เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 324 ข้าจะทำให้พวกมันต้องคลานกลับไป
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 324 ข้าจะทำให้พวกมันต้องคลานกลับไป
บทที่ 324 ข้าจะทำให้พวกมันต้องคลานกลับไป
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
เหล่าจอมยุทธที่กำลังขุดเหมืองกระจายตัวอย่างรวดเร็วเมื่อมังกรเพลิงทั้งสองตัวของเจียงอี้กำลังพุ่งทะลวงกำแพงหินยักษ์
ปังง!
ครื้นน!
เมื่อสองมังกรเพลิงเข้าปะทะกับผนัง มันก็ทำให้บริเวณนั้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ในขณะเดียวกันฝูงชนก็รู้สึกราวกับว่าทั้งอุโมงค์กำลังจะถล่มลงมา เศษฝุ่นควันฟุ้งกระจายอยู่ในอากาศและบดบังทัศนวิสัยของผู้คนเอาไว้
“นี่…”
เมื่อเจียงอี้มองเห็นรอยขนาดเล็กที่ปรากฏอยู่ตรงกำแพงหิน แม้ว่าเขาจะรู้อยู่แล้วว่าหินผลึกนี้ทนทานมาก แต่ก็ไม่นึกว่ามันจะแข็งขนาดนี้
การโจมตีอย่างเต็มกำลังของเขา… ทำได้เพียงแค่สร้างรอยเท่าครึ่งฝ่ามืออยู่บนตัวผนังเท่านั้น!
โดยไม่ที่ต้องสำรวจให้แน่ชัด เจียงอี้ก็พอกะเกณฑ์ได้ว่าสายแร่ศักดิ์สิทธิ์สายนี้มีขนาดที่กว้างใหญ่มาก บางทีมันอาจจะทอดยาวไปไกลกว่าหมื่นกิโลเมตรเลยด้วยซ้ำ
แต่ถ้าเขาต้องขุดด้วยความเร็วเพียงเท่านั้น บางทีเขาอาจจะขุดได้หนึ่งกิโลเมตรภายในสามปี? หากเขาโชคดีอาจจะพอเจอศิลาสวรรค์บ้าง แต่ถ้าไม่ ความพยายามทั้งหมดก็จะสูญเปล่า!
“ผลการทดลองทั้งหมดว่าอย่างไรบ้าง?” เจียงอี้เอ่ยถามขณะหันไปมองแม่ทัพกู่
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายก็ถอนหายใจออกมาและกล่าวตอบตามความจริง
“จากการทดลองทั้งหมด หินผลึกเหล่านี้แข็งแกร่งทนทานเกินไปขอรับ—แม้แต่ศาสตราวุธศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่อาจทำอะไรมันได้!”
ฟึ่บ!
ทันใดนั้น เจียงอี้ก็ทะยานไปทางหินผลึกและถ่ายเทแก่นแท้พลังลงไปในดาบมังกรเพลิงจากนั้นก็ฟันออกไปสุดแรง
เป้ง! เป้ง! เป้ง!
เสียงโลหะกระทบกันดังกังวานอยู่ในถ้ำ วินาทีต่อมาดาบมังกรเพลิงก็ถูกผลักกระเด็นและทำให้บริเวณนิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือของเจียงอี้ได้รับบาดเจ็บ ถึงอย่างนั้นผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยังคงเป็นเช่นเดิม
เขาเก็บดาบมังกรเพลิงกลับไป จากนั้นก็หันไปกล่าวกับแม่ทัพกู่อีกครั้ง
“ทางจักรวรรดิมังกรเพลิงเองก็ครอบครองสายแร่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกัน แต่พวกเขาใช้วิธีการใดในการขุดศิลาสวรรค์ขึ้นมา? หรือว่าพวกเขาจะพึงพาพลังของบรรพบุรุษเฒ่าผู้นั้น?”
