เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 316 ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 316 ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น
บทที่ 316 ไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
“บัดซบ!”
เจียงอี้ไม่ค่อยเข้าใจมากนัก แต่เพียงแค่สิ่งที่เขาได้รับรู้มาก็เพียงพอให้รอบกายของเขาอบอวลไปด้วยกลิ่นอายสังหารแล้ว
เดิมทีเขาก็สงสัยว่าการตายของซูตี๋หวังนั้นผิดปกติ แต่หลังจากที่ได้ยินรายงานนี้ เขาก็เริ่มเข้าใจบางอย่างขึ้นมา
มีความเป็นไปได้สูงที่ราชาซูตี๋หวังจะถูกลอบปลงพระชนม์ มิฉะนั้นร่างของเขาคงจะไม่ถูกรีบฝังในขณะที่ซูรั่วเสวี่ยยังคงไม่ได้สติเช่นนี้หรอก
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เป็นเศษสวะที่มักจะมุดหัวอยู่แต่ในรูในขณะที่อาณาจักรกำลังตกอยู่ในวิกฤติ และจะโผล่หัวมาอีกครั้งในตอนที่สถานการณ์คลี่คลาย
ม่านตาของเจียงอี้หดแคบลงขณะที่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา
“ซูเหิงกับซูอวี่เป็นใครมาจากไหน?”
เมื่อได้ยินคำถาม แม่ทัพเฒ่าหลูก็รีบอธิบายทันที
“สองคนนี้เป็นพระราชภราดร(ลูกพี่ลูกน้อง)ขององค์ราชา ใต้เท้าน่าจะรู้อยู่แล้วว่าทายาทขององค์ราชาถูกลอบสังหารไปจนหมดสิ้น ดังนั้นตามกฎที่บรรพบุรุษได้ตั้งไว้ สองคนนี้จึงมีคุณสมบัติที่จะได้สืบทอดบัลลังก์ต่อ!”
“แต่ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา พวกเขาได้เข้าควบคุมฝ่ายทหารบางส่วนรวมไปถึงบรรดาขุนนาง อีกทั้งยังเกิดการโต้เถียงกันมาสักพักและยังไม่ได้ข้อสรุปว่าผู้ใดจะได้ขึ้นครองบัลลังก์ ดังนั้นพวกเขาจึงทำการลอบสังหารกันและกันเมื่อคืนก่อน”
“ข้าน้อยเกรงว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะรวบรวมกำลังทหารมากขึ้นและก่อกบฏ…”
“พวกมันไม่อยากจะมีชีวิตอยู่กันแล้วใช่ไหม?!”
เจียงอี้ระเบิดโทสะออกมา อาณาจักรต้าเซี่ยกลายเป็นอะไรกันไปหมดแล้ว? ไม่เพียงแต่เชื้อสายกษัตริย์เหล่านั้นจะไม่ทำให้สถานการณ์ภายในอาณาจักรดีขึ้น แต่ยังยุยงให้เกิดความขัดแย้งภายในขึ้นอีก?
ตอนนี้กำลังรบทางการทหารของอาณาจักรต้าเซี่ยเหลืออยู่เท่าไหร่กันเชียว? ประมาณหนึ่งแสนนายใช่หรือไม่? นี่พวกเขายังต้องการให้ทหารกล้าเหล่านั้นต้องมาโรมรันกันเองอีกหรือ?
ขั้วอำนาจใหญ่ทั้งหมดต่างก็ให้เวลาเจียงอี้เพียงแค่สามปีเท่านั้น ใจจริงของเขาแทบจะไม่อยากไปสนใจเรื่องของคนเหล่านี้ แต่เป็นเพราะว่ามันเกี่ยวข้องกับซูรั่วเสวี่ยโดยตรง เขาจึงไม่อาจที่จะเมินเฉยต่อมันได้
เจียงอี้นิ่งเงียบอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
“มีหลักฐานอะไรไหมที่จะพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาลอบปลงพระชนม์องค์ราชา?”
“ยังไม่มี!”
