เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 319 ราชินี
บทที่ 319 ราชินี
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
เจียงอี้ลากเจ้าพระยาไว้ในมือแต่ละข้างขณะที่กำลังกลับไปยังพระราชวังเขาโยนพวกนั้นไปด้านนอกวังหิมะเลื่อนลอยและให้ทหารหลายนายมัดสองคนนั้นเอาไว้ จากนั้นเขาก็เดินสาวเท้าเข้าไปในห้องของซูรั่วเสวี่ย
ซูรั่วเสวี่ยกำลังนอนอยู่บนเตียงด้วยสายตาที่เป็นกังวลและเศร้าหมองขณะที่เจียงเสี่ยวนู๋นั่งอยู่ข้างๆและคอยปลอบนางอย่างนุ่มนวลส่วนจิ้งจอกน้อยก็นอนอยู่บนโต๊ะด้วยดวงตาที่แทบจะปิด
“นายน้อย!”
เมื่อเจียงเสี่ยวนู๋ได้ยินเสียงความโกลาหลภายนอกนางก็ดีใจทันทีเมื่อเห็นเจียงอี้เดินเข้ามา ดวงตาของซูรั่วเสวี่ยก็สว่างขึ้นเล็กน้อยเมื่อนางจ้องมองไปยังเจียงอี้โดยไม่ได้พูดอะไรเลย แต่ดวงตาของนางเป็นเหมือนการถามเขาอย่างเงียบๆ
“ข้านำตัวทั้งคู่มาแล้วและพวกเขาก็อยู่ข้างนอกนั่นรั่วเสวี่ย เจ้าต้องการทำสิ่งใดต่อ?” เจียงอี้แปะมือไปที่หัวของเสี่ยวนู๋ขณะที่เขาหันไปพูดกับซูรั่วเสวี่ยอย่างอ่อนโยน “เจ้าต้องการไต่สวนพวกนั้นไหม?”
ซูรั่วเสวี่ยส่ายหัวแล้วตอบว่า“กักตัวพวกเขาไว้ก่อน เจียงอี้ จัดการสถานการณ์ในเมืองก่อนและรอให้ร่างกายข้าฟื้นฟูกว่านี้ก่อนที่เราจะทำอย่างอื่นเถอะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงมีข้าอยู่ใกล้ๆ ไม่มีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามหรอก!” เจียงอี้พยักหน้าและยิ้ม “รั่วเสวี่ยอย่าคิดมากและรักษาร่างกายของเจ้าเพื่อประชาชนเมืองเซี่ยยวี่ เข้าใจไหม?”
“เข้าใจแล้ว…”
ซูรั่วเสวี่ยปิดตาของนางและหลับใหลไปอย่างรวดเร็วเจียงอี้จึงส่งสัญญาณให้เจียงเสี่ยวนู๋และจิ้งจอกน้อยออกมาพร้อมกับเขา จากนั้นเขาก็มองไปยังทั้งสองและพูดว่า “เสี่ยวเฟย เจ้าเบื่อที่นี่ไหม? ทำไมไม่กลับไปยังหุบเขาก่อนล่ะ?”
“จี๊จี๊!”
จิ้งจอกน้อยส่ายหัวและส่งข้อความมาว่า“เสี่ยวเฟยไม่อยากกลับไปที่หุบเขา มันสนุกมากเลยที่ได้มาพักอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่แล้วก็เป็นเพราะอาหารเลิศรส เนื้อย่างนั้นอร่อยมากๆ! เสี่ยวเฟยชอบมันมากเลย!”
“ฮึฮึ!”
เจียงอี้ลูบหัวจิ้งจอกน้อยอย่างเอาใจและพูดกับเสี่ยวนู๋ว่า“เช่นนั้นพวกเจ้าทั้งสองก็อยู่ที่นี่ต่อไปก่อน หลังจากที่ซูรั่วเสวี่ยพักฟื้นร่างกายแล้ว ข้าจะพาเจ้าทั้งสองกลับไปยังยอดเขาเทพธิดา”
หลังจากที่เสี่ยวนู๋และจิ้งจอกน้อยจากไปแล้วเจียงอี้ก็ไม่ได้เข้าไปที่ห้องของซูรั่วเสวี่ย แต่เขานั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่และเริ่มพิจารณาเกี่ยวกับอนาคตอย่างจริงจัง
สามปี!
