เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 363 ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือ
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 363 ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือ
บทที่ 363 ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือ
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
แม้ว่าเมืองอิ่นหม่าจะเป็นเพียงเมืองชุมชนแต่ก็มีความรุ่งเรืองเช่นเดียวกับเมืองหลักเล็กๆเพราะมันอยู่ใกล้กับเมืองเซวี่ยนเทียน
ณเวลานี้ก็เป็นช่วงสายๆแล้ว เมืองเล็กๆแห่งนี้มีคนพลุกพล่านและผู้คนมากมาย ชายหนุ่มรูปหล่อผู้มีดาบขนาดใหญ่คาดอยู่ที่เอวของเขาเดินมาจากประตูทิศใต้ของเมืองเล็กๆ และมีคนใช้สูงวัยที่มีผมหงอกเดินตามเขาไป ในการมองเพียงครั้งแรก มันก็ดูเหมือนเป็นนายน้อยหนุ่มจากครอบครัวชั้นสูงที่มาเที่ยวชมเมือง
“ว้าวนายน้อยผู้นั้นช่างน่าดึงดูดใจเสียเหลือเกิน ข้าหลงใหลเขาด้วยการมองเพียงคราเดียว”
“ใช่เจาเห็นสิ่งประดิษฐ์ในมือของเขาไหม? เขาจะต้องเป็นนายน้อยรุ่นเยาว์จากตระกูลที่มีชื่อเสียงมากแน่ๆ”
“อย่าพูดไปแม้แต่คนรับใช้ของเขายังอยู่ในขั้นสูงสุดของขอบเขตจื่อฝู่เลย นายน้อยจากตระกูลเล็กๆจะสามารถจ่ายเบี้ยเลี้ยงไหวได้อย่างไร?”
กลุ่มหญิงสาวในโรงน้ำชาในโรงเตี๊ยม และตามถนนต่างหันไปมองชายหนุ่มผู้นั้นเป็นครั้งคราว ดวงตาของพวกนางเต็มไปด้วยความเร่าร้อนและความปรารถนา บางคนก็พูดถึงเขาอย่างองอาจจึงทำให้เขารู้สึกมีความสุขขึ้นในขณะนี้
สาวๆที่นี่ช่างเร่าร้อนและโผงผางเสียจริง!
เจียงอี้ถูจมูกด้วยความเขินอายหญิงสาวรอบๆเขาแต่งตัวเปิดเนื้อ บางคนก็สวมกระโปรงสั้นเผยให้เห็นเนื้อส่วนหนึ่งของก้น สะโพกของพวกนางส่ายไปมาขณะที่เดินซึ่งเจียงอี้นั้นไม่คุ้นเคยกับสิ่งที่เห็นนัก
“นายน้อยทำตัวสบายๆขอรับ อาณาจักรเทียนเซวี่ยนนั้นเปิดกว้างเสมอ หากสาวคนใดพบผู้ชายที่นางหลงรัก พวกเขาจะได้ห้องพักในโรงเตี๊ยมทันที! นายน้อย ท่านต้องทำตัวปกติ มิฉะนั้นคนอื่นจะสังเกตท่านได้”
ผู้อาวุโสเฮ่อแอบพูดกับเจียงอี้อย่างลับๆส่วนเจียงอี้นั้นก็เขินอายเพราะเขายังบริสุทธิ์อยู่ แม้ว่าเขาจะได้พบสาวสวยมากมายและคนรักของเขาก็เป็นผู้หญิงที่งดงามที่สุดในทวีปนี้ แต่มันก็ทำให้เขารู้สึกกระอักกระอวนเมื่องผู้อาวุโสเฮ่อพามายังถนนเส้นนี้
โชคดีที่เขามีจิตใจที่เข้มแข็งและสามารถสงบสติอารมณ์ของเขาได้ในไม่ช้าเขามองกลับไปยังผู้หญิงเหล่านั้นที่มองเขาอยู่ สายตาเหล่านั้นทำให้เขารู้สึกแปลกใจ มันเป็นเพียงเพราะสิ่งประดิษฐ์ หากเขาพกสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ไว้ด้วย พวกผู้หญิงเหล่านี้ก็อาจจะพุ่งเข้าหาเขาทันที
หลังจากที่ตามผู้อาวุโสเฮ่อมาเจียงอี้ก็เข้าไปยังโรงเตี๊ยมขนาดกลาง เจ้าของโรงเตี๊ยมนั้นเป็นหญิงสาวที่มีเสน่ห์ นางดูดีและมีร่างกายที่ร้อนแรงนัก หน้าอกของนางใหญ่มากจนแทบจะทะลักออกมาจากเสื้อผ้าของนาง ผิวที่ขาวและเนียนนุ่มของนางนั้นน่าเย้ายวนและสามารถชักนำให้ผู้คนหลงผิดได้
“ว่าไงนายน้อยหน้าตาดีผู้นี้ ท่านจะจองโต๊ะหรือห้องกันล่ะ?”
