เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 334 ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร?
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 334 ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร?
บทที่ 334 ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร?
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
ในส่วนลึกของป่าอเวจี เงาดำเก้าร่างกำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงและทิ้งไว้เพียงภาพติดตา ในขณะเดียวกัน ใบหน้าของคนเหล่านั้นก็เผยให้เห็นความกังวลและดูร้อนรนอย่างมาก
“ประมุขน้อย ตรงนี้มีร่องรอยบางอย่างขอรับ!”
หนึ่งในนั้นรีบตะโกนขึ้นและทำให้คนที่เหลือต่างก็รีบไปรวมตัวกัน ตรงพื้นที่บริเวณนั้นปรากฏร่องรอยการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับสัตว์อสูร
เมื่อคนทั้งกลุ่มเดินสำรวจต่อไปได้อีกเล็กน้อย ไม่นานนักหนึ่งในนั้นก็พบอีกเบาะแสหนึ่งและรีบตะโกนแจ้งข่าว
“ประมุขน้อย! ท่านมาดูตรงนี้ก่อน ข้าพบรอยเท้าขนาดยักษ์และยังมีลักษณะคล้ายกับรอยเท้าของสัตว์อสูรเถาอู้ของนายน้อยอี้ด้วยขอรับ!”
“อืม ใกล้เคียงมาก”
เมื่อได้พบเบาะแสสำคัญแล้ว สีหน้าของคนทั้งกลุ่มก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา จ้านอู๋ซวงที่เป็นผู้นำกลุ่มเองก็ทั้งดีใจและร้อนรนในเวลาเดียวกัน จากนั้นเขาก็เอ่ยขึ้น
“รีบตามไป!”
ในขณะที่วิ่งไปตามทาง พวกเขาก็ยังพบเห็นซากของสัตว์อสูรจำนวนหนึ่งที่ถูกสังหาร เมื่อกลุ่มของจ้านอู๋ซวงเข้าไปสำรวจใกล้ๆ
พวกเขาก็พบว่าดวงตาของสัตว์อสูรเหล่านั้นยังคงเบิกกว้างราวกับว่ากำลังหวาดกลัวบางสิ่งบางอย่างก่อนที่จะตาย ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจว่ามันจะต้องเป็นฝีมือของเจียงอี้อย่างแน่นอน
นอกเหนือจากเจตจำนงสังหารแล้ว แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดก็ยังไม่อาจทำให้สัตว์อสูรตายโดยมีสภาพเช่นนี้ได้ เห็นได้ชัดเลยว่ามันจะต้องถูกกลิ่นอายของเจตจำนงสังหารสะกดข่มและตายลงด้วยสภาวะหวาดกลัวสุดขีด
กลุ่มคนเดินหน้าต่อ แต่ไม่นานนักร่างของพวกเขาก็ต้องหยุดชะงักอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันสีหน้าของจ้านอู๋ซวงก็แปรเปลี่ยนเป็นซีดขาว แม้ว่าสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของพวกเขาจะเป็นเพียงกลุ่มหมอกสีขาว แต่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะทำให้ทุกคนรู้สึกสิ้นหวังทันที
“มันจบแล้ว…”
หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวพึมพำพลางถอนหายใจ จากนั้นก็กล่าวต่อ
“นายน้อยอี้ได้ผ่านเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์… เนิ่นนานมาแล้ว เคยมียอดฝีมือขอบเขตจินกังของอาณาจักรต้าเซี่ยได้ย่างกรายเข้าไปในนั้น และไม่เคยได้กลับออกมาอีกเลย!”
ไม่มีใครในกลุ่มกล้าที่จะเข้าไปใกล้เพราะพวกเขากลัวว่าจะไม่ได้กลับออกมาอีกตลอดกาล
ฟึ่บ!
แต่จู่ๆ จ้านอู๋ซวงก็เกิดคลั่งขึ้นมาและทะยานไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูงสุด แต่โชคดีที่ผู้เชี่ยวชาญตระกูลจ้านซึ่งอยู่ข้างกายเขามีการตอบสนองที่รวดเร็วพอและคว้าตัวเขาไว้ได้ทัน
“ปล่อยข้า!”