ในช่วงระหว่างการรบครั้งใหญ่นอกเมืองเซี่ยยวี่เขาสามารถรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้ได้เพราะมีจักรพรรดินีสัตว์อสูรยื่นมือเข้ามาช่วย แต่หลังจากสัญญาสามปีแล้ว ผู้เชี่ยวชาญจากกองกำลังทั้งหกคงไม่ปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ อย่างน้อย….ขันทีเฒ่าหลินแห่งอาณาจักรเสินหวู่คงไม่มีทางปล่อยเขาไปเป็นแน่!
ก่อนที่จักรพรรดินีสัตว์อสูรจะจากไปนางก็ส่งโทรจิตมาว่าสามปีให้หลังจะออกจากทวีปเทียนชิงและเขาอาจเสียบุคคลที่คอยสนับสนุนเขาไป และเมื่อสุ่ยโย่วหลาน, จูเก๋อชิงหยุน, และเจ้าอาวาสเหยียนเส่อลั่นวาจาของพวกเขาไปแล้ว พวกเขาก็จะต้องไม่คืนคำ สามปีหลังจากนี้จะไม่มีใครปกป้องเขาได้อีก และเขาจะต้องเผชิญหน้ากับเหล่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังที่มองหาเขาอยู่มากมาย
เขาจะต้องฝึกฝนให้มากจนเขาจะต้องมีพละกำลังในการปกป้องตัวเองในอีกสามปีให้ได้แต่เขาก็สามารถออกจากทวีปนี้ไปตามหาเกาะที่เงียบสงบและอยู่ที่นั่นเพื่อใช้ชีวิตโดยไม่มีวันกลับมาที่ทวีปนี้อีก
หากว่าเขาอยู่คนเดียวมันก็ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะต้องไปที่ไหน มันคงจะเหมาะสมที่สุดหากเขาจะหาเกาะที่อยู่ห่างไกลจากทวีปนี้และใช้ชีวิตโดยไม่มีความกังวลใดๆ หลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆมาทั้งหมดทั้งมวลนี้ เขาเกลียดวันที่ต้องรบราฆ่าฟันกันและต้องการสันติภาพและความมั่นคง
คำถามก็คือ….ซูรั่วเสวี่ยจะไปหรือ?
หากซูรั่วเสวี่ยไม่ต้องการที่จะละทิ้งบ้านเกิดเมืองนอนของนางไปเจียงอี้จะต้องอยู่และฝึกฝนให้สุดความสามารถเพื่อที่เขาจะสามารถปกป้องตนเองให้ได้ภายในสามปี
หากเขาต้องการที่จะปกป้องตัวเองอย่าน้อยขั้นพลังของเขาจะต้องอยู่ขอบเขตจินกัง และมันจะต้องเทียบเท่ากับขอบเขตจินกังขั้นที่ห้า เวลาสามปีนั้นสั้นเกินไปและเจียงอี้ก็ไม่ได้มีความมั่นใจว่าตัวเองจะทะลวงจุดสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวไปได้ ไม่ต้องพูดถึงขอบเขตจินกังเลย
เมื่อเขาบ่มเพาะพลังไปจนถึงขั้นสูงสุดของขอบเขตเสินโหยวแล้วเขาต้องเข้าถึงรูปแบบเต๋า แต่เจียงอี้ไม่รู้เลยว่าเขาควรจะบ่มเพาะพลังอย่างไรต่อในภายภาคหน้า ซึ่งมันก็ทำให้เขาปวดหัวเป็นอย่างมาก
ช่างมันๆข้ารอดูก่อนแล้วกันว่าซูรั่วเสวี่ยจะเต็มใจที่จะไปหรือไม่ หากนางเต็มใจจากไปพร้อมกับข้า ทุกอย่างก็จะสมบูรณ์แบบ!
