เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 359 ใบว่านน้ำ
บทที่ 359 ใบว่านน้ำ
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
“มันไม่เข้าท่าเลย!”
เจียงอี้โยนอาวุธทั้งหมดไว้ข้างๆและเปิดกล่องหยกทั้งหมดและดูอย่างแน่ใจว่ามันมีเพียงสมุนไพรวิญญาณและไม่มีศิลาสวรรค์ จากนั้นเขาก็พึมพำด้วยความสงสัย “จอมเวทย์ทรงพลังเช่นนี้และเขาไม่มีหินสวรรค์จริงๆ? มันจะเป็นไปได้ไหมว่าเขาจะสกัดกลั่นมันไปหมดแล้ว?”
“เลิกหาซะ!”
เสียงที่ฟังดูเก่าแก่ดังก้องออกมาซึ่งทำให้เจียงอี้ตกใจเสียงของจอมเวทย์สะท้อนออกมาอย่างรวดเร็ว
“ชายชราผู้นี้ไม่มีศิลาสวรรค์ใดๆอยู่ที่นี่ทั้งนั้นการที่จะเดินไปสู่เส้นทางเต๋าวรยุทธ รากฐานของบุคคลนั้นๆมีความสำคัญมาก และมันแน่นอนอยู่แล้วว่าข้าผู้นี้สกัดกลั่นศิลาสวรรค์มากมายเกินไป ข้าจึงไม่สามารถทะลวงสู่ขั้นสุดท้ายได้ ไม่มีทางลัดในการไปสู่เต๋าวรยุทธ”
“แม้ว่าพลังงานของศิลาสวรรค์จบริสุทธิ์เพียงใดและจะไม่ปล่อยผลข้างเคียงใดๆกับร่างกายมนุษย์ แต่ความแข็งแกร่งของเจ้าไม่ได้เป็นไปตามขั้นตอน และร่างกายของเจ้าไม่ได้ถูกฟูมฟักจากพลังงานฟ้าดิน มันจะไม่สามารถทนต่อแก่นแท้พลังที่ทรงพลังเช่นนี้ได้และอาจถึงขั้นลมปราณแตกซ่าน มันจะมีผลกระทบกับความแข็งแกร่งของเจ้าต่ำมากและแม้แต่ตอนที่เจ้าก้าวหน้าแล้ว”
“ข้าเข้าใจแล้ว!”
เจียงอี้พยักหน้าแต่เขาก็ไม่ได้ใส่ใจมันจริงๆ
เขาต้องการมันเพื่อเพิ่มพลังเพื่อป้องกันตัวเองอย่างเร่งด่วนสัญญาสามปีนั้นเหมือนใบมีดที่กำลังแขวนอยู่เหนือศีรษะของเขาซึ่งทำให้เขากดดันจนแทบจะหายใจไม่ออก เขาอาจได้รับความช่วยเหลือจากราชันสัตว์อสูรขั้นสูงสุดก็จริง แต่ความแข็งแกร่งของบรรพบุรุษเฒ่าจากจักรวรรดิมังกรเวหานั้นไม่มีทางอ่อนแอกว่าราชันสัตว์อสูรตัวนี้แน่นอน นอกจากนี้ยังมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังจากอีกห้าอาณาจักรอีก
ในภายภาคหน้า?เขาไม่ได้คิดไปไกลขนาดนั้น ตราบใดที่เขาสามารถอยู่รอดได้ มันก็คงไม่สายเกินไปที่จะหาวิธีแก้ไขร่างกายของเขาหรอก
“จิตวิญญาณและกายเนื้อของเจ้าค่อนข้างอ่อนแอหากเจ้าจะใช้สมุนไพรวิญญาณที่นี่ เช่นนั้นเจ้าก็ควรใช้สมุนไพรมังกรทินกรในกล่องที่สามและใบว่านน้ำในกล่องที่หก เจ้าไม่ควรแตะต้องสมุนไพรวิญญาณตัวอื่นเพราะความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ยังไม่เหมาะสมที่จะสกัดกลั่นพวกมัน ส่วนศาสตราวุธ….เจ้าไม่ควรพึ่งพามัน ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงนั้นจะไม่พึ่งพาอาวุธและสิ่งประดิษฐ์เนื่องจากรูปแบบเต๋าเป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของเราแล้ว”
หลังจากที่จอมเวทย์กล่าวจบประโยคเขาก็เงียบอีกครั้ง เจียงอี้โค้งคำนับด้วยการป้องกำปั้นเพื่อขอบคุณและมองไปที่กล่องหยกกล่องที่สามและหก
“ร่างกาย!จิตวิญญาณ!”
