เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 320 สายแร่ศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 320 สายแร่ศักดิ์สิทธิ์
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
“เจียงอี้ ข้าขอโทษ!”
หลังจากที่ซูรั่วเสวี่ยกลับมายังวังหิมะเลื่อนลอย นางก็บอกให้เหล่าสาวใช้ออกไปเพื่อที่จะได้พูดคุยกับเจียงอี้เป็นการส่วนตัว
“ข้าไม่อยากปล่อยให้อาณาจักรต้าเซี่ยต้องพังพินาศภายใต้เงื้อมมือของเสด็จอาทั้งสอง ข้าไม่สามารถเพิกเฉยต่อชาวต้าเซี่ยเพื่อหนีเอาตัวรอดคนเดียวได้… ไม่ว่ายังไงข้าก็ยังเป็นคนของตระกูลซูและตระกูลซูก็จะไม่มีวันทอดทิ้งอาณาจักรต้าเซี่ยเด็ดขาด!”
เจียงอี้ก้มศีรษะลงเล็กน้อยราวกับกำลังครุ่นคิด จากนั้นไม่นานเขาก็ยกศีรษะขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“รั่วเสวี่ย ไม่ว่าเจ้าจะตัดสินใจยังไง ข้าก็จะสนับสนุนเจ้า ข้าเกือบจะสูญเสียเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่งและข้าจะไม่ยอมมันให้เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง! เพราะฉะนั้น ไม่ว่าทางที่เจ้าเลือกจะยากลำบากเพียงใด พวกเราก็จะฝ่าฟันมันไปด้วยกัน!”
“ไม่ได้นะเจียงอี้ เจ้าช่วยเหลืออาณาจักรต้าเซี่ยมามากพอแล้ว…”
ซูรั่วเสวี่ยส่ายศีรษะและกำลังจะพูดบางอย่าง แต่เจียงอี้ก็เดินเข้ามากุมมือนางไว้และชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว ชะตากรรมของข้าและเจ้ารวมไปถึงอาณาจักรต้าเซี่ยถูกเชื่อมโยงกันไว้แล้ว”
“จงเชื่อใจข้า! หากว่าข้าสามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งได้มากพอภายในสามปีนี้ ปัญหาทุกอย่างก็จะถูกคลี่คลาย…”
ในเวลานี้เจียงอี้มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าแสงแห่งความหวังจะดูริบหรี่นัก แต่เขาก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวเอง
ด้วยความช่วยเหลือจากศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์นิรนาม, ตันเทียนที่แปรสภาพและดาบมังกรเพลิง ตราบเท่าที่เขาสามารถจุดประกายพลังใหม่ให้กับดาวดวงที่สามและตีความรูปแบบเต๋าได้สำเร็จ พลังรบของเขาจะพุ่งทะยานขึ้นอย่างน่าเหลือเชื่อ
เจียงอี้ยังมีเจตจำนงสังหารด้วย จะเป็นยังไงหากเขาสามารถทะลวงสู่ขั้นที่ห้าได้? นอกจากนี้เขายังสามารถใช้ศาสตร์แปรผันดวงจิตได้อย่างไม่สิ้นสุด สำหรับเขาแล้ว เวลาสามปีนั้นถือว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อสองปีก่อนในเมืองเทียนอวี่ เจียงอี้ยังเป็นเพียงแค่เด็กน้อยผู้อ่อนแอซึ่งถูกเจียงหยูหู่คอยรังแกอยู่ร่ำไป แต่บัดนี้ เขาได้กลายเป็นผู้ไร้เทียมทานในขั้นเสินโหยวซึ่งพิสูจน์แล้วว่าเวลาแค่ไม่กี่ปี เขาสามารถพลิกจากคนธรรมดาคนหนึ่งให้กลายเป็นนักสู้ชั้นแนวหน้าของทวีปได้!