เจียงอี้พึมพำกับตัวเองและพยายามปลอบใจตัวเองเขานั่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกลับไปที่ห้องของซูรั่วเสวี่ยและนั่งขัดสมาธิเพื่อบ่มพลัง
…
หลายวันผ่านไปผู้คนในเมืองเซี่ยยวี่ต่างอยู่กันอย่างสงบสุข หลังจากที่เจ้าพระยาทั้งสองถูกกุมตัว กองทัพทั้งหมดก็ถูกคุมไว้โดยแม่ทัพหลูเช่นกัน และไม่มีใครกล้าทำสิ่งใดเมื่อไม่มีอำนาจ
ส่วนสภาพร่างกายของซูรั่วเสวี่ยก็ดีขึ้นทุกวันแต่นางก็ยังคงนิ่งเงียบ นางไม่ได้ทำสิ่งใดนอกจากถามสถานการณ์ในเมืองเซี่ยยวี่จากเจียงอี้หรือถามสถานการณ์บางอย่างกับแม่ทัพหลู
เจียงอี้รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวในใจของนางเมื่อทุกคนในครอบครัวถูกฆ่าตาย และเหลือเพียงอาทั้งสองของนางและพวกเขาก็ค่อนข้างน่าผิดหวังมาก
อาณาจักรถูกทำลายไปแล้วและครอบครัวของนางก็จากไปแล้ว!
อาณาจักรอาจจะไม่ได้ถูกล้มล้างไปอย่างสิ้นเชิงแต่มันก็เกือบจะเป็นเช่นนั้นแล้ว คงไม่มีสิ่งใดที่จะน่าสมเพชไปกว่านี้อีกแล้วใช่ไหม?
หลายวันที่ผ่านมาซูรั่วเสวี่ยไม่ได้หลั่งน้ำตาอีกต่อไป นางจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนั่งเหม่อลอยอย่างเงียบๆซึ่งทำให้เจียงอี้รู้สึกเป็นห่วงยิ่งขึ้น เขาไม่รู้จะปลอบนางอย่างไรจึงทำได้เพียงแค่จับมือนางเงียบๆและมอบความอบอุ่นให้แก่นาง เขาอยากให้นางรู้ว่านางยังมีเขาอยู่ในโลกใบนี้!
หลังจากผ่านไปหลายวันซูรั่วเสวี่ยก็กลับมาฟื้นฟูตำแหน่งของนาง เมื่อนางสามารถลุกขึ้นจากเตียงได้ด้วยตัวเอง คำสั่งแรกของนางคือ “ใครก็ได้ เตรียมรถม้าไว้ ข้าอยากจะไปคำนับเสด็จพ่อของข้า!”
แม่ทัพหลูเฒ่าจัดเตรียมรถม้าไม่กี่คันทันทีเหล่าขุนนางมากมายก็มาหลังจากรับรู้ข่าวนี้ เมื่อเจียงอี้ช่วยพยุงซูรั่วเสวี่ยลงจากรถม้าหลังจากถึงทางตะวันตกของเมืองซึ่งเป็นสุสานราชวงศ์ พวกเขาก็เห็นขุนนางและแม่ทัพมากมายมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
“คารวะองค์หญิงใต้เท้าเจียง!”