ร่างกายของเจียงอี้นั้นอ่อนแอมากมันเป็นเหตุผลว่าถึงแม้ว่าพลังของเขาจะอยู่ในขั้นที่ห้าของขอบเขตเสินโหยวขั้นที่ห้าแล้วแต่ทำไมความเร็วในการตอบโต้ของเขายังอยู่ในขั้นแรก เจียงอี้ยังคงมีความรู้เกี่ยวกับดวงจิตวิญญาณน้อยนิดนัก แต่เมื่อจอมเวทย์กล่าวออกมาแล้ว เขาก็จะทำการสกัดกลั่นมันในทันที
เขาเปิดกล่องหยกกล่องที่สามและเห็นสมุนไพรวิญญาณซึ่งดูเหมือนมังกรเขียวตัวเล็กๆมันเปล่งแสงระยิบระยับและเห็นได้ชัดว่านี่เป็นวัตถุที่พิเศษ
มีตำราเล่มเล็กๆอยู่ในกล่องหยกและหลังจากที่เจียงอี้อ่านมันอย่างรวดเร็วเขาก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย ตำรานี้กล่าวถึงจุดสำคัญในการสกัดกลั่นสมุนไพรมังกรทินกรและมันมีรายละเอียดอยู่ ทำไมจอมเวทย์จึงได้ปฏิบัติต่อเขาดีขนาดนี้ในการเตรียมสิ่งต่างๆไว้เช่นนี้กัน?
“องค์ชาย?”
มีชื่อเล็กๆอยู่ที่ส่วนท้ายของตำราเล่มนี้ซึ่งเจียงอี้ก็เข้าใจบางสิ่งได้อย่างรวดเร็วเห็นได้ชัดว่าสิ่งของสิ่งนี้นั้นเขาได้รับมาจากบุคคลที่น่าทึ่งจากอาณาจักรเทียนเซวี่ยนแต่จอมเวทย์ไม่ได้สกัดกลั่นมัน ตำราเล็กเล่มนี้จะต้องถูกเขียนโดยองค์ชายแห่งเทียนเซวี่ยนในเวลานั้น? เป้าหมายของเขาจะต้องเป็นการประจบจอมเวทย์แหงๆ
“สมุนไพรมังกรทินกรนี้มีความยุ่งยากในการสกัดกลั่นมากเกินไปและมันใช้เวลาอย่างน้อยก็สองอาทิตย์แหนะ เดี๋ยวข้าค่อยจัดการทีหลังก็แล้วกัน”
เจียงอี้เก็บมันไว้ในกล่องหยกก่อนที่จะเก็บเข้าไข่มุกวิญญาณเพลิงจากนั้นเขาก็เปิดกล่องหยกกล่องที่หกและเห็นว่ามันเป็นใบไม้ที่มีจิตวิญญาณและความบริสุทธิ์ซึ่งมองดูเหมือนหยกสีขาว มันปล่อยกลิ่นหอมจางๆและรู้สึกหลงใหลด้วยการสะบัดเพียงครั้งเดียว
กล่องหยกนี้ก็มีตำราเล่มเล็กเช่นกันแต่ลายมือดูแตกต่างและอาจเป็นของกำนัลที่นำมาให้จอมเวทย์จากผู้ที่มีพรสวรรค์ผู้อื่น เจียงอี้อ่านมันอย่างรวดเร็วและเขาตัดสินใจที่จะขัดเกลาใบว่านน้ำนี่ก่อน สมุนไพรวิญญาณนี้สามารถขัดเกลาได้อย่างง่ายดายและไม่มีอะไรที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษ มันใช้เวลาสกัดกลั่นเพียงหนึ่งวัน
เจียงอี้นั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับจิตวิญญาณเท่าไหร่นัก
มีประโยชน์อะไรบ้างถ้าหากจิตวิญญาณแข็งแกร่ง?เจียงอี้ไม่เข้าใจมัน แต่เมื่อจอมเวทย์กล่าวเช่นนั้น เขาก็ย่อมไม่ขัดอยู่แล้ว เขาหยิบในว่านน้ำออกมาเบาๆแล้วนั่งขัดสมาธิเพื่อเริ่มสกัดกลั่นสรรพคุณของมัน
เขาใช้แก่นแท้พลังห่อหุ้มใบว่านน้ำเอาไว้และใบว่านน้ำก็เล็กลงเรื่อยๆและพลังงานที่สดชื่นก็เข้าสู่ร่างกายของเขา มันไม่จำเป็นต้องควบคุมพวกมันเพราะมันไหลไปสู่จิตวิญญาณเขาโดยอัตโนมัติและไหลเวียนไปรอบๆดวงจิต
“เยี่ยมยอด!”
เจียงอี้รู้สึกสบายขึ้นตั้งแต่หัวจรดเท้าและรูขุมขนในร่างกายของเขาก็เรียบเนียนขึ้นมันเป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ขณะที่เขาดื่มด่ำกับความรู้สึกนี้ เขาก็จดจ่อกับการใช้แก่นแท้พลังของเขาในการสกัดกลั่นใบว่านน้ำเช่นกัน
หนึ่งวันผ่านไปใบว่านน้ำก็หมดไป และดวงจิตวิญญาณของเจียงอี้ก็ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังงานสีเขียวนี้ พลังงานถูกดูดกลืนโดยจิตวิญญาณอย่างช้าๆและด้วยการใช้วิสัยทัศน์มองดู เขาก็เห็นว่าดวงจิตวิญญาณค่อยๆขยายใหญ่ขึ้น และมันเป็นความรู้สึกที่พิศวงมาก
“เอาล่ะ!”
หลังจากตรวจสอบร่างกายทั้งหมดของเขาและมั่นใจแล้วว่าร่างกายไม่มีปัญหาใดๆเจียงอี้ก็ลุกขึ้นและดูสิ่งประดิษฐ์โดยรอบ ในที่สุดสายตาเขาก็หยุดอยู่ที่ดาบยาวและคันธนูและเสื้อกันฝนที่งดงาม
ดาบยาวและคันธนูนั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะคันธนูที่มีความงดงามเปล่งออกมารอบๆซึ่งมันดูงดงามกว่าปกติ!
จอมมเวทย์บอกเขาว่าไม่ต้องพึ่งพาอาวุธและสิ่งประดิษฐ์แต่เขาก็ไม่ได้บอกเจียงอี้ว่าไม่ให้แตะต้องอาวุธที่นี่เสียหน่อย จริงๆแล้วเขาจะนำสิ่งพวกนี้ออกไปเป็นของขวัญ
คันธนูและดาบยาวนี้เหมาะแก่ซูรั่วเสวี่ยส่วนเสื้อกันฝนนี้ไม่ใช่สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่มันก็คงเป็นสิ่งประดิษฐ์ป้องกันระดับสวรรค์และเขาอยากจะมอบมันให้แก่เจียงเสี่ยวนู๋ เด็กสาวตัวน้อยนั่นไม่มีทางป้องกันตัวเองและเสื้อกันฝนนี้จะเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ปกป้องนางจากการโจมตีได้ดี
หลังจากเก็บสิ่งประดิษฐ์ทั้งสามนี้แล้วเจียงอี้ก็สุ่มเลือดสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์มาบ้าง จอมเวทย์สั่งไม่ให้เขาแตะต้องสมุนไพรใดๆ ดังนั้นเขาจึงออกไปโดยใช้อาคมยับยั้งเพื่อที่จะย้ายกลับไปยังชั้นสี่
หลังจากพักฟื้นมาทั้งวันอาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสเฮ่อก็ดีขึ้นมาก แต่ขาซ้ายของเขายังคงร้าวอยู่ ซึ่งคงยังไม่น่าหายดีหากไม่พักฟื้นอีกสักสองสามวัน เมื่อผู้อาวุโสเฮ่อเห็นเจียงอี้กลับมา เขาก็ยิ้มแย้มในทันที เขายิ้มและยืนขึ้นพร้อมพูดว่า “นายน้อยอี้ ตาเฒ่าเฮ่อผู้นี้ดีขึ้นมาบ้างแล้ว เราออกไปกันก่อนเถอะ ไม่รู้ว่าด้านนอกนั่นเกิดอะไรขึ้นบ้าง ราชินีซูรั่วเสวี่ย,ท่านประมุขน้อยและนายน้อยเฉียนคงจะเป็นกังวลมากแน่ๆ”
“อื้มเช่นนั้นก็ดี! หลังจากออกไปแล้ว เราจะขี่เจ้าเหลืองใหญ่ไปและท่านสามารถพักฟื้นไปพร้อมๆกันได้” เจียงอี้พึมพำอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า เขามองไปที่ทะเลแล้วตะโกนว่า “ราชันอสูร ออกมา!”
ปัง!
น้ำทะเลหมุนวนไปมาและมีคลื่นซัดมาอย่างรวดเร็วในทันทีที่สัตว์อสูรยักษ์โผล่ขึ้นมาแจกันสีเขียวปรากฏขึ้นในมือของเจียงอี้ขณะที่เขาพูดเบาๆ “ราชันอสูร แม้ว่าพื้นที่ในแจกันนี้อาจจะไม่ใหญ่นัก แต่ในเมื่อเจ้าไม่อยากเดินเตร่ไปมา เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะซ่อนอยู่ในแจกันนี่ หากไม่มีอะไรหน้าสิ่วหน้าขวาน ข้าจะไม่เรียกเจ้าออกมา”
ราชันอสูรหมุนวนไปมาในอากาศและพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ“อย่าเรียกราชาผู้นี้ออกมานอกเสียจากว่าเจ้ากำลังจะถูกฆ่าแล้วกัน มันน่าอับอายยิ่งนัก! เข้าใจไหม เจ้าหนู?!”
บุฟ!
แจกันสีเขียวส่องสว่างล้อมรอบอสูรทำให้ร่างของมันหายลับไปจากกลางอากาศ เจียงอี้มองเข้าไปข้างในและเห็นว่าราชันสัตว์อสูรเข้ามาอยู่ในแจกันแล้ว พื้นที่ด้านในนั้นไม่ได้ใหญ่นัดซึ่งร่างของหยาจื้อก็กินพื้นที่ไปกว่าครึ่งแล้ว มันทำทีท่าไม่พอใจก่อนที่จะหลับตาลง
“นายน้อยอี้พื้นที่ภายในแจกันเขียวพิสุทธิ์นั้นมีขนาดเล็ก ดังนั้นโปรดถ่ายแก่นแท้พลังทุกๆเดือน มิฉะนั้นราชันสัตว์อสูรอาจอึดอัดจนตายได้”
ผู้อาวุโสเฮ่อเคยได้ยินเรื่องแจกันเขียวพิสุทธิ์มาก่อนและบอกมันแก่เจียงอี้แต่เจียงอี้ไม่ได้สนใจนัก หยาจื้อนี้ทรงพลังมาก มันคงเกิดปัญหาหากว่ามันอดอาหารไปสามหรือห้าปีใช่ไหม?
“ไปออกไปกันเถอะ!”
เจียงอี้โบกมือของเขาและป้ายในมือก็ส่องสว่างขึ้นแสงสีขาวสองสายโอบล้อมพวกเขาทั้งสองไว้ เมื่อพวกเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาก็ตระหนักได้ว่าพวกเขาอยู่ที่หน้าผาในป่าอเวจี
“พวกเราออกมาได้แล้วในที่สุดพวกเราก็ออกมาได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่!”
เจียงอี้และผู้อาวุโสเฮ่อสบตากันและดวงตาของพวกเขาก็ต่างเต็มไปด้วยความปิติยินดีเจียงอี้หยิบเครื่องรางสัตว์วิญญาณออกมาและเรียกเถาอู้ออกมาก่อนที่เขากับผู้อาวุโสเฮ่อจะขี่มัน ป้ายในมือของเขาสว่างขึ้นขณะที่หมอกสีขาวหายไปโดยอัตโนมัติ เขาตะโกนออกมา “เจ้าเหลืองใหญ่ กลับไปยังเมืองเซี่ยยวี่!”