เมื่อเห็นถึงความมุ่งมั่นของเขา ซูรั่วเสวี่ยก็ทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆและไม่คิดจะกล่าวสิ่งใดออกมาอีก นางก้าวไปข้างหน้าพร้อมกับยื่นมือออกไปโอบกอดร่างของเจียงอี้ไว้ จากนั้นก็แนบศีรษะไว้ที่หน้าอกของเขา
“เจียงอี้ เสด็จพ่อนั้นดีกับข้ามาก เขามอบชุดเกราะระดับสวรรค์ให้กับข้า หากไม่ใช่เพราะมัน ข้าคงจะตายไปนานแล้ว”
“ครั้งหนึ่ง เสด็จพ่อเคยอุทิศตนเพื่อทำให้อาณาจักรต้าเซี่ยนั้นก้าวสู่ความเป็นใหญ่ แต่น่าเสียดายแม้ว่าเขาจะมีความทะเยอทะยานแต่ก็ไร้ซึ่งความสามารถ”
“เมื่อยี่สิบปีก่อน เพียงแค่ความผิดพลาดครั้งเดียวถึงกับทำให้เขาต้องสูญเสียความกล้าทั้งหมดไป เสด็จพ่อพยายามลบภาพเหตุการณ์ในครั้งนั้นด้วยการร่ำสุราและใช้ชีวิตด้วยความสำราญ แต่มีเพียงแค่บุตรชายและธิดาของเขาเท่านั้นที่รู้ว่าเขาเจ็บปวดและตำหนิตัวเองมากแค่ไหน”
“ดังนั้น… ตัวข้าและเหล่าพี่น้องจึงสาบานกันว่าจะช่วยเสด็จพ่อปกครองอาณาจักรต้าเซี่ยไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม! นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเมื่อเสด็จพ่อต้องการให้ข้าเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเซี่ยอู๋หุ่ย ข้าจึงไม่ปฏิเสธและยินยอมแต่โดยดี”
“และเพราะเรื่องนี้เองที่ทำให้ข้ารู้สึกผิดต่อเจ้า ข้าขอโทษนะเจียงอี้ ข้าติดค้างเจ้ามากเกินไป… มากเกินไปจริงๆ…”
เจียงอี้สัมผัสได้ถึงร่างอันอ่อนนุ่มที่กำลังสั่นเทาอยู่ในอ้อมแขนของเขา แม้ว่าเขาจะได้ยินคำพูดมากมายจากปากของนาง แต่เขาก็ยังคงนิ่งเงียบ
ถึงอย่างนั้น ภายในใจของเขากลับรู้สึกว่าตัวเองนั้นติดค้างซูรั่วเสวี่ยยิ่งกว่าเดิม ความรักของคนสองคนไม่ควรมีหนี้บุญคุณมาเกี่ยวข้อง เขารู้ดีว่าซูตี๋หวังนั้นสำคัญกับนางมากดังนั้นเขาจึงไม่คิดที่จะเอ่ยอะไรขึ้นมาอีก
เจียงอี้เป็นคนที่ให้ความสำคัญต่อความสัมพันธ์เป็นอย่างยิ่ง หากใครดีต่อเขา เขาก็จะดีกลับไปเป็นร้อยเท่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาซูรั่วเสวี่ยปฏิบัติกับเขาเป็นอย่างดีและเขาก็สัมผัสถึงมันได้ แล้วนับจากนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะไม่ปฏิบัติกับนางราวกับอัญมณีล้ำค่า?
พวกเขายืนกอดกันอยู่พักใหญ่ ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาและใช้เพียงหัวใจในการสื่อสารกัน ความจริงแล้วภายในส่วนลึกของจิตใจ พวกเขาก็หวังว่าช่วงเวลานี้จะคงอยู่ตราบชั่วนิรันดร์
แต่หลังจากที่นั้นไม่นาน เจียงอี้ก็ต้องคลายอ้อมกอดด้วยความจำใจ เขากลัวว่าซูรั่วเสวี่ยจะรู้สึกเหนื่อย ดังนั้นเขาจึงพานางไปนั่งพร้อมกับกล่าวบางอย่างออกมา
“รั่วเสวี่ย ข้าอาจจะต้องกลับไปยังยอดเขาเทพธิดาที่อยู่ในหุบเขาสามหมื่นลี้ในเร็วๆนี้เพื่อปิดด่านฝึกฝน แต่ข้าก็ยังกังวลว่าจะมีพวกที่ไม่รู้ดีชั่วออกมาทำการก่อกบฏอีก… เจ้าว่าข้าควรจะกวาดล้างพวกมันก่อนไปดีหรือไม่?”
“ทำไมต้องเป็นที่หุบเขาสามหมื่นลี้ด้วยล่ะ?” ซูรั่วเสวี่ยเอ่ยถามด้วยความสงสัย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจียงอี้ก็เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม
“การบ่มเพาะพลังอยู่ที่นี่นั้นช้าเกินไป ข้ามีเวลาเพียงแค่สามปี ดังนั้นข้าจะต้องใช้ทุกวินาทีให้คุ้มค่า”
“นอกจากนี้ แท่นลอยฟ้าที่อยู่ในราชวังของจักรพรรดินีสัตว์อสูรยังมีพลังงานฟ้าดินที่หนาแน่นมากกว่าโลกภายนอกถึงสิบเท่า!”
ทันใดนั้น คิ้วของซูรั่วเสวี่ยก็ขมวดเข้าหากันราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง จากนั้นนางก็ลุกขึ้นและมองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาด้วยขณะลดเสียงลง
“เจียงอี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องบ่มเพาะพลังที่ยอดเขาเทพธิดาหรอก เจ้าสามารถบ่มเพาะพลังอยู่ในเมืองเซี่ยยวี่แห่งนี้ได้… ความจริงแล้ว พวกเราได้ครอบครองสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งบรรจุพลังงานฟ้าดินไว้อย่างหนาแน่นซึ่ง บางทีอาจจะมากกว่าภายนอกหลายสิบเท่า หรือแม้กระทั่ง… หนึ่งร้อยเท่า!”
“อะไรนะ?!”
ดวงตาของเจียงอี้เบิกกว้างด้วยความไม่อยากจะเชื่อขณะที่อุทานออกมา
“อาณาจักรต้าเซี่ยของเจ้ามีสถานที่แบบนั้นอยู่ด้วยหรือ? ไม่สิ… นี่ไม่ถูกต้อง หากเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมจำนวนผู้เชี่ยวชาญของพวกเจ้าถึงมีน้อยนัก?”
