้าอาวาสเหยียนเส่อไว้
อีกด้านหนึ่งหญิงวัยกลางคนจากสำนักฮวาเหลี่ยงและหญิงชราจากอาณาจักรเทียนเซวี่ยนก็ร่วมมือกันหยุดยั้งจูเก๋อชิงหยุน ส่วนบรรพบุรุษเฒ่าของจักรวรรดิมังกรเวหาและภาพฉายของสุ่ยโย่วหลานก็ประจันหน้ากันกลางเวหา
“มันจบแล้ว…”
แม่ทัพเฒ่าของอาณาจักรต้าเซี่ยถอนหายใจอย่างล้ำลึก ในเมื่อมีบรรพบุรุษเฒ่าของจักรวรรดิมังกรเวหาคอยคานพลังอยู่ สุ่ยโย่วหลานก็ไม่อาจที่จะปกป้องเจียงอี้ได้
นักบวชเฒ่าและจูเก๋อชิงหยุนก็ถูกยอดฝีมือที่เหลือสกัดไว้อย่างสมบูรณ์ หากเจียงอี้ถูกสังหาร เกรงว่าอาณาจักรต้าเซี่ยก็คงจะถึงคราวล่มสลายอย่างแท้จริง
ทางด้านของเจียงอี้เองก็สิ้นหวังไม่แพ้กัน ในขณะที่เจ้าสำนักหยูกำลังทะยานเข้ามาใกล้ด้วยความเร็วราวกับดาวตก เขาก็หลับตาลงและยอมรับความตาย ในขณะเดียวกันใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อยและพึมพำกับตัวเอง
“รั่วเสวี่ย ข้ากำลังจะไปหาเจ้าแล้ว…”