เมื่อหญิงสาวผู้มีเสน่ห์เหลือล้นเห็นเจียงอี้เดินเข้ามาพร้อมผู้อาวุโสเฮ่อนางก็ยิ้มทันทีและต้อนรับพวกเขาด้วยหน้าอกที่เด้งดึ๋ง นางเลื่อนมือข้างหนึ่งไปลูบไล้ที่ไหล่ของเจียงอี้ซึ่งทำให้เจียงอี้หายใจไม่ออกด้วยน้ำหอมฉุนๆของนาง แทนที่จะรู้สึกเหมือนโรงเตี๊ยมแต่เขากลับรู้สึกเหมือนตัวเองเดินเข้ามาในหอนางโรมเสียมากกว่า
“โปรดจองห้องสุขาวดีหมายเลขหนึ่งที่แพงที่สุดทีพวกเรามีจ่าย” ผู้อาวุโสเฮ่อพูดออกมาด้วยน้ำเสียงต่ำ
นัยน์ตาของหญิงผู้นั้นเบิกโพรงนางยิ้มแย้มอย่างสดใสและมองไปที่ผู้อาวุโสเฮ่อ “ห้องสุขาวดีหมายเลขหนึ่ง? ท่านแขกผู้มีเกียรติข้าต้องขออภัยที่จะต้องบอกพวกท่านว่าห้องหมายเลขหนึ่งมีคนจองไปแล้ว ข้าสามารถพาพวกท่านไปยังห้องหมายเลขสามได้หรือไม่?”
“ขอเป็นสองห้องเราจะเอาทั้งห้องหมายเลขสองและหมายเลขสาม” ผู้อาวุโสเฮ่อตอบกลับอย่างไร้อารมณ์
“ตามที่ท่านต้องการ”
หญิงสาวหันกลับไปเรียกพนักงานให้พาผู้อาวุโสเฮ่อและเจียงอี้ขึ้นไปด้านบนเจียงอี้เหลือบไปมองเจ้าของโรงเตี๊ยม แขกทุกคนล้วนแต่หลงเสน่ห์นาง เขาแอบปรบมือให้ตระกูลจ้านในใจ เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวเหล่านี้เก็บข้อมูลได้เป็นอย่างดี คนธรรมดาจะบอกทุกอย่างแก่นางเมื่อพวกเขาร่วมหลับนอนกับนาง
เจียงอี้และผู้อาวุโสเฮ่อขึ้นไปที่ชั้นบนหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในห้อง หนักงานก็พูดขึ้นทันทีว่า “คารวะใต้เท้าทั้งสอง โปรดตามข้ามาขอรับ”
พนักงานผู้นั้นเปิดกลไกที่ซ่อนอยู่ก็มีแสงสีขาวส่องประกายขึ้นมาและเผยประตูลับ ผู้อาวุโสเฮ่อและเจียงอี้เข้าไปยังอุโมงค์ใต้ดินซึ่งมันขยายไปยังลานเล็กๆที่เงียบสงบ
“ข้ารับใช้หลิ่วคารวะผู้อาวุโสเฮ่อและ…นี่คงจะเป็นท่านอุปราช?”
หญิงสาวที่น่าหลงใหลผู้นั้นรออยู่นานพอตัวเมื่อนางคารวะพวกเขาทั้งสอง แตงโมทั้งสองของนางแทบจะหกออกมาขณะที่นางเอนตัวมาด้านหน้า
“ลุกขึ้นเถอะ!”
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสเฮ่อนั้นคุ้นเคยกับทุกสิ่งเป็นอย่างดีเขาโบกมือและพูด “นี่คือท่านอุปราช ที่นี่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่?”
“ไม่เจ้าค่ะ!”
แม่นางหลิ่วพยักหน้าให้เจียงอี้นางยิ้มและทักทายเจียงอี้อีกครั้ง
“ราชินีแม่มดตัดสินใจแล้วและไม่มีผู้ใดจะเปลี่ยนมันได้ และมีคนน้อยมากที่ทราบถึงเรื่องนี้ ข้าได้รับการยืนยันข้อมูลนี้จากนายน้อยสายเลือดนักเวทย์ชั่วร้ายโดยเสียสละความงามของข้า บิดาของนายน้อยหั่วซู่ไม่ทราบว่าองค์หญิงหยุนเฟยนั้นมีตราประทับวิญญาณของลูกเขา และตระกูลหั่วกับราชินีนั้นเป็นญาติกัน คราวนี้ ตระกูลหั่วเองก็จะส่งผู้เชี่ยวชาญมาโจมตีองค์หญิงหยุนเฟย”
“ขอบใจเจ้าต้องทำงานหนักแล้ว!”
ผู้อาวุโสเฮ่อเชื่อคำพูดของนางอย่างสมบูรณ์นางเป็นเด็กกำพร้าที่เติบโตมาในตระกูลจ้านและนางเป็นคนซื่อสัตย์
เจียงอี้พึมพำกับตัวเองครู่หนึ่งจากนั้นเขาก็ถามว่า “เจ้ารวบรวมคนได้เท่าไหร่แล้ว? มีผู้เชี่ยวชาญอยู่กับองค์หญิงหยุนเฟยและองค์ชายหยุนเสียนกี่คน? มีทหารคอยเฝ้าพวกเขาเท่าไหร่? เป็นไปได้ไหมที่เราจะติดต่อกับพวกเขา? ราชินีแม่มดจะส่งคนไปจัดการกับพวกเขาเท่าไหร่?”