“เรื่องนี้พวกเราเองก็ไม่แน่ใจ…”
แม่ทัพกู่ส่ายหัวด้วยความจนใจ จากนั้นยายเฒ่าก็เอ่ยขึ้นมาแทน
“ท่านอุปราช แน่นอนว่าจักรวรรดิมังกรเวหาย่อมมีวิธีแน่ แต่มันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะเปิดเผยความลับสุดยอดเช่นนั้นออกมา”
“นั่นก็จริง”
แต่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ความคิดสายหนึ่งก็แล่นผ่านเข้ามาในหัวของขา
“นอกเหนือจากจักรวรรดิแล้ว เป็นไปได้ไหมว่าไม่เคยมีอาณาจักรใดเคยพบสายแร่ศักดิ์สิทธิ์มาก่อน? ดังนั้นวิธีการขุดที่ถูกต้องจึงไม่ถูกค้นพบ?”
“ไม่ใช่เช่นนั้น”
ยายเฒ่าส่ายหน้าพลางเอ่ยอธิบาย “ในความเป็นจริง ทุกอาณาจักรล้วนแต่เคยค้นพบสายแร่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแค่พวกมันมีขนาดเล็กมากจนน่าสมเพชและมีศิลาสวรรค์อยู่เพียงไม่กี่ก้อนเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงใช้วิธีการที่เรียบง่ายที่สุด นั่นก็คือการใช้กลุ่มจอมยุทธที่ใช้สิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ขุดมันขึ้นมาโดยตรง…”
“ให้ข้าลองดูอีกรอบ!”
เจียงอี้แสยะยิ้มและเริ่มโคจรแก่นแท้พลังอีกครั้ง แต่คราวนี้เขากลับรีบเค้นแก่นแท้พลังสีแดงเพลิงจากดาวดวงแรกภายในตันเทียนออกมาแทน
เขาก็บีบอัดมันไปที่ฝ่ามือจากนั้นก็ใช้ออกด้วยฝ่ามือระเบิดแก่นแท้และกระแทกไปที่กำแพงโดยตรง!
ตู้มมมม!
กำแพงหินผลึกสั้นสะเทือนยิ่งกว่าสองครั้งแรกมากนัก แต่ในขณะเดียวกันร่างของเจียงอี้ก็ถูกแรงกระแทกซัดกระเด็นออกมาหลายสิบเมตร
อย่างไรก็ตาม สีหน้าของทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็เผยให้เห็นความตกตะลึงสุดขีด เพราะคราวนี้ร่องรอยที่เจียงอี้ฝากเอาไว้บนกำแพงกลับมีขนาดใหญ่เทียบเท่ากับใบหน้าของมนุษย์เลยทีเดียว!
“หืม?”
เมื่อชายหนุ่มตั้งหลักได้ ใบหน้าของเขาก็ปรากฏความประหลาดใจไม่แพ้กัน นี่การโจมตีโดยอาศัยแก่นแท้พลังของเขาทรงพลังยิ่งกว่าการใช้สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์เลยหรือ?
แก่นแท้พลังสีแดงเพลิงมีอานุภาพสูงกว่าแก่นแท้พลังทั่วไป? หรือว่ามันจะมีความสามารถพิเศษอย่างอื่นที่ข้ายังไม่ล่วงรู้? เพื่อทดลองให้แน่ใจ เจียงอี้ได้ลองใช้แก่นแท้พลังสีดำกระแทกใส่กำแพงดู แต่เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์ของมันด้อยกว่าก่อนหน้านี้มากนัก ครั้งนี้มันทิ้งไว้เพียงรอยขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือเท่านั้น
ทันใดนั้นแววตาของเขาก็หม่นแสงลง แม้ว่าเขาจะพิสูจน์ได้ว่าแก่นแท้พลังสีแดงเพลิงที่ได้รับจากดาวดวงแรกภายในตันเทียนจะทรงพลังมากกว่า แต่ความเร็วในการขุดระดับนี้ก็ยังนับว่าช้าไปอยู่ดี เขามีเวลาจำกัดและจำเป็นที่จะต้องปิดด่านฝึกตน ดังนั้นเขาจะเสียเวลาเช่นนี้ไม่ได้
หรือว่าข้าควรจะไปสอบถามท่านเจ้าสำนักหรือไม่ก็จักรพรรดินีดี?