ใบหน้าอันหล่อเหลาของจ้านอู๋ซวงในตอนนี้ไม่เหลือแม้กระทั่งความสุขุมเยือกเย็นเหมือนเช่นเคย ร่างของเขาดิ้นไปมาพร้อมกับตะโกนอย่างไม่หยุดหย่อน
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หากว่าเจียงอี้เป็นอะไรไป ข้าจะกลับไปสู้หน้าซูรั่วเสวี่ยได้ยังไง? ไหนจะน้องเสี่ยวนู๋อีก? หากเจ้ายังเคารพข้าในฐานะประมุขน้อย เช่นนั้นก็รีบปล่อยข้าซะ!”
ปัก!
แต่ในวินาทีต่อมา ฝ่ามือของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดก็กระแทกไปที่ท้ายทอยของจ้านอู๋ซวงและทำให้เขาสลบไป
ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นส่งร่างของจ้านอู๋ซวงให้กับคนที่เหลือพร้อมกับกล่าว
“พวกเจ้าทั้งหมดจงพาประมุขน้อยกลับไปก่อน อย่าได้ย้อนกลับไปยังอาณาจักรต้าเซี่ยและให้มุ่งหน้าไปยังอาณาจักรเสินหวู่โดยตรง”
“หากว่าประมุขน้อยเกิดคลั่งขึ้นมาอีก ก็ทำให้เขาสลบซะ! มีความเป็นไปได้สูงที่หยุนลู่จะเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์ มิฉะนั้นนายน้อยอี้คงจะไม่เข้าไปแน่!”
ฟึ่บ!
หลังจากที่กล่าวจบ คนผู้นั้นก็กลายเป็นลำแสงและพุ่งเข้าไปในกลุ่มหมอกอย่างรวดเร็ว แต่ก่อนที่จะหายลับไป เขาก็ได้ทิ้งข้อความสุดท้ายไว้
“เมื่อประมุขน้อยฟื้นขึ้นมา ช่วยบอกเขาด้วยว่าข้ากำลังออกตามหานายน้อยอี้… หากว่าข้าไม่กลับมา ก็บอกให้เขาช่วยดูแลลูกหลานของข้าด้วย!”
“ผู้อาวุโสเฮ่อ!”
คนทั้งกลุ่มต่างก็ตะโกนออกมาด้วยความปวดใจ แต่น่าเสียดายที่ร่างของชายชราได้หายเข้าไปในม่านหมอกเสียแล้ว
“โธ่เว้ย! พวกเราเองก็รีบไปกันเถอะ!”
พวกเขาทั้งหมดมองหน้ากันและรู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่พวกเขาจะสามารถทำได้นอกจากการล่าถอย
การไล่ล่าหยุนลู่ในคราวนี้ได้สร้างความเสียหายต่อตระกูลจ้านและตระกูลเฉียนไม่น้อย ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดสามคนได้กลายเป็นกองกระดูกไปแล้วโดยฝีมือของผู้อาวุโสลู่แห่งอาณาจักรเทียนเซวี่ยน
และในตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญจุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยวอีกหนึ่งคนก็ได้ก้าวเข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์แล้วซึ่งไม่มีทางรู้เลยว่าเขาจะสามารถหวนกลับมาได้หรือไม่
……
“อะไรนะ? ลูกพี่เข้าไปในพื้นที่ต้องห้ามแล้ว?!”
หลังจากที่ได้รับแจ้งข่าวนี้ ร่างกายที่เต็มไปด้วยชั้นไขมันของเฉียนว่านก้วนก็สั่นสะท้านอย่างไม่อาจที่จะควบคุมได้
เขาไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความโกรธและไม่มีความคิดที่จะส่งใครเข้าไปในนั้น เพราะรู้ดีว่ามันไร้ประโยชน์ ดวงตาของเขาเผยแววครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่จากนั้นก็ออกคำสั่ง
“ไปแจ้งเรื่องนี้ให้อาจารย์ซูทราบก่อน แต่อย่าได้บอกน้องเสี่ยวนู๋ ขอให้อาจารย์ซูดูแลจิ้งจอกน้อยให้ดีและบอกให้นางขอความช่วยเหลือไปยังจักรพรรดินีสัตว์อสูร!”