แม่นางหลิ่วลดหัวของนางและครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนที่นางจะตอบว่า“เรามีคนไม่มากนัก ข้ารวบรวมผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวได้สิบคนและต่ำกว่าขั้นที่ห้าทั้งหมด และผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจื่อฝู่สามร้อยคน องค์หญิงหยุนเฟยและองค์ชายหยุนเสียนถูกคุมขังอยู่ในตำหนัก และมีผู้เชี่ยวชาญคอยอารักขาพวกเขา แต่เราไว้ใจทั้งสองคนนั้นได้ พวกเขาอยู่ขอบเขตเสินโหยวขั้นที่เจ็ดและแปด”
“อย่างไรก็ตามยังมีทหารยามอีกหนึ่งพันนายที่คอยเฝ้าพวกเขา หัวหน้าคือผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุด คนของเราไม่สามารถแทรกซึมเข้าไปได้เพราะทหารนั้นเฝ้าพวกเขาอย่างใกล้ชิด เพื่อไม่ให้เกิดความสงสัยใดๆ ข้าจึงไม่ได้ลงมือหรือทำอะไรเลย”
“สำหรับ….จำนวนคนที่แน่นอนที่ราชินีแม่มดนั้นส่งมานั้นข้ายังไม่สามารถหาข้อมูลได้ แต่ตามที่คาดการณ์ไว้แล้วน่าจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดประมาณห้าคนและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวกว่าสามสิบคนที่อยู่มากกว่าขั้นที่ห้า ราชินีแม่มดมุ่งมั่นที่จะสังหารพวกเขา นางคงไม่เผยช่องว่างให้ความผิดพลาดใดๆ”
แม่นางหลิ่วมีความสามารถในการทำงานเป็นอย่างมากและตรวจสอบทุกรายละเอียดเจียงอี้พยักหน้าและไม่ขัดจังหวะใดๆ ส่วนผู้อาวุโสเฮ่อนั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึงแล้วถามว่า “เจ้าคิดแผนดีๆออกไหม? หากเราสามารถช่วยพวกเขาได้แล้ว จะมีแผนการหนีใดๆบ้าง?”
“แผนการ….”
แม่นางหลิ่วคิ้วขมวดนางพูดว่า “ข้ามีความคิดที่ไม่มั่นใจนัก ในวันส่งบรรณาการ ข้าจะเบนความสนใจของราชินีแม่มดพร้อมผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจื่อฝู่สามร้อยคนที่จะตรงไปยังตำหนักหยุนฉี องค์ชายหยุนฉีนั้นอายุเพียงเก้าปี บุตรคนสุดท้องของราชินีแม่มด หลังจากการตายของหยุนลู่ นางขอให้องค์ราชาตั้งเขาเป็นจอมพล ไม่จำเป็นต้องพูดก็ดูออกว่านางต้องการให้หยุนฉีเป็นองค์รัชทายาท”
“หากเราโจมตีตำหนักปราชญ์นั่นราชินีแม่มดนั่นจะต้องส่งกองกำลังที่แข็งแกร่งมาช่วยเขา และเมื่อนางทำเช่นนั้น…ข้าจะสั่งให้คนไปสร้างความโกลาหลในเมือง จากนั้นผ้อาวุโสและเสนาบดีสามารถซุ่มอยู่ในตำหนักของหยุนเสียนได้พร้อมผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทั้งสิบ มันก็คงพอช่วยองค์ชายและองค์หญิงได้”
“ส่วนเรื่องทางหนีนั้น…!”
แม่นางหลิ่วหยุดชั่วคราวก่อนที่จะพูดต่อ“ข้าขอให้คนขุดอุโมงค์ใต้ดินไว้มากมายตั้งแต่ท่านมาถึง ท่านคงจะหลอกล่อคนที่ไล่ล่ามาได้ชั่วคราวและหลบหนีออกมาได้อย่างง่ายดาย หากท่านเรียกเถาอู้แล้วออกไปทางเหนือของเมือง แน่นอนว่า…มันคงเกิดปัญหาหากว่าแม่เฒ่าบุปผาสีเงินรับรู้ พลังของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังนั้นน่าเกรงขามเกินไป”
“เท่านี้ก็ดีมากแล้ว!”
เจียงอี้ไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่เขาเข้ามาในตอนนี้เขาตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้ายและโบกมือ “มาลองดูแผนการของแม่นางหลิ่วกัน ท่านสามารถหาสิ่งอื่นให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทั้งสิบทำ แค่ผู้อาวุโสเฮ่อกับข้าเข้าไปยังตำหนักปราชญ์ก็พอ ข้าไม่ต้องการความช่วยเหลือ พวกเขาอ่อนแอเกินไปและจะเป็นภาระเสียเปล่า วางแผนการล่าถอยของพวกเจ้าไว้ให้ดี และรอการสังหารที่จะเริ่มขึ้นในอีกสองวัน!”