แม่ทัพเฒ่าหลูส่ายหัวอย่างจนปัญญา จากนั้นก็กล่าวต่อ
“พวกเราฝ่ายทหารกำลังง่วนอยู่กับการฟื้นฟูกำลังพลและการทวงคืนเมืองต่างๆ ดังนั้นจึงไม่มีเวลามากพอที่จะมาดูแลองค์ราชาอย่างใกล้ชิด… ที่ทราบมาก็คือเจ้าพระยาทั้งสองต่างก็ไปเยี่ยมเยียนพระองค์ แต่เราไม่รู้แน่ชัดว่าผู้ใดที่เป็นผู้ลงมือ และยังมีโอกาสเป็นไปได้ว่าองค์ราชาอาจจะทรงสวรรคตด้วยสาเหตุอื่นเช่นกัน”
“เช่นนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาสู้กันไป”
เจียงอี้กล่าวอย่างราบเรียบ
“แม่ทัพหลู ข้าเป็นเพียงแค่คนนอกและมันคงจะดูไม่ดีนักหากว่าข้าเข้าไปก้าวก่าย ท่านจงดูแลฝ่ายทหารให้ดีและปล่อยให้พวกเขาฆ่ากันเอง ผู้ที่รอดชีวิตก็จะได้ขึ้นครองบัลลังก์ เรื่องนี้ละเอียดอ่อนเกินไป ข้าไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้!”
อาณาจักรต้าเซี่ยเป็นเพียงอาณาจักรบริวารที่ถูกทอดทิ้งและอาจดับสูญได้ทุกเมื่อ ดังนั้นเจียงอี้จึงไม่สนใจที่จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขาและไม่คิดที่จะก้าวก่ายเรื่องภายในด้วยเช่นกัน
แต่ถ้าหากมีหลักฐานแน่นหนาว่าใครคือฆาตกร เขาอาจจะแก้แค้นให้กับราชาซูตี๋หวังได้ แต่ในเมื่อแม่ทัพหลูไม่มีและซูรั่วเสวี่ยเองก็ยังไม่ฟื้น มันจึงไม่ใช่เรื่องฉลาดที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมกับเรื่องวุ่นวายนี้
“นี่…”
การแสดงออกทางสีหน้าของแม่ทัพหลูเปลี่ยนทันที จากนั้นเขาก็หันมามองเจียงอี้ด้วยความร้อนใจระคนวิงวอน
“ใต้เท้าเจียง ท่านคือผู้ที่มีเกียรติสูงสุดภายในอาณาจักรต้าเซี่ยในเวลานี้ หากท่านไม่ยื่นมือเข้ามาช่วย เกรงว่าสถานการณ์ภายในเมืองเซี่ยยวี่คงจะย่ำแย่กว่านี้เป็นแน่! แม่ทัพไร้ประโยชน์ผู้นี้ไม่มีอำนาจมากพอที่จะเข้าไปขัดขวางความขัดแย้งระหว่างสองเจ้าพระยาได้ เพราะอย่างนั้น ได้โปรดเถิด…”
“แล้วท่านคิดว่าใครคือผู้ที่เหมาะสมกับบัลลังก์มากที่สุด?”
เจียงอี้เริ่มรำคาญเล็กน้อย เขาเอ่ยถามไปอย่างไม่ใส่ใจ
“รีบบอกข้ามา แล้วข้าจะลองช่วยพูดสนับสนุนดู ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าพวกเขาจะสู้กันไปทำไมในเมื่ออาณาจักรกำลังตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?”
“ข้าหรือ?”
ร่างอันแก่ชราของแม่ทัพหลูสั่นสะท้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน นี่ใต้เท้าเจียงให้อำนาจการตัดสินใจเรื่องสำคัญเช่นนี้กับเขาจริงๆหรือ?
ในอีกความหมายหนึ่ง… หากว่าเขาตัดสินใจเลือกคนใดคนหนึ่งให้กลายเป็นราชาองค์ต่อไปของอาณาจักรต้าเซี่ย เขาก็จะกลายเป็นมือขวาของราชาผู้นั้นทันที
แม่ทัพหลูลอบกลืนน้ำลายและสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด หลังจากที่เขาครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขาก็กัดฟันแน่นและเอ่ยตอบ
“ใต้เท้าเจียง กล่าวตามตรง ข้าไม่รู้ว่าควรจะสนับสนุนฝ่ายไหนดี เจ้าพระยาทั้งสองคนนี้เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะบุคคลเจ้าสำราญ ไม่ว่าคนใดคนหนึ่งในพวกเขาได้ขึ้นครองบัลลังก์ มันก็ล้วนแต่เป็นผลร้ายต่ออาณาจักรทั้งสิ้น”
คิ้วของเจียงอี้ขมวดเข้าหากัน พวกเขาสองคนเข้าปะทะกันทันทีหลังจากที่ซูตี๋หวังตายไป ซึ่งมันก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา
“นอกจากสองคนนี้แล้วยังมีใครอีกไหม?”