ขุนนางและเหล่าทหารคุกเข่าขณะที่ซูรั่วเสวี่ยไม่พูดอะไรออกมาเลยด้วยการช่วยเหลือของเจียงอี้ นางก็เดินไปยังสุสานขององค์ราชาอย่างช้าๆ นางแต่งกายด้วยชุดสีขาวที่ให้อารมณ์ที่เย็นเยียบนี้ ราวกับว่านางเป็นธิดาเทพที่อยู่เหนือสามัญชนทั้งปวง นางดูเป็นผู้ที่สูญทุกสิ่งหมดสิ้น และมันก็เป็นภาพที่ดูน่าเวทนานัก
สุสานราชวงศ์กว้างขวางมากและหลังจากเดินไปได้หนึ่งชั่วโมงทุกคนก็มาถึงหลุมฝังศพซูตี๋หวังและเหล่าตระกูลซูคนอื่นๆที่เสียชีวิตลงไปในสงครามนี้เมื่อมองไปที่หลุมฝังศพที่เรียงรายเป็นแถวเดียวกันตาของนางก็แดงก่ำขึ้น แต่นางก็ไม่ได้ปล่อยน้ำตาให้ไหลออกมาแม้แต่หยดเดียว
นางคุกเข่าและจุดธูปให้แก่ซูตี๋หวังกับเหล่าสมาชิกตระกูลซูทั้งหมดและแสดงความเคารพร่างกายของนางยังคงอ่อนแอ แต่นางยืนกรานอย่างดื้อรั้นที่จะคุกเข่าและคำนับทุกคนต่อไป
เจียงอี้ก็อยู่ในจุดที่จนปัญญาแล้วเขาทำได้เพียงแค่เดินไปกับนางและแสดงความเคารพ เมื่อเขาเห็นว่าใบหน้าของนางซีดลงเนื่องจากมันกระทบไปยังบาดแผลของนาง เมื่อใดก็ตามที่นางคุกเข่า เจียงอี้จะรู้สึกปวดใจอย่างแรง เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตามนางไปเงียบๆ
คนอื่นๆที่อยู่ข้างหลังนางก็คอยติดตามมาด้วยและแสดงความเคารพหลังจากใช้เวลาตลอดทั้งวันในที่สุดซูรั่วเสวี่ยก็แสดงความเคารพต่อกลุ่มผู้ตายทั้งหมดเรียบร้อย ลมหายใจของนางเริ่มติดขัดและเห็นได้ชัดว่าร่างกายที่อ่อนแอของนางไม่สามารถต้านภาระอันหนักอึ้งเช่นนี้ได้
เมื่อเจียงอี้ต้องการโน้มน้าวให้นางกลับมาพักผ่อนนางก็ยกมือขึ้นและหยุดไม่ให้เจียงอี้พูดนางเดินไปที่หลุมฝังศพของซูตี๋หวังขณะที่นางโค้งคำนับและกล่าวว่า “เสด็จพ่อ ท่านจากไปอย่างสงบได้แล้วนะเจ้าคะ ลูกสาวคนนี้จะช่วยท่านปกครองอาณาจักรต้าเซี่ยให้ถูกที่ถูกทางเอง ตระกูลซุอาจจะไม่เหลือผู้รอดชีวิตมากนัก แต่ตราบใดที่ทายาทตระกูลซูยังคงอยู่ เราจะไม่มีวันละทิ้งอาณาจักรต้าเซี่ย หากอาณาจักรต้าเซี่ยจักล่มสลาย มันก็จะเป็นเวลาที่ทายาทตระกูลซูจักล่มสลายไปพร้อมกัน!”
“เอ่อ…”
เจียงอี้ที่กำลังฟังอยู่เลิกคิ้วขึ้นมาสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดก็ดันเกิดขึ้นในที่สุด ซูรั่วเสวี่ยจะไม่ละทิ้งอาณาจักรต้าเซี่ยและนางก็พร้อมจะนำตัวเองขึ้นสู่องค์ราชินี
ดวงตาของแม่ทัพหลูและคนอื่นๆสว่างขึ้นพวกเขาอาจจะไม่ได้ปฏิบัติตามกฎที่บรรพบุรุษเคยตั้งไว้หากซูรั่วเสวี่ยจะขึ้นเป็นราชินี แต่สภาพของอาณาจักรต้าเซี่ยนั้นเป็นอย่างไรในตอนนี้? มันเป็นความคิดที่เหมาะสมที่สุดแล้วที่นางจะขึ้นครองบัลลังก์ และที่สำคัญที่สุดคือ…..นางได้รับการสนับสนุนจากเจียงอี้