เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 342 หากว่าแน่จริงก็มาฆ่าข้าสิ!
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 342 หากว่าแน่จริงก็มาฆ่าข้าสิ!
บทที่ 342 หากว่าแน่จริงก็มาฆ่าข้าสิ!
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
ตามที่ผู้อาวุโสเฮ่อเคยกล่าวไว้ ในร่างของหยุนลู่มีสายเลือดของตระกูลหยุนไหลเวียนอยู่ซึ่งอาจจะทำให้เขาได้รับสิทธิพิเศษภายในพื้นที่ต้องห้ามจอมเวทย์แห่งนี้
แม้ว่าก่อนหน้านี้เจียงอี้จะคาดเดาไว้แล้วว่าหยุนลู่อาจจะยังไม่ตาย แต่เขาก็ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะมาถึงชั้นที่สามและลงมือได้ถึงขนาดนี้
มันดูเหมือนว่า… ศาสตร์เวทย์ที่ทรงพลังจะถูกปลดปล่อยออกมาโดยเขา หรือว่าเขาจะสามารถควบคุมอาคมยับยั้งได้?
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร ตั้งแต่ที่เจียงอี้พบว่าหยุนลู่ยังมีชีวิตอยู่ เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายหนีไปได้ง่ายๆอย่างเด็ดขาด เขานำแจกันเขียวพิสุทธิ์มาไว้ด้านหน้าพร้อมกับปล่อยเฮ่อเถี่ยซู่ออกมา จากนั้นก็กล่าว
“ผู้อาวุโสเฮ่อ หยุนลู่อยู่ด้านหน้า ท่านรีบตามไปเร็วเข้า!”
ความเร็วของเฮ่อเถี่ยซู่นั้นรวดเร็วกว่าเขามาก อีกทั้งพื้นที่แถวนี้ยังสลับซับซ้อน เจียงอี้กลัวว่าตัวเองจะไล่ตามหยุนลู่ไม่ทัน ดังนั้นเขาจึงต้องพึ่งพาพลังของผู้อาวุโสเฮ่อ
แม้ว่าตัวเขาจะสามารถเคลื่อนย้ายในพริบตาได้ แต่เป็นเพราะสถานที่แห่งนี้น่ากลัวเกินไป หากเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา เขาอาจจะตายได้ทันที
“หยุนลู่?”
ดวงตาของเฮ่อเถี่ยซู่เผยให้เห็นร่องรอยจิตสังหาร ทันใดนั้น เขาก็ทะยานไปด้านหน้าด้วยความเร็วทั้งหมดอย่างไม่ลังเล ในขณะเดียวกันเจียงอี้ก็เรียกเถาอู้ออกมาและไล่ตามไปเช่นกัน
วู้ววว! วู้ววว!
กระแสลมพัดผ่านใบไม้จึงทำให้เกิดเสียงที่ฟังดูน่าสยดสยอง ตลอดทาง เจียงอี้ก็หันไปมองรอบด้านเป็นครั้งคราวและรู้สึกถึงความผิดปกติ แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะหยุดอยู่กับที่และยังคงไล่ล่าหยุนลู่ต่อไป
“โฮกกก!”
“บรู๊วววว!”
“แกว๊ก! แกว๊ก!”
แต่ทันใดนั้นเอง เหตุการณ์ประหลาดก็ได้เกิดขึ้น จู่ๆสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วนจากทุกสารทิศต่างก็มุ่งหน้ามาหาพวกเขา แม้กระทั่งผู้อาวุโสเฮ่อที่เข้าใกล้หยุนลู่มากแล้วก็ต้องหยุดชะงัก ทางด้านของเจียงอี้เองก็มีสัตว์อสูรสองสามตัวกำลังพุ่งมาหาเขา
“แย่แล้วนายน้อยอี้! ไม่นึกเลยว่าหยุนลู่จะสามารถควบคุมอาคมของชั้นนี้ได้ เกรงว่าสัตว์อสูรทั้งหมดที่อยู่ที่นี่คงจะกลายเป็นเครื่องมือของเขาไปแล้ว ท่านต้องระวังตัวด้วย!”
ผู้อาวุโสเฮ่อรีบกล่าวเตือน ในขณะเดียวกันสีหน้าของเจียงอี้ก็บิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด ทันใดนั้นเขาก็รีบเก็บเถาอู้กลับไปพร้อมกับระเบิดกลิ่นอายสังหารออกมาทันที
“ท่านเองก็ระวังตัวด้วย ข้าจะกำจัดสัตว์อสูรเหล่านี้เอง!”
สัตว์อสูรจำนวนมากกรูกันเข้ามา ในกลุ่มของพวกมันมีหลายตัวที่โดดเด่นเป็นพิเศษ อย่างอสรพิษยักษ์ที่มีร่างกายสีเหลืองทอง, ตัวประหลาดที่มีร่างกายเป็นกวางแต่มีหัวเป็นจระเข้, คางคกที่สามารถพ่นศรน้ำแข็งออกจากปากและอีกมากมาย อย่างไรก็ตามพวกมันส่วนมากก็เป็นเพียงสัตว์อสูรระดับสามและมีระดับสองขั้นสูงสุดปะปนอยู่เล็กน้อย
สัตว์อสูรเหล่านี้ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อเจียงอี้แต่อย่างใด เพราะเจตจำนงสังหารของเขาในตอนนี้สามารถสยบได้แม้กระทั่งผู้เชี่ยวชาญจุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยว ดังนั้นจึงไม่ต้องกล่าวถึงเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรที่มีสติปัญญาด้อยกว่า
แต่ในทางกลับกัน หากชนชั้นราชันสัตว์อสูรปรากฏตัวออกมา เขาเองก็จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เจตจำนงสังหารเพื่อสะกดข่ม, เพลิงโลกาใช้สำหรับป้องกัน, ดาบมังกรเพลิงใช้สำหรับโจมตีและศาสตร์แปรผันดวงจิตใช้เมื่อยามหลบหนี
เจียงอี้ได้พลิกแพลงรูปแบบพลังทั้งหมดที่เขามีและสามารถกำจัดฝูงสัตว์อสูรได้อย่างไม่ยากเย็น อย่างไรก็ตาม พวกมันมีจำนวนมากเกินไปและแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะฆ่าได้หมด
หลังจากที่เจียงอี้ทำการเข่นฆ่าไปชั่วครู่ เขาก็ตัดสินใจใช้ศาสตร์แปรผันดวงจิตเพื่อไปยังฝั่งของผู้อาวุโสเฮ่อและเก็บอีกฝ่ายเข้าไปในแจกันเขียวพิสุทธิ์
จากนั้นก็เร่งเร้าพลังของเจตจำนงสังหารสุดขีดเพื่อตรึงร่างของเหล่าสัตว์อสูรให้อยู่กับที่พร้อมก็ทะยานไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูงสุด
โชคดีที่เขาตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เพราะฝูงสัตว์อสูรยังคงหลั่งไหลออกมาราวกับน้ำหลาก แม้ว่าเขาจะวิ่งมาไกลถึงหลายสิบกิโลเมตรแต่ก็ยังพบว่าจำนวนของพวกมันแทบจะไม่ลดลงเลย
หากต้องต่อสู้ขึ้นมาจริงๆ เกรงว่าเขาอาจจะต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะสังหารพวกมันได้ทั้งหมด!
ดูเหมือนว่าหยุนลู่จะสามารถควบคุมอาคมในชั้นที่สามได้และยังบงการเหล่าสัตว์อสูรได้อีก…
เมื่อทบทวนคำพูดที่ผู้อาวุโสเฮ่อเอ่ยขึ้นมาก่อนหน้านี้ หัวใจของเจียงอี้ก็แทบจะหล่นไปอยู่ตาตุ่ม หากว่าในชั้นนี้มีตัวประหลาดอย่างราชันสัตว์อสูรอยู่และหยุนลู่สามารถควบคุมมันได้ เกรงว่าทั้งตัวเขาและผู้อาวุโสเฮ่อคงจะต้องถูกฝังอยู่ที่นี่เป็นแน่
“โฮกกกก!”
มังกรเพลิงทั้งสองตัวได้กวาดผ่านทั่งทั้งบริเวณ ระหว่างทางมันก็ได้สังหารขุย[1] ไปถึงสองตัว
“ตาย!”
ร่างของเจียงอี้ถึงกับสั่นด้วยความกลัว สัตว์อสูรที่สามารถโจมตีทางวิญญาณได้นั้นเป็นประเภทที่น่าสะพรึงกลัวที่สุด ดังนั้นเขาจึงต้องสังหารมันทันทีที่พบเจอ
แกว๊ก!
ในวินาทีต่อมาวิหคยักษ์ตัวหนึ่งก็บินโฉบลงมาจากบนท้องฟ้า ปีกของมันกางออกและเปล่งแสงสีดำพร้อมกับขนโลหะจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกยิงลงมาราวกับห่าฝนโดยกินพื้นที่ถึงหนึ่งกิโลเมตรและยังมีเจียงอี้เป็นเป้าศูนย์กลาง
“บัดซบ! เพลิงโลกา!”
เจียงอี้สบถด้วยความตื่นตระหนก เขาไม่กล้ารอช้าและรีบใช้เพลิงโลกาปกคลุมร่างกายของตัวเองไว้ ในขณะที่ขนโลหะกำลังพุ่งเข้ามาใกล้ มันก็ถูกแผดจนกลายเป็นเถ้าถ่านไปก่อนที่จะทันได้เข้าใกล้ตัวเขา
ฟึ่บ!
ในขณะเดียวกันเมื่อวิหคยักษ์ตัวนั้นเข้ามาใกล้มากพอ มันก็ถูกสะกดข่มโดยเจตจำนงสังหารของเจียงอี้ เดิมทีเขาต้องการที่จะสังหารมัน แต่เมื่อกวาดสายตาไปมองรอบๆ เขาก็พบว่ามีสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อยที่ตกตายไปภายใต้ขนโลหะของวิหคตนนี้
เมื่อเห็นภาพดังกล่าว จู่ๆเจียงอี้ก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา ในเวลาเดียวกันใบหน้าของเขาก็เผยให้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
ทันใดนั้นเขาก็หยุดความคิดที่จะสังหารวิหคยักษ์และวิ่งหนีไปทางฝั่งตรงข้าม ในทางเดียวกัน เมื่อวิหคยักษ์รับรู้ว่ากลิ่นอายที่สามารถสะกดข่มมันได้หายไปแล้ว มันก็ได้เงยหน้าขึ้นและจ้องมองไปยังทิศทางที่เจียงอี้วิ่งหนีไปด้วยความโกรธเกรี้ยว
ทันใดนั้นมันก็กระพือปีกอันใหญ่โตและไล่ตามเขาทันที แน่นอนว่ามันก็ยังคงปล่อยขนโลหะออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อที่จะสังหารมนุษย์ผู้นี้ให้สิ้น แต่มันกลับไม่รู้เลยว่าตัวเองนั้นได้เผลอสังหารเผ่าพันธุ์เดียวกันไปมากมายเท่าไหร่
“ดีมาก! ปล่อยออกมาอีกสิ!”
เจียงอี้วิ่งไปหนีด้วยความเร็วสูง ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ลืมหันกลับไปยั่วยุวิหคยักษ์ เขารู้สึกขอบคุณมันจริงๆที่ช่วยแบ่งเบาภาระของเขาไปได้มากเลยทีเดียว
ในขณะที่วิ่งวุ่นอยู่ครึ่งค่อนวัน เจียงอี้ก็ไม่สามารถนับได้แล้วว่ามีสัตว์อสูรกี่ตัวกันแน่ที่ตกตายไป อย่างไรก็ตามการที่ต้องปลดปล่อยเจตจำนงสังหารเป็นเวลานานและยังต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาทำให้ร่างกายของเขาในขณะนี้รู้สึกเหนื่อยล้ามาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามองเห็นคลื่นสัตว์อสูรลูกที่สองที่กำลังยกโขยงกันเข้ามา ขาทั้งสองข้างของเขาถึงกับอ่อนแรงเลยทีเดียว
หากยังไม่รีบออกจากป่าบัดซบนี่โดยเร็ว มีหวังเขาได้เหนื่อยล้าจนตายแน่!
ฟึ่บ!
หกชั่วโมงต่อมา… ตอนนี้ร่างกายของเจียงอี้แทบจะพังทลายได้ทุกเมื่อ แต่ครู่ต่อมาเขาก็พบเห็นแสงสว่างที่ด้านหน้า หลังจากที่เดินทางมาถึง เขาก็ตระหนักได้ว่าภูมิประเทศตรงหน้าได้เปลี่ยนไปแล้ว
มันคือหุบเขาขนาดยักษ์ แต่สิ่งที่ทำให้เขามีความสุขก็คือ เมื่อเขามองไปที่นั่น เขาก็สามารถมองเห็นจุดๆหนึ่งที่กำลังส่องสว่าง หากเพ่งมองให้ดีๆก็จะพบว่ามันคือค่ายกลเคลื่อนย้าย!
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
แต่ทันใดนั้นเอง เสียงหัวเราะที่เต็มไปด้วยความหยิ่งผยองก็ดังขึ้น อย่างไรก็ตาม มันแปลกมากที่ไม่สามารถหาต้นตอของเสียงได้ราวกับจู่ๆมันก็ดังออกมาจากอากาศอันว่างเปล่า
และเสียงนี้เองที่ทำให้ความยินดีบนใบหน้าของเจียงอี้จางหายไปและถูกแทนที่ด้วยจิตสังหารอันเข้มข้น
แน่นอนว่ามันจะเป็นเสียงของใครไปไม่ได้นอกเสียงจากองค์ชายหยุนลู่แห่งอาณาจักรเทียนเซวี่ยน!
“เจียงอี้! ทางออกของชั้นสามอยู่ตรงหน้าของเจ้าแล้วนี่ไง แต่มันก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าแล้วว่าจะสามารถไปถึงได้หรือไม่! เอาล่ะ องค์ชายผู้นี้จะไปรอเจ้าอยู่ที่ชั้นสี่ หากว่าเจ้าแน่จริงก็รีบตามมาสังหารข้าเสีย!”
[1] ขุย – สัตว์ในตำนานของจีนที่มีลักษณะคล้ายกับวัวแต่มีขาข้างเดียว