แต่ความจริงแล้ว เจียงอี้มีความคิดเอนเอียงไปทางจักรพรรดินีสัตว์อสูรมากกว่า
เหตุผลที่พลังงานฟ้าดินภายในแท่นลอยฟ้าหนาแน่นกว่าโลกภายนอกก็อาจจะเป็นเพราะสายแร่ศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เพียงแต่อาจจะด้อยกว่าของที่นี่ก็เท่านั้น
หากว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรทรงพลังพอที่จะสร้างแท่นลอยฟ้า ณ ที่แห่งนั้น เช่นนั้นนางก็สมควรมีวิธีการขุดสายแร่ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกต้อง
ได้เวลากลับแล้ว!
เมื่อเจียงอี้ตัดสินใจได้ เขาก็ส่งสัญญาณบอกยายเฒ่าว่าเขาต้องการที่จะออกไปด้านนอก ในเวลาต่อมา เขาก็ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายและกลับมาถึงพระราชวังในที่สุด
เมื่อมาถึง เขาก็พูดคุยกับซูรั่วเสวี่ยทันที เขาตัดสินใจว่าหลังจากที่เสร็จสิ้นพิธีขึ้นครองราชย์ของซูรั่วเสวี่ย เขาจะมุ่งหน้ากลับไปยังสำนักจิตอสูร จากนั้นค่อยเดินทางต่อไปยังยอดเขาเทพธิดา
“เจียงอี้!”
ขณะที่เจียงอี้กำลังจะเตรียมตัวกลับไปยังสายแร่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อบ่มเพาะพลัง ซูรั่วเสวี่ยก็ตะโกนเรียกเขา ทันใดนั้นแหวนมิติบนนิ้วของนางก็ส่องแสง จากนั้นกล่องหยกจำนวนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในมือของนาง และนางก็ส่งพวกมันให้กับเขา
“ข้ามีศิลาสวรรค์อยู่ห้าก้อน นี่คือจำนวนทั้งหมดที่ตระกูลซูครอบครองในตอนนี้ และมันยังรวมไปถึงศิลาสวรรค์สองก้อนที่เจ้ามอบให้ข้าก่อนหน้านี้ด้วย รับไปสิ!”
“ข้าจะรับมันได้อย่างไร?”
แน่นอนว่าเจียงอี้ย่อมปฏิเสธทันที “เจ้าควรที่จะเก็บพวกมันไว้ใช้เองจะดีกว่า แม้ว่าข้าจะต้องการศิลาสวรรค์ในตอนนี้ แต่ข้าก็ไม่สามารถรับไว้ได้ เจ้าใช้มันเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตัวเองเสียเถิด”
“ฮิฮิ!”
ซูรั่วเสวี่ยหัวเราะออกมาเล็กน้อยและกล่าวต่อ
“ข้ามีเรื่องนับร้อยนับพันที่จะต้องจัดการ เจ้าคิดหรือว่าข้าจะมีเวลาได้ฝึกฝน? อีกอย่าง อนาคตของอาณาจักรต้าเซี่ยในอีกสามปีต่อจากนี้ยังอยู่ในมือเจ้า ดังนั้นการมอบให้เจ้าย่อมมีประโยชน์ยิ่งกว่า…”
“…”
เมื่อรู้ว่าไม่สามารถหาคำแก้ตัวที่เหมาะสมได้ เจียงอี้ก็ต้องรับศิลาสวรรค์เหล่านั้นเอาไว้ด้วยความไม่เต็มใจ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปสวมกอดซูรั่วเสวี่ยและกล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน
“ข้าจะกลับไปบ่มเพาะพลังในสายแร่ศักดิ์สิทธิ์และจะใช้เวลาอีกสองอาทิตย์ที่เหลือในการดูดซับศิลาสวรรค์สักสองสามก้อน หากว่ามีเรื่องด่วนอันใด โปรดอย่างลังเลที่จะส่งคนมาแจ้งข่าวให้ข้ารู้ ตกลงไหม?”
“อืม!”