คนธรรมดารู้เพียงแค่ว่าป่าอเวจีนั้นอันตรายมาก แต่มีเพียงแค่ชนชั้นสูงอย่างพวกตระกูลใหญ่เท่านั้นที่รู้ว่าแท้จริงแล้วมันน่าสะพรึงกลัวว่าที่ผู้อื่นรู้นับสิบเท่า
พื้นที่ต้องห้ามแห่งนั้นปรากฏขึ้นเมื่อสามพันปีก่อน มันถูกสร้างโดยยอดฝีมือขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดผู้หนึ่งซึ่งเคยมีศักดิ์เป็นถึงองค์ชายแห่งอาณาจักรเทียนเซวี่ยนในยุคนั้น
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น หลังจากที่เขาพ่ายแพ้ในสงครามชิงบัลลังก์ เขาก็หนีเข้าไปซ่อนตัวในส่วนลึกของป่าอเวจี แต่ไม่น่าเชื่อว่าโชคชะตาจะพลิกผัน ยอดฝีมือผู้นั้นได้บังเอิญกำราบราชันสัตว์อสูรระดับสี่ได้ตัวหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้นอาณาจักรเทียนเซวี่ยนยังมีชนชั้นจินกังอยู่อีกคนหนึ่งซึ่งคอยประจำการอยู่ในวังหลวง ทำให้ยอดฝีมือขอบเขตจินกังเชื้อสายราชวงศ์ผู้นั้นไม่ได้คิดเรื่องการแก้แค้นทันทีและมุ่งเน้นไปที่การศึกษาเวทมนตร์กับค่ายกลอย่างจริงจัง
คนผู้นี้มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง หลังจากที่เก็บตัวฝึกฝนมาตลอดสามสิบปี กำลังรบโดยรวมของเขาก็ได้บรรลุจุดสูงสุดขอบเขตจินกังแล้ว
จากนั้นเขาก็นำราชันสัตว์อสูรที่สยบได้ก่อนหน้านี้บุกไปยังเมืองเซวี่ยนเทียนและลงมือปลิดชีพพี่ชายของตนซึ่งในตอนนั้นได้ขึ้นเป็นราชาต่อหน้าต่อตาผู้พิทักษ์ขอบเขตจินกังของอาณาจักรเทียนเซวี่ยน!
แต่หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้สถาปนาตัวเองเป็นกษัตริย์แต่อย่างใด แต่เลือกที่จะกลับไปยังป่าอเวจีเพื่ออุทิศเวลาทั้งหมดในการศึกษาเวทมนตร์รวมไปถึงการตีความรูปแบบเต๋าเพื่อทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุน(ราชันสวรรค์)
เนื่องจากคนผู้นี้มีอิทธิฤทธิ์อันกล้าแกร่งและยังเข้าใจศาสตร์เวทย์โบราณที่หลายคนในอาณาจักรเทียนเซวี่ยนทำได้แค่ฝันถึง ดังนั้นเหล่าลูกหลานจากตระกูลใหญ่ทั้งหลายต่างก็พยายามที่จะขอเป็นศิษย์เขา
มีหลายคนที่ยอมเสี่ยงชีวิตบุกเข้าไปในป่าอเวจีโดยตรงซึ่งเป็นการกระทำที่รบกวนยอดฝีมือเชื้อสายราชวงศ์คนนั้นอยู่ไม่น้อย
จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวและได้สร้างพื้นที่ต้องห้ามขึ้นมาเพื่อประกาศให้โลกได้รับรู้ว่าหากยังดึงดันที่จะเข้ามาอีก ก็จะมีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่!
แน่นอนว่าหลังจากนั้นก็ยังมีผู้ที่กล้าลองดีอยู่ พวกเขาเชื่อมั่นในพลังของเขาเองและต้องการที่จะฝากตัวเป็นศิษย์ของยอดฝีมือผู้นั้นอย่างแรงกล้า แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่เคยได้กลับออกมาอีกเลย
ในตอนนั้น ยอดฝีมือขอบเขตจินกังของอาณาจักรต้าเซี่ยเองก็หยิ่งผยองและต้องการที่จะทดสอบฝีมือ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องหายตัวไปตลอดกาล
คนส่วนใหญ่คาดเดาว่ายอดฝีมือผู้เร้นกายอยู่ในส่วนลึกของป่าอเวจีผู้นั้นอาจจะทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุนและกลายเป็นผู้ปกครองระดับสูงสุดของทวีปในที่สุด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนาน แต่เขาก็ไม่เคยย่างกรายออกมาจากพื้นที่ต้องห้ามที่ตนสร้างไว้อีกเลย ไม่มีใครทราบว่าเขาทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุนสำเร็จหรือไม่ เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาเรื่อยมา…
ผ่านไปสามพันปี!
แม้ว่ายอดฝีมือผู้นั้นจะทะลวงสู่ระดับราชันสวรรค์ได้ แต่เขาก็คงจะสูญสิ้นอายุไขไปแล้ว อย่างไรก็ตามค่ายกลสังหารและอาคมยับยั้งที่เขาสร้างไว้ก็ยังคงอยู่ จวบจนปัจจุบันมันก็ยังคงเป็นสถานที่ที่อันตรายเป็นอันดับต้นๆของทวีป แม้กระทั่งชนชั้นจินกังก็ยังไม่กล้าที่จะเหยียบเข้าไปในที่แห่งนั้น
เฉียนว่านก้วนตระหนักได้ว่ามันคือสถานการณ์เร่งด่วน เขารีบขอให้ซูรั่วเสวี่ยขอความช่วยเหลือจากจักรพรรดินีสัตว์อสูรผ่านทางจิ้งจอกน้อย เพราะมีเพียงแค่ตัวตนอันยิ่งใหญ่อย่างนางเท่านั้นถึงจะช่วยเหลือเจียงอี้ได้!
ม้าเร็วรีบเดินทางไปแจ้งข่าวแก่ซูรั่วเสวี่ยในอีกสองวันต่อมา ในเวลานั้นร่างของนางแทบจะทรุดลงกับพื้น แต่นางก็รีบตั้งสติและขอให้ใครบางคนแยกตัวเสี่ยวนู๋ออกจากจิ้งจอกน้อย จากนั้นนางก็ไปคุยกับจิ้งจอกน้อยเป็นการส่วนตัว
เมื่อเสี่ยวเฟยรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น มันก็ทำให้นางตื่นตระหนกไม่แพ้กัน หลังจากนั้นนางก็รีบเดินทางไปหาราชันสัตว์อสูรทั้งสิบแปดตนและเดินทางกลับหุบเขาสามหมื่นลี้ทันที
“ยายเถา!”
หลังจากที่ทำการคืนจิ้งจอกน้อยให้กับเหล่าราชันสัตว์อสูรอย่างปลอดภัย ซูรั่วเสวี่ยก็แสร้งกลับมาสงบนิ่งและเอ่ยกับยายเฒ่า
“ท่านส่งใครสักคนไปลอบทำหน้ากากหนังมนุษย์โดยใช้โครงหน้าของเจียงอี้เป็นต้นแบบ จากนั้นก็หาคนมาแสดงเป็นเขาและขอให้คนผู้นั้นปรากฏตัวออกมาเป็นครั้งคราว มิฉะนั้นหากอาณาจักรเทียนเซวี่ยนรู้ว่าเจียงอี้หายไป พวกเขาจะต้องรู้แน่ว่าเขาคือผู้ที่ลอบสังหารหยุนลู่!”
เมื่อยายเฒ่าได้ยินเช่นนั้น นางก็รีบไปเตรียมการทันที เมื่อเห็นว่านางจากไปแล้ว ซูรั่วเสวี่ยที่ยืนอยู่บนกำแพงอย่างเดียวดายก็เริ่มร่ำไห้โดยไม่รู้ตัว หลังจากนั้นนางก็หลับตาลงและพึมพำกับตัวเอง
“เจียงอี้ หากว่าเจ้าไม่กลับมา… ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร?”