เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 317 กุมตัวทั้งสองคนไว้
บทที่ 317 กุมตัวทั้งสองคนไว้
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
“เอ่อ…”
ทันทีที่เจียงอี้เริ่มหยาบคายขึ้นมาก็ทำให้ซูเหิงทำใจลำบากกว่าจะยอมรับมันได้ในวันนี้เขาลดความภาคภูมิของเขาลงและคำนับเจียงอี้ด้วยสถานะของเขา ในความคิดของเขา เขาเห็นแก่หน้าเจียงอี้เป็นอย่างมาก แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าเจียงอี้จะไล่ตะเพิดเขาหลังจากแลกวาจากันเพียงไม่กี่คำ แถมเขายังถูกขู่ด้วย?
เขาเปลี่ยนแปลงการแสดงออกและเดือดดาลขึ้นมาโดยสัญชาตญาณดวงตาของเขาสั่นไหวก่อนที่จะสงบลงอย่างรวดเร็ว เจียงอี้เป็นบุคคลที่เขาไม่ควรยั่วยุในตอนนี้ มิฉะนั้น หากเจียงอี้ไปสนับสนุนซูอวี่ สถานการณ์ทั้งหลายก็คงจะเปลี่ยนไป
เขาทำได้เพียงแค่หัวเราะออกมาสองครั้งและกล่าวอำลาเขาอย่างอับอายเมื่อเขาพ้นประตูไปเขาก็ปล่อยเสียงคร่ำครวญเบาๆและแสดงความไม่พอใจ
ไอ้โง่!
เจียงอี้ส่ายหัวของเขาไม่แปลกใจเลยที่แม่ทัพจะไม่หวังกับเขาไว้นัก หากคนธรรมดาเช่นนี้ได้กลายเป็นองค์ราชา อาณาจักรต้าเซี่ยคงจะต้องพินาศก่อนที่จะมีศัตรูมาโจมตีอีกใช่ไหม?
“ใต้เท้าเจียง,ใต้เท้าเจียง!”
ในขณะที่เจียงอี้กำลังจะกลับไปบ่มเพาะพลังต่อหัวหน้าขันทีก็เข้ามาและยิ้มอย่างประจบสอพลอขณะพูดว่า “ใต้เท้าเจียง เจ้าพระยาซูอวี่ต้องการขอพบท่าน รบกวนท่านไปพบเขาเพียงครู่หนึ่งได้ไหมขอรับ?”
อีกแล้วสินะ…..
เจียงอี้รู้สึกผิดหวังมากขึ้นในขณะที่เขาปฏิเสธทันทีว่า“ไม่ นอกจากแม่ทัพหลู ข้าจะไม่พบใครทั้งนั้น!”
“นี่!”
ขันทีเฒ่านี่ดูเหมือนว่าจะมีสัมพันธ์ที่ดีมากกับซูอวี่ขณะที่เขาพยายามจะโน้มน้าวเจียงอี้อีกครั้ง“ท่านใต้เท้า ท่านซูอวี่นี้เป็นคนที่จริงใจมาก และเขาได้เตรียมของกำนัลที่เลอค่ามาให้ท่านโดยเฉพาะ! หากท่านใต้เท้าปฏิเสธที่จะพบเขา ขันทีเฒ่าคนนี้ก็คงหนักใจที่จะอธิบาย…..”
“ไสหัวไปซะ!”
เจียงอี้โกรธมากขณะที่จิตสังหารของเขาปะทุออกมาพร้อมจ้องมองไปยังขันทีเฒ่าและคำรามออกมา“เจ้าก็ไสหัวไปด้วย คนอย่างพวกเจ้านี่มันเป็นคนประเภทไหนกัน?”
“อ่า?”
ขันทีเฒ่านั้นหวั่นเกรงเขาขึ้นมาในขณะที่เจียงเสี่ยวนู๋และจิ้งจอกน้อยที่อยู่ห้องข้างๆก็ตื่นตระหนกตามๆกันไปพวกเขาต่างพากันรีบออกไปและรู้สึกหน้าเสียกันเป็นอย่างมากเมื่อพวกเขาเห็นเจียงอี้โกรธขึ้นมาถึงเพียงนี้
“เสี่ยวนู๋ไม่เป็นไรหรอก! ไปเล่นกันเถอะ นายน้อยจะได้มีเวลาบ่มเพาะพลังด้วย”
เมื่อเจียงอี้เห็นว่าเจียงเสี่ยวนู๋และจิ้งจอกน้อยกลัวเขาเพียงใดการแสดงออกของเขาก็สงบลงอย่างรวดเร็วในทันที เขาสะบัดมือตัวเองและเดินกลับเข้าไปในห้องซูรั่วเสวี่ย เจียงเสี่ยวนู๋แลบลิ้นออกมาก่อนที่จะพาจิ้งจอกน้อยกลับเข้าไปในห้องโถงในขณะที่ขันทีเฒ่าเดินออกมาด้วยท่าทีที่ดูอึดอัดใจ
ปัง!
เสียงแตกร้าวของแผ่นหินสะท้อนดังออกมาจากภายนอกอย่างรวดเร็วเห็นได้ชัดว่าซูอวี่โกรธแค้นมากเมื่อได้รับข่าวจากขันทีเฒ่า เขาเตะแผ่นหินจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ส่วนเจียงอี้นั้นก็ไม่มีสิ่งใดจะพูดออกมาแล้วในตอนนี้ อาณาจักรต้าเซี่ยนี้ไม่มีใครที่ดูมีความโดดเด่นมากพออีกต่อไปและมันจะเหลือเพียงคนโง่เขลาสองคนนี้ที่จะสืบทอดบัลลังก์จริงๆหรือ
หลังจากเจียงอี้หัวเสียออกมาแล้วก็ไม่มีผู้ใดมารบกวนเขาอีกต่อไปเจียงอี้ก็สามารถอยู่ในวังหิมะเลื่อนลอยได้อย่างสบายใจและไม่ต้องคอยคิดสิ่งใดอีก เขาเพียงแค่ต้องให้ความสนใจกับการฝึกฝนของเขาในขณะที่รอซูรั่วเสวี่ยฟื้นขึ้นมาเท่านั้น
เมื่อวันเวลาค่อยๆผ่านไปซูรั่วเสวี่ยก็ยังไม่ฟื้นขึ้นมาแต่สถานการณ์ในเมืองเซี่ยยวี่ก็ยังคงทวีความรุนแรงขึ้น หากไม่ใช่เพราะแม่ทัพหลูคอยควบคุมเอาไว้ ซูเหิงและซูอวี่ก็คงจะก่อสงครามไปแล้ว
การโต้แย้งกันยังคงดำเนินต่อไปภายในราชสำนักทั้งสองฝั่งยังคงอยู่ในอำนาจและไม่มีผู้ใดถือไพ่เหนือกว่าเนื่องจากแม่ทัพหลูและกลุ่มคนของเขาไม่ได้ประกาศตนยืนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง สถานการณ์ในเมืองเซี่ยยวี่จึงยังอยู่ในสภาวะซบเซาอยู่
หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ถูกอีกฝ่ายไม่ได้รับการสนับสนุนหรือกดขี่ข่มเหงต่ออีกฝ่ายสถานการณ์ที่ไม่มีผู้ปกครองอาณาจักรก็จะยังเป็นเช่นนี้ต่อไป
ในวันที่เจ็ดหลังจากเกิดการรบครั้งใหญ่ในที่สุดซูรั่วเสวี่ยก็ฟื้นขึ้นมา!
น่าเสียดายที่นางยังอ่อนแอเกินไปและลืมตาได้เพียงครู่เดียวก่อนที่เจียงอี้จะไปถึงที่นั่น นางก็หมดสติไปอีกครั้ง เจียงอี้จึงไม่ได้บ่มเพาะพลังอีกต่อไปและนั่งคอยอยู่ข้างๆซูรั่วเสวี่ยและจับมือนางขณะที่มองไปยังใบหน้าที่งดงามของนาง เขาจะหัวเราะออกมาเล็กน้อยบางครั้งบางคราวราวกับว่าเขาเป็นเด็กหนุ่มที่กำลังเริ่มมีความรัก หากบุคคลภายนอกเห็นหน้าเขาคงไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเขาคือเจียงอี้ผู้ต่อต้านกองทัพทหารหนึ่งล้านนายด้วยตัวเองเป็นแน่
ในช่วงเย็นวันนั้นซูรั่วเสวี่ยก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ขนตาที่เรียงยาวของนางสั่นเล็กน้อยก่อนที่นางจะลืมตาขึ้นมาจ้องมองเจียงอี้อยู่นาน นางขยับริมฝีปากและพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแอ “เจียงอี้ นั่นเจ้าหรือ? รั่วเสวี่ยกำลังฝันอยู่หรือเปล่า?”
มือของเจียงอี้ที่กำลังจับมือของรั่วเสวี่ยอยู่นั้นก็กำแน่นขึ้นเขาจีบริมฝีปากและพูดออกมาอย่างอ่อนโยน “รั่วเสวี่ย เจ้าไม่ได้ฝันไปหรอก เจ้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าก็เช่นกัน เราจะยังคงอยู่อีกนาน เจ้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา อย่าพูดอะไรมากมายเลย พักผ่อนอีกหน่อยเถิด”
ซูรั่วเสวี่ยยิ้มและหลับตาลงเพื่อพักผ่อนไปกว่าหนึ่งชั่วโมงเพื่อฟื้นฟูพลังงานของนางนางไม่ได้พูดอะไรออกมามากนักและจับมือเจียงอี้ไว้แน่นและนางก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เจียงอี้ มันจะดีแค่ไหนกันนะ หากข้าได้จับมือเจ้าไว้แบบนี้ตลอดไป”
“ฮิฮิ”
เจียงอี้เผยรอยยิ้มที่สง่างามออกมาขณะที่วิญญาณเขาแทบหลุดลอยไปเขาพูดออกมาอย่างเฉียบขาดว่า “เพื่อที่จะได้กุมมือเจ้าไว้เช่นนี้ตลอดไป ข้าจะต้องแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งจนไม่มีผู้ใดสามารถมาทำร้ายเจ้าได้ แม้แต่จ้าวแห่งอเวจีก็จะไม่มีวันพลัดพรากเราจากกัน”
ซูรั่วเสวี่ยยิ้มออกมาภายใต้แสงเทียนที่สว่างไสว นางเหมือนโบตั๋นที่บานสะพรั่ง มันงดงามอย่างหาที่เปรียบมิได้และสวยงามมาก เขารู้สึกว่านี่เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุขที่สุด ชีวิตของเขาถูกเติมเต็มอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ตึกตึก ตึก!
บรรยากาศในห้องนั้นที่กำลังเป็นไปด้วยดีกลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงฝีเท้าเจียงอี้ขมวดคิ้วของเขาขณะที่นัยน์ตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร นอกเหนือจากขันทีและสาวใช้ในวังแล้ว เขาก็ไม่ให้ผู้ใดเข้ามา ผู้ใดช่างกล้ามาขัดจังหวะและรบกวนเขาในช่วงเวลาเช่นนี้กัน?
“ใต้เท้าเจียงมีเรื่องเกิดขึ้น……”
มันคือแม่ทัพเฒ่าหลูที่กำลังตะโกนออกมาอย่างร้อนรนก่อนที่เขาจะเข้าไป“ท่านใต้เท้า เจ้าพระยาทั้งสองเริ่มต่อสู้กันแล้ว พวกเขามีทหารอย่างน้อยสามหมื่นนายที่เข้าไปเกี่ยวข้องแล้วมีผู้บาดเจ็บล้มตายไปกว่าสองพันคน สามัญชนหลายคนก็ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุนี้เช่นกันขอรับ…..”
เมื่อเจียงอี้ได้ยินรายงานจากแม่ทัพเฒ่าแล้วการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาไม่ได้มีความกังวลเกี่ยวกับเรื่องของการบาดเจ็บล้มตายในอาณาจักรต้าเซี่ยเลย สิ่งที่เขาเป็นห่วงคือซูรั่วเสวี่ย
ซูรั่วเสวี่ยเพิ่งฟื้นขึ้นมาและร่างกายของนางยังอ่อนแอมากเขาไม่กล้าบอกนางเรื่องการสิ้นพระชนม์ของซูตี๋หวัง เขาต้องการให้นางพักผ่อนก่อนสักสองสามวันแล้วค่อยบอกข่าวนี้กับนาง แต่เขาก็ไม่คิดว่าเหตุการณืนี้จะบังเอิญเกิดขึ้นมาในเวลานี้!
“เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไรอยู่?ไสหัวไปซะ!”
เขาหันไปจ้องมองแม่ทัพหลูด้วยสายตาที่แหลมคมราวกับใบมีดก่อนที่เขาจะหันกลับมาหาซูรั่วเสวี่ยอย่างเป็นกังวล
“เสด็จอาซูเหิง?เสด็จอาซูอวี่?”
คิ้วของซูรั่วเสวี่ยขมวดติดกันขณะที่มีความสับสนอยู่ในดวงตาของนางนางเข้าใจบางสิ่งได้อย่างรวดเร็วและถามด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา “เจียงอี้ เกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกเขาถึงสู้รับกัน?”
เจียงอี้มีกลิ่นอายสังหารอยู่มากมายแต่ก็ทำได้เพียงแค่ยิ้มและตอบว่า “ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร! มันเป็นเรื่องเล็กน้อยที่ข้าจะเข้าไปร่วมประเดี๋ยวนึง รั่วเสวี่ย เจ้าเพิ่งฟื้นขึ้นมา พักผ่อนให้สงบและอย่าไปรับรู้เรื่องน่ารำคาญเช่นนี้เลย เข้าใจไหม?”
แม่ทัพเฒ่าก็แสดงอาการออกมาในเวลาเดียวกันแม้ว่ามันจะเป็นกรณีฉุกเฉินถึงที่สุด แต่เขาก็เผยรอยยิ้มที่แย่เสียยิ่งกว่าการร้องไห้ออกมาและกล่าวขอโทษ “ใช่ ถูกต้องแล้วพะยะค่ะองค์หญิงรั่วเสวี่ย โปรดพักเสียก่อน นี่เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แม่ทัพผู้นี้จะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
“หยุดอยู่ตรงนั้นเดี๋ยวสิ!”
สีหน้าของซูรั่วเสวี่ยหม่นหมองขณะที่นางพยายามลุกขึ้นนั่งเจียงอี้รู้สึกค่อนข้างตกใจพร้อมช่วยนางลุกอย่างรวดเร็ว ขณะที่ซูรั่วเสวี่ยพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม “แค่ก…แค่ก.. แม่ทัพหลู อธิบายทุกอย่างให้ข้าฟังอย่างชัดเจนหน่อยว่าทำไมเสด็จอาทั้งสองของข้าจึงได้สู้รบกัน? แล้วเสด็จพ่อข้าล่ะ? ทำไมเขาไม่เข้ามา?”
เมื่อเจียงอี้เห็นเลือดที่ไหลออกมาจากปากของซูรั่วเสวี่ยหลังจากที่นางไอออกมาเขาก็ตอบอย่างรวดเร็วและร้อนรน“รั่วเสวี่ยอย่าเพิ่งมีโทสะไป นอนก่อนนะ พักลงก่อน และอย่าขยับไปไหน อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี!”
ซูรั่วเสวี่ยจับจ้องไปยังเจียงอี้และพูดออกมา“เจียงอี้ บอกทุกอย่างกับข้ามาว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างช่วงเวลาที่ข้าหลับไป ข้าอยากรู้!”
“ได้ได้ ข้าจะบอกเจ้า! แต่เจ้าต้องนอนลงไปก่อน!” เจียงอี้หมดปัญญา ซูรั่วเสวี่ยผู้นี้ช่างดื้อรั้นเหมือนแม่วัว เขาไม่มีทางเลือกนอกจากจะต้องอธิบายทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนที่ซูรั่วเสวี่ยยังไม่รู้สึกตัวทันที แน่นอนว่าเขาไม่ได้พูดเรื่องที่ซูตี๋หวังอาจถูกลอบปลงพระชนม์และพูดเพียงแค่ว่าเขาเสียชีวิตลงจากความเจ็บป่วย
“เสด็จพ่อ….”
หลังจากซูรั่วเสวี่ยฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้วนางก็หลับตาลงในขณะที่น้ำตาทั้งสองสายไหลรินลงมา นางรู้สึกเจ็บที่หน้าอกอย่างรุนแรงและลืมเพียงแค่ตาหลังจากเงียบอยู่นาน จากนั้นนางก็ถามว่า “เจียงอี้ เจ้าช่วยข้าหน่อยได้ไหม?”
เจียงอี้ตอบกลับอย่างรวดเร็ว“รั่วเสวี่ย บอกข้ามาเถิด ตราบใดที่เจ้าไม่โกรธและจะฟื้นตัว ข้าจะเห็นด้วยกับทุกสิ่ง”
“ได้!”
ซูรั่วเสวี่ยพยักหน้าขณะที่นัยน์ตาของนางเปล่งประกายออกมาอย่างรุนแรงขณะที่นางพูดอย่างหนักหน่วงว่า“ไปจับกุมตัวเสด็จอาทั้งสองเพื่อข้า หากพวกเขาต่อต้าน เจ้าสามารถฆ่าพวกเขาได้เลย!”