“สถานที่แห่งนั้นเพิ่งถูกค้นพบเมื่อสามเดือนก่อน!”
ซูรั่วเสวี่ยถอนหายใจพลางกล่าว
“เมื่อสามเดือนก่อน—ใต้เมืองเซี่ยยวี่แห่งนี้ พวกเราบังเอิญขุดพบสายแร่ศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้อาณาจักรอื่นๆต่างก็ยกทัพมาเพื่อที่จะกวาดล้างพวกเราให้เร็วที่สุด”
“หากว่ามีสายแร่ศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่ ในเวลาหนึ่งร้อยปี อาณาจักรต้าเซี่ยก็จะกลายเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดของทวีปนี้! เจียงอี้… เจ้ารู้ไหมว่าทำไมจักรวรรดิมังกรเวหาถึงได้มีผู้เชี่ยวชาญมากมายนัก? ทั้งหมดก็เป็นเพราะว่าพวกเขาเองก็ครอบครองสายแร่ศักดิ์สิทธิ์เช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนว่าของพวกเรานั้นจะใหญ่กว่าของพวกเขาเสียอีก!”
“สายแร่ศักดิ์สิทธิ์? มันคืออะไร?” เจียงอี้เอ่ยถามด้วยความฉงน
“มันคือสายแร่ที่เอาไว้ใช้ผลิตศิลาสวรรค์!”
“ห๊ะ!”
เจียงอี้ตกตะลึง สายแร่ที่สามารถขุดศิลาสวรรค์ขึ้นมาได้?
นี่มันเกี่ยวข้องกับศิลาสวรรค์อีกแล้วหรือ?
ศิลาสวรรค์คือสมบัติอันดับหนึ่งสำหรับใช้บ่มเพาะพลัง! ด้วยพลังของมัน พวกเขาสามารถผลิตผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวออกมาได้อย่างต่อเนื่อง!
แม้ว่าการสร้างยอดฝีมือขอบเขตจินกังสักคนจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นเป็นอย่างมาก แต่สำหรับจอมยุทธขอบเขตเสินโหยวแล้ว มันไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
แม้แต่กับตัวเจียงอี้เอง ด้วยการดูดซับศิลาสวรรค์ไปเพียงสามก้อน กำลังรบของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดดซึ่งเทียบได้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวเลยทีเดียว นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าพลังของศิลาสวรรค์นั้นมากมายขนาดไหน!
“ไม่น่าแปลกใจเลย…”
ในที่สุดคำถามที่ยังคงคาอยู่ในใจของเจียงอี้ก็ได้รับคำตอบเสียที ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมขั้วอำนาจใหญ่ทั้งหกถึงได้ส่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังออกมาเป็นจำนวนมากเพื่อที่จะโค่นล้มอาณาจักรต้าเซี่ย
พวกเขากลัวว่าหากปล่อยให้อาณาจักรต้าเซี่ยแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มันจะเป็นตัวพวกเขาที่จะถูกกวาดล้างในสักวันหนึ่ง
“ศิลาสวรรค์!”
เมื่อนึกถึงของสิ่งนี้ เจียงอี้ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ด้วยพลังของมัน เขาสามารถเติมเต็มพลังงานให้กับดวงดาวในตันเทียนได้อย่างต่อเนื่อง
และเมื่อใดก็ตามที่ดาวดวงที่สามถูกปลุกขึ้นมา เขาก็จะมีพลังเทียบเท่ากับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังทันที
แต่ถ้าหากได้รับการสนับสนุนจากศิลาสวรรค์อันไม่มีที่สิ้นสุด ในเวลาสามปี การแปรสภาพดาวดวงที่สี่หรือห้าก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!
เจียงอี้สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดและพยายามระงับความตื่นเต้น จากนั้นเขาก็เอ่ยออกมา
“รั่วเสวี่ย ภายในสายแร่แห่งนั้นมีศิลาสวรรค์อยู่มากขนาดไหน? แล้วพวกเจ้าขุดมาได้เท่าไหร่แล้ว?หากว่าข้าได้บ่มเพาะพลังด้วยศิลาสวรรค์เหล่านั้น ข้าคิดว่าภายในเวลาสามปี จะไม่มีใครสามารถรังแกอาณาจักรต้าเซี่ยได้อีก!”
“นี่…”
แต่จู่ๆสีหน้าของซูรั่วเสวี่ยก็หมองลง จากนั้นก็เอ่ยด้วยความสิ้นหวัง
“ข้าไม่ทราบแน่ชัดว่าภายในนั้นมีศิลาสวรรค์อยู่มากเท่าไหร่กันแน่ จนถึงตอนนี้ พวกเรายังไม่ได้ทำการขุดออกมาเลยแม้แต่ก้อนเดียว อันที่จริงแม้แต่ผู้ทรงพลังของฝั่งเราก็ยังไม่สามารถทะลวงเข้าไปในสายแร่แห่งนั้นได้เลยด้วยซ้ำ!”
…