เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 366 ลอบเข้าวังหลวงในยามