เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 335 หุบเขาลี้ลับ
บทที่ 335 หุบเขาลี้ลับ
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
“เอ่อ….”
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่แล้วก่อนที่เจียงอี้จะฟื้นสติขึ้นมาหลังจากฟื้นขึ้นมาแล้ว เจียงอี้รู้สึกว่าหัวของเขาปวดจนแทบแหลกสลาย มันปวดมากจนเขาไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว เขาอ่อนแอมากจนไม่สามารถลืมตาได้ เขาเริ่มอยู่ในอาการวิงเวียนและผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
จิตใต้สำนึกของเขารู้อย่างชัดเจนว่า….เขายังมีชีวิตอยู่เขาค่อนข้างมีความสงสัยว่าทำไมเขาจึงยังมีชีวิตอยู่หลังจากที่ตกหน้าผาที่สูงเช่นนี้ก่อนที่เขาจะหมดสติไป
ขณะที่ยังคงมีความรู้สึกวิงเวียนเขาก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้หัวของเขาไม่ได้เจ็บปวดเหมือนคราวก่อนแล้ว และถึงแม้ว่าเขายังคงอ่อนแอ แต่เขาก็ยังมีพละกำลังบ้าง
เจียงอี้ค่อยๆเปิดตาอย่างช้าๆแต่ก็ถูกแสงสีขาวด้านนอกแยงตาจนต้องหลับตาไปอีกรอบเขาค่อยๆปรับดวงตาให้เข้ากับมันก่อนที่จะมองไปรอบๆ หลังจากที่ได้เห็นมัน เขารู้สึกราวกับว่าเขาอยู่ในความฝัน
จริงๆแล้วเขาอยู่ในพระราชวังพระราชวังแห่งนี้ดูไม่ได้หรูหราแต่มันมีขนาดใหญ่มากและทำด้วยหยกขาว ความยาวนั้นอย่างน้อยสามกิโลมเตรและความสูงอีกหลายสิบเมตร ภายในนั้นดูว่างเปล่า นอกจากไข่มุกบนผนังที่กำลังส่องสว่างแล้วก็ไม่มีอะไรอีก
“นี่มันไม่ใช่!”
เจียงอี้มองลงไปและเห็นซากกระดูก,อาวุธและชุดเกราะมากมาย มีโครงกระดูกหลายซากอยู่ในหลุมนั้นและเห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เสียชีวิตไปหลายปีแล้ว
“นี่…”
เจียงอี้กระพริบตาและเห็นว่าพระราชวังแห่งนี้ถูกปิดตายอย่างสมบูรณ์ซึ่งทำให้เขารู้สึกสับสนยิ่งขึ้นเขาตกลงมาจากหน้าผาและมาลงเอยอยู่ในพระราชวังที่ถูกผนึกตาย? เป็นไปได้ไหมว่ามีบางคนที่ทรงพลังอยู่ใต้หน้าผาใช้พลังย้ายเขามาอยู่ที่นี่?
ในเมื่อเขาไม่สามารถเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้เขาจึงไม่มานั่งคิดถึงมันอีก
เจียงอี้มีความสุขมากที่เขารู้ว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่เดี๋ยวเขาก็คงจะสามารถหาทางออกจากที่นี่ได้ เช่นเดียวกับตอนที่อยู่ในสุสานราชันสวรรค์หมื่นมังกร เขายังเหลือหินวิญญาณเพลิงอยู่อีกหกก้อนและเขาไม่เชื่อว่าตัวเองจะไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้
เขาหลับตาและพักครู่หนึ่งและทนต่อความเจ็บปวดที่มาจากอวัยภะภายในของเขา เขาหยิบยาขึ้นมากินเพื่อพักฟื้นและนั่งสมาธิเพื่อพักฟื้นร่างกายตัวเอง
“เอ๊ะ?พลังงานฟ้าดินที่นี่นั้นแน่นหนามาก มันเปรียบได้กับวังจักรพรรดินีสัตว์อสูรที่ยอดเขาเทพธิดาเลย!”
หลังจากหมุนเวียนศาสตร์นิรนามเจียงอี้ก็สังเหตเห็นสิ่งที่ผิดปกติอื่นๆเกี่ยวกับราชวังแห่งนี้ เนื่องจากเขาสัมผัสได้ถึงพลังงานฟ้าดินที่เข้มข้นในสายแร่ศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว เขาจึงไม่ได้สนใจมันเท่าไหร่นักและมุ่งเป้าไปยังการฟื้นฟูของเขา
สี่ชั่วโมงต่อมาเขาหยุดฟื้นฟูร่างกายและลืมตาขึ้น เขาลุกขึ้นยืนและขยับกล้ามเนื้อและเส้นประสาท เขาสังเกตว่าร่างกายเขาฟื้นขึ้นมาเจ็ดถึงแปดส่วนแล้ว เขาจึงไม่มีอารมณ์ที่จะมานั่งฟื้นฟูตัวเองอีกต่อไปและเริ่มออกสำรวจสถานที่
ปัง!
เขาใช้ฝ่ามือทั้งสองกระแทกผนังอย่างแรงขณะที่ผนังมีปฏิกิริยาตอบสนองด้วยแสงสีขาวตามที่เขาคาดไว้ กำแพงของพระราชวังแห่งนี้มีอาคมยับยั้งที่ทรงพลังอยู่ มิฉะนั้นคนเหล่านี้คงจะไม่ติดกับดักมรณะนี่
เมื่อเขานึกขึ้นได้ถึงเหล่าคนที่ตายไปเจียงอี้ก็รีบวิ่งไปหาพวกเขาและหยิบดาบของหนึ่งในโครงกระดูก เขาสำรวจมันแล้วพยักหน้า “สิ่งประดิษฐ์สวรรค์ ไม่เลว ไม่เลว!”
เขารวบรวมอาวุธทั้งหมดและรู้สึกประหลาดใจที่พบว่ามีสิ่งประดิษฐ์สวรรค์กว่าสิบชิ้น,สิ่งประดิษฐ์ระดับวิญญาณยี่สิบชิ้นและแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณสองวง เขาไม่มีเวลาที่จะขัดเกลาพวกมันจึงโยนพวกมันเขาไปในไข่มุกวิญญาณเพลิง
“ลองดาบมังกรเพลิงของข้าดู!”
เจียงอี้สำรวจสถานที่ทั้งหมดและสำรวจให้แน่ใจแล้วว่าไม่มีกลไกใดๆจากนั้นเขาก็เตรียมที่จะทำลายกำแพงและออกจากที่นี่ เขาหยิบดาบมังกรเพลิงขึ้นมาและหมุนเวียนแก่นแท้พลังของเขา และผ่าไปยังกำแพงด้านหน้าเขาอย่างจริงจัง
บุฟฟ!
ตู้ม!
ผนังสว่างขึ้นด้วยแสงที่เปล่งประกายในทันใดมันสว่างมากจนเจียงอี้ไม่สามารถลืมตาได้ เมื่อมังกรเพลิงทั้งสองชนเข้ากับกำแพง ทั่วทั้งราชวังก็สั่นสะเทือนเล็กน้อย กลิ่นอายตระหง่านออกมาจากภายในกำแพงของราชวังและส่งเจียงอี้ลอยกลับไปหลายสิบเมตร ทำให้อาการบาดเจ็บที่เพิ่งฟื้นตัวของเขากลับมาบอบช้ำอีกครั้ง
“อย่างที่ข้าคิดไว้มันไม่ได้ผล!”
เจียงอี้พ่นเลือดสดในลำคอของเขาออกมาและนั่งขัดสมาธิเพื่อฟื้นฟูพลังอีกครั้งคราวนี้เขาบ่มเพาะพลังสี่ชั่วโมงก่อนที่เขาจะแบ่งอาหารและน้ำเปล่าออกมากิน จากนั้นก็บ่มเพาะอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนที่เขาจะยืนขึ้นมาอีกครั้งและไปยืนอยู่หน้ากำแพงฝั่งหนึ่ง จากนั้นเขาก็ตะโกนออกมาว่า “ศาสตร์แปรผันดวงจิต!”
บุฟ!
ร่างของเขาหายลับไปอย่างไร้ร่องรอยในวินาทีต่อมา เขาก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือกำแพงข้างหน้า กำแพงสว่างจ้าไปด้วยแสงสีขาวอีกครั้งและดีดร่างเจียงอี้กระเด็นกลับไป
“การย้ายร่างไม่ได้ผล?”
เจียงอี้ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และเดินไปข้างกำแพงและใช้ตัวเลือกสุดท้ายของเขา….หินวิญญาณเพลิง!
ฟึ่บ!ฟั่บ!
เหมือนที่เจียงอี้คาดหินวิญญาณเพลงิสามารถเผาไหม้กำแพงราชวังไปอย่างรวดเร็ว เวลาผ่านไปเพียงชั่วอึดใจก็เผาไหม้กำแพงจนเป็นหลุมลึกสามเมตรที่มีขนาดใหญ่เท่าหัวได้เลย!
“มันได้ผล!”
เมื่อเขาเห็นแสงสีขาวจากด้านนอกและได้สูดอากาศบริสุทธิ์ดวงตาของเจียงอี้ก็เปล่งประกายด้วยความประหลาดใจ ตราบใดที่เขาออกไปได้ เขาก็จะสามารถหาทางออกได้ เขามองผ่านรูเล็กๆและเห็นว่าด้านนอกเป็นหุบเขาและเขายังมองเห็นบ่อน้ำ
“เริ่มต่อดีกว่า!”
รูนี้เล็กเกินไปและเจียงอี้ไม่สามารถมุดผ่านออกไปได้มีหินวิญญาณเพลิงเหลืออยู่เพียงห้าก้อนเท่านั้น แต่เขาไม่มีทางเลือกนอกจากใช้อีกก้อนหนึ่งเพื่อเผากำแพงต่อไป
“เอาล่ะ!”
ในไม่ช้าเจียงอี้ก็ขยายช่องให้ใหญ่พอที่จะให้ตัวเขาพอที่จะออกไปได้เขาไม่อยากสูญเสียหินวิญญาณเพลิงไปโดยเปล่าประโยชน์อีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงค่อยๆยัดตัวเองออกไป
“ฮู่ฮ่า!”
ทันทีที่เจียงอี้แทรกตัวออกมาจากรูนั่นได้เขาก็นั่งลงบนพื้นและสูดลมหายใจอย่างดัง แม้ว่าเขาจะเคยหาทางออกมาจากสุสานราชันสวรรค์หมื่นมังกรมาแล้ว แต่คราวนี้เขาก็ยังรู้สึกว่าตัวเองรอดพ้นจากภัยพิบัติมาได้เสียที
หลังจากพักอยู่ครู่หนึ่งเขาก็มองทิวทัศน์โดยรอบ สถานที่นี้เป็นหุบเขาจริงๆ แต่มันเป็นหุบเขาที่ไม่มีทางออกใดๆ มันถูกล้อมรอบด้วยหน้าผาและหมอกสีขาวด้านบนนั้นหนาจนเขามองไม่เห็นท้องฟ้า!
หุบเขานี้มีต้นไม้,ดอกไม้ และพืชพรรณ และมันยังมีบ่อน้ำ และอาคารแห่งเดียวในหุบเขานั้นก็คือราชวังที่เจียงอี้ออกมา ราชวังแห่งนี้สูงห้าชั้นและสูงผ่านหมู่เมฆขึ้นไป ซึ่งจริงๆแล้วเจียงอี้อยู่ที่ชั้นแรกก่อนหน้านี้
“หยุนลู่อยู่ไหนกัน?”
เจียงอี้เริ่มสงสัยหยุนลู่ลงมาก่อนหน้าเขาและหากเขาไม่ตาย เช่นนั้นหยุนลู่ก็คงจะไม่ตายเช่นกัน ทำไมก่อนหน้านี้เขาไม่ได้อยู่ในราชวัง? เขาไม่ได้อยู่ในหุบเขานี้ด้วยใช่ไหม?
หุบเขานี้ไม่ได้ใหญ่มากเจียงอี้สำรวจสถานที่อย่างรวดเร็วโดยไม่เห็นทางออกใดๆ เขาพยายามออกมาจากกำแพงหยกขาวแต่ก็ตระหนักได้ว่ามีอาคมยับยั้งที่ไม่สามารถทำลายได้ และไม่มีทางปีนขึ้นไปได้ด้วย
“เหลืองใหญ่!”
เจียงอี้มองไปที่ราชวังห้าชั้นที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางหุบเขาหากเขาต้องการออกจากพื้นที่ต้องห้ามแห่งนี้ เขาต้องหาทางขึ้นไปยังชั้นบนสุดของราชวังนี้ให้ได้
ปัญหาก็คือราชวังแห่งนี้สร้างขึ้นมาด้วยหยกขาวและแต่ละชั้นมีความสูงหลายร้อยเมตร พื้นผิวของผนังกำแพงนั้นเรียบราวกับกระจกและไม่มีทางหยิบยืมพลังได้ เขาจะปีนขึ้นไปที่ชั้นบนสุดที่สูงหลายร้อยเมตรได้อย่างไรกัน?
“เฮ้อข้าจะลองค้นหากลไกในหุบเขานี้ก่อนแล้วกัน หากมีกลไกใดที่สามารถนำไปสู่ทางออกได้ก็คงจะดี”
เจียงอี้เดินไปรอบๆหุบเขาอีกครั้งแต่คราวนี้เขาค้นห้ามันอย่างละเอียดและไม่พลาดแม้แต่ซอกมุมเดียว เขาพยายามดึงแม้แต่ต้นไม้ต้นเล็กๆด้วยซ้ำ
ปัง!
เจียงอี้ได้ทำการค้นหามากว่าครึ่งวันและทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงจากภายในราชวังเล็กน้อยเขานั้นตื่นตัวราวกับสิงโตผงาดพร้อมขนที่ลุกตั้งขึ้น ดาบมังกรเพลิงปรากฏขึ้นในมือของเขาทันทีขณะที่กลิ่นอายสังหารของเขาไหลออกมาขณะที่เขารีบตรงไปที่ราชวัง
“มีคนอยู่ที่นั่นแน่นอน!”
เจียงอี้เห็นร่างจากรูด้านนอกจิตสังหารของเขาเพิ่มขึ้นเข้าผ่านรูเข้าไปยังราชวังขณะที่เขาเตรียมที่จะปราบทุกคนก่อนที่จะเข้าไปฆ่าพวกเขา
“นายน้อยอี้ได้โปรดอย่าลงมือ ข้าน้อยเป็นผู้อาวุโสตระกูลจ้าน, เฮ่อเถี่ยซู่!”
เสียงที่น่าประหลาดใจดังกังวานออกมาจากในราชวังเจียงอี้ถอนกลิ่นอายของเขาออกทันที เขารู้จักคนผู้นี้และคนผู้นี้ก็เป็นผู้อาวุโสตระกูลจ้าน เขาตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ “ผู้อาวุโสเฮ่อ ออกมาเร็ว มาหาทางออกไปจากสถานที่ที่น่าอัปยศนี่กันเถอะ!”
…