ซูรั่วเสวี่ยยิ้มออกมาด้วยความอบอุ่นจากนั้นก็จุ้บไปที่แก้มของเจียงอี้และกล่าว
“เจ้าไม่ต้องห่วงทางนี้นะ ข้าจะดูแลเสี่ยวนู๋และเสี่ยวเฟยให้เป็นอย่างดี”
ร่างของเจียงอี้ชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นความอบอุ่นที่ไม่เคยได้รับมาก่อนก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของเขา เขามองไปยังร่างอันผอมบางของหญิงสาวตรงหน้าอยู่ชั่วครู่ จากนั้นค่อยขอตัวออกมา
หลังจากที่แยกกับซูรั่วเสวี่ยแล้ว เจียงอี้ก็ไปแจ้งข่าวแก่เจียงเสี่ยวนู๋กับเสี่ยวเฟย จากนั้นก็ขอให้ยายเฒ่าพาไปยังสายแร่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อบ่มเพาะพลัง
เมื่อมาถึง เขาก็ขอให้แม่ทัพกู่ช่วยจัดเตรียมองครักษ์ให้สองสามคนเพื่อคอยปกป้องเขาในช่วงการเข้าบำเพ็ญ เวลาต่อมา เขาก็นำศิลาสวรรค์ขึ้นมาและเริ่มดูดซับมัน
แก่นแท้พลังสีดำของเจียงอี้ได้เข้าโอบล้อมศิลาสวรรค์และลำเลียงพลังงานเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นก็นำทางมันไปสู่ดวงดาวทั้งเก้าที่อยู่ภายในตันเทียนซึ่งทำให้พวกมันส่องแสงออกมา
แม้กระทั่งดาวดวงแรกที่แปรสภาพไปแล้วก็ยังดูดซับพลังงานจากศิลาสวรรค์อย่างบ้าคลั่งราวกับต้องการที่จะหล่อเลี้ยงแก่นแท้พลังสีแดงเพลิงให้ทรงพลังยิ่งขึ้น ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง แต่มันก็เล็กน้อยมาก
อย่างไรก็ตามเจียงอี้หาได้สนใจเรื่องนั้นไม่และยังคงดูดซับพลังงานฟ้าดินจากศิลาสวรรค์ต่อไป คราวนี้ความเร็วในการดูดซับของเขานั้นรวดเร็วกว่าครั้งก่อนมาก เขาใช้เวลาเพียงแค่สี่วันในการกลืนกินพลังทั้งหมดจากศิลาสวรรค์ก้อนนั้น
ดาวดวงที่สองภายในตันเทียนนั้นบ่มเพาะได้ยากกว่าดวงแรกถึงสองเท่า ดังนั้นมันจึงต้องการทรัพยากรที่มากขึ้น ตามการคาดการณ์ของเจียงอี้ หากต้องการที่จะแปรสภาพมัน เขาจะต้องใช้ศิลาสวรรค์ราวๆเจ็ดก้อนเลยทีเดียว!
เวลาไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดเจียงอี้ก็ดูดซับศิลาสวรรค์ไปสามก้อนแล้ว และในวันเดียวกันแม่ทัพกู่ก็เข้ามาหาเขาเพื่อทำการแจ้งข่าว
“ท่านอุปราช วันนี้เป็นวันขึ้นครองราชย์ขององค์ราชินีขอรับ ทางอาณาจักรอื่นๆต่างก็ส่งทูตมาเป็นตัวแทน องค์ราชินีให้ข้ารีบมาแจ้งข่าวเมื่อท่านออกจากการปิดด่าน ดูเหมือนว่าจะมีใครบางคนที่กำลังสร้างความลำบากใจให้องค์ราชินี ดังนั้นพระองค์จึงอยากให้ท่านช่วยไป ‘ต้อนรับ’ พวกเขาหน่อยได้หรือไม่ขอรับ?”
“พวกมันกล้า?”
คิ้วของเจียงอี้ขมวดเข้าหากันพร้อมกับประกายสังหารที่แวบผ่านดวงตา ทันใดนั้นเขาก็ยืนขึ้นและกล่าว
“ไปกันเถอะ ข้าอยากจะรู้นักว่าใครกันที่มันกล้าสร้างปัญหาในวันนี้… หากมันไม่รู้ดีชั่ว ข้าจะทำให้พวกเขาต้องคลานออกจากเมืองนี้เยี่ยงสุนัข!”