“ไม่มี”
แม่ทัพหลูดูลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จะเอ่ยต่อ
“นอกเหนือจากองค์หญิงรั่วเสวี่ยแล้ว ทายาทขององค์ราชาซูตี๋หวังก็ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น ตามกฎโบราณ มีเพียงแค่เจ้าพระยาสองคนนี้เท่านั้นที่จะได้สืบทอดบัลลังก์ต่อ”
“อย่างไรก็ตาม…”
จู่ๆดวงตาของแม่ทัพหลูก็ส่องประกายขณะที่เหลือบไปมองซูรั่วเสวี่ยที่ยังคงนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง
“ใต้เท้า หากองค์หญิงรั่วเสวี่ยทรงเต็มใจ บางทีนางอาจจะสามารถกลายเป็นผู้สืบบัลลังก์ได้ และด้วยความสามารถของนาง ข้าก็มั่นใจว่าอาณาจักรต้าเซี่ยจะสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว!”
“รั่วเสวี่ย?”
คิ้วของเจียงอี้ขมวดเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม ทันใดนั้นน้ำเสียงของเขาก็แปรเปลี่ยนไป มันเต็มไปด้วยความเย็นชา
“อิสตรีสามารถขึ้นครองบัลลังก์ได้ด้วยหรือ? มีกฎที่ถูกกล่าวโดยบรรพบุรุษไว้หรือไม่?”
“ไม่มี”
แม่ทัพหลูกล่าวต่อด้วยความเด็ดเดี่ยว
“แต่ถ้าหากใต้เท้าเจียงให้การสนับสนุนองค์หญิงรั่วเสวี่ย ต่อให้ราชสำนักให้การคัดค้าน แต่ท่านก็สามารถกำราบพวกเขาได้!”
“นั่นไม่จำเป็น!”
เจียงอี้ส่ายหัวและกล่าวอย่างไม่สนใจ
“บัลลังก์นั้นจะยกให้ใครก็ได้ แต่ถ้ารั่วเสวี่ยไม่ได้เอ่ยปากว่าอยากจะขึ้นครองบัลลังก์ด้วยตัวเอง ข้าก็จะไม่สนับสนุนนาง”
“แม่ทัพหลู ท่านไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องเหล่านี้อีก ท่านเพียงแค่ควบคุมฝ่ายทหารและอย่าได้ปล่อยให้มีเรื่องเกินความคาดหมายเกิดขึ้นก็พอ ส่วนคนพวกนั้น… พวกเขาอยากจะทำอะไรก็ปล่อยพวกเขาไป”
นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน!
ซูรั่วเสวี่ยเป็นผู้หญิงของเขา มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เจียงอี้จะปล่อยให้นางขึ้นปกครองอาณาจักรที่กำลังจะล่มสลายแห่งนี้?
เขาไม่มีทางยอมปล่อยให้หญิงสาวผู้เป็นที่รักต้องลำบากตรากตรำเพื่อฟื้นฟูอาณาจักรที่ไร้ซึ่งความหวังแห่งนี้แน่ เดิมทีแผนของเขาก็คือการพาซูรั่วเสวี่ยไปยังที่ห่างไกลและแยกตัวจากเรื่องวุ่นวายทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธแม่ทัพหลูอย่างไม่ใยดี
“เห้ออ”
แม่ทัพหลูรู้ตัวดีว่าต่อให้พูดอะไรต่อไปก็ไร้ประโยชน์ หลังจากที่โค้งคำนับให้เจียงอี้แล้ว เขาก็จากไปอย่างจนใจ
ทางด้านของเจียงอี้เองก็คร้านที่จะสนใจ ดังนั้นเขาจึงได้กลับเข้าไปบำเพ็ญอีกครั้ง
แต่จากนั้นหนึ่งชั่วโมงต่อมา เสียงประกาศจากภายนอกก็ดังเข้ามา
“เจ้าพระยาซูเหิงต้องการขอเข้าพบใต้เท้าเจียง!”
เจียงอี้ตื่นขึ้นจากห้วงบำเพ็ญตั้งแต่ตอนที่อีกฝ่ายเดินทางมาถึงแล้ว เขาเข้าใจเจตนาของเจ้าพระยาคนนี้เป็นอย่างดี
ไม่นานนัก ร่างของชายวัยกลางคนก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีองอาจและโค้งคำนับให้กับเขาอย่างนอบน้อม
“ซูเหิงคารวะใต้เท้าเจียง!”
แม้ว่าอีกฝ่ายจะสุภาพมาก แต่เจียงอี้ก็หาได้สนใจไม่ เขาเพียงแค่พยักหน้าและกล่าวตอบอย่างเฉยเมย
“ไปคุยกันข้างนอกเถิด อย่าได้รบกวนรั่วเสวี่ย”
“ประเสริฐ เจ้าพระยาผู้นี้เฝ้าดูรั่วเสวี่ยเติบโตมาตั้งแต่เยาว์วัย คาดว่าอีกไม่นานนางคงจะฟื้นขึ้นมาแล้ว”
ซูเหิงพยักหน้าไม่หยุด จากนั้นก็เดินตามเจียงอี้ออกมาด้านนอกและเมื่อมาถึงห้องโถงหลัก สายตาที่เขาใช้มองเจียงอี้ก็เปลี่ยนไปในขณะเดียวกันก็กล่าวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ซูเหิงขอเป็นตัวแทนของชาวต้าเซี่ยในการขอบคุณต่อความเมตตาอันยิ่งใหญ่ของใต้เท้าเจียง เกรงว่าหากไม่มีท่าน อาณาจักรต้าเซี่ยและตัวข้าเองก็คงจะพังพินาศไปแล้ว บุญคุณในครั้งนี้จะถูกสลักไว้ภายในใจของลูกหลานตระกูลซูตราบนานเท่านาน”
“เจ้าพระยาผู้นี้ได้ออกคำสั่งให้คนของข้าไปสร้างรูปปั้นเสมือนของใต้เท้าเจียงไว้ที่จัตุรัส—ทั้งหมดนี้ก็เพื่อให้ชาวต้าเซี่ยได้กราบไว้และสำนึกต่อบุญคุณของท่าน!”
ซูเหิงพร่ำพรรณนาอยู่นานและกล่าวขอบคุณเจียงอี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่อีกฝ่ายก็หาได้สนใจไม่ ความจริงที่เขายอมมายังอาณาจักรต้าเซี่ยก็เป็นเพราะว่าเขาต้องการช่วยชีวิตซูรั่วเสวี่ยเท่านั้น เขาไม่ได้ต้องการที่จะปกป้องอาณาจักรที่ใกล้จะล่มสลายแห่งนี้เลยแม้แต่นิดเดียว
หลังจากกล่าวจบ ซูเหิงก็พักหายใจเล็กน้อยก่อนที่จะกล่าวขึ้นมาอีกครั้ง
“ใต้เท้า ข้ามันเป็นคนไม่ได้ความ! หลักจากที่อาณาจักรต้าเซี่ยของเราประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ พวกเราก็มีหลายร้อยหลายพันสิ่งที่ต้องทำ ชาวต้าเซี่ยเองก็หมดหนทาง มีหลายคนที่กำลังเผชิญกับความหิวโหย อย่างไรก็ตาม…”
“ในขณะที่พระศพของท่านพี่ยังไม่ทันเย็น แต่ก็มีใครบางคนที่มันโง่เขลาและคิดที่จะช่วงชิงบัลลังก์ และเพราะเหตุนี้เองมันจึงทำให้เจ้าพระยาผู้นี้ต้องได้รับความเดือดร้อนจากการถูกลอบสังหารนับครั้งไม่ถ้วน”
“หากไม่ใช่เพราะต้องฝืนมีชีวิตอยู่เพื่อคอยดูแลประชาชนชาวต้าเซี่ยทั้งหมด ข้าเองก็คงจะฆ่าตัวตายตามท่านพี่ไปแล้ว…”
ซูเหิงพูดพลางเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบอยู่บนหน้า แต่เขากลับคิดไม่ถึงแน่ว่าสิ่งที่เขาเตรียมตัวมาเป็นอย่างดีเพื่อแลกกับความโปรดปรานจากเจียงอี้กลับทำให้อีกฝ่ายหงุดหงิดจนแทบจะทนไม่ได้
หากว่าเจ้าเป็นห่วงอาณาจักรจริง ทำไมถึงไม่ทิ้งความทะเยอทะยานและหันมาสนับสนุนซูรั่วเสวี่ยแทน? หากว่าเจ้ามีความจริงใจต่อชาวต้าเซี่ย เจ้าก็ควรที่จะสร้างความมั่นคงให้กับอาณาจักรเป็นอันดับแรก แต่ดูสิ่งที่พวกเจ้ากำลังทำอยู่สิ? เหลวไหลทั้งเพ!
เจียงอี้มีคำพูดมากมายที่อยากจะก่นด่าออกมา แต่เขาก็ระงับมันไว้และกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแทน
“เจ้าพระยาเหิง ข้าไม่ต้องการที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องไร้สาระของพวกท่านทั้งสอง แต่ข้ามีเพียงสิ่งเดียวที่อยากจะบอกไว้ก่อน อย่าได้มารบกวนวังหิมะเลื่อนลอย มิฉะนั้นก็อย่าได้ตำหนิว่าข้า—เจียงอี้—ไม่ไว้หน้าผู้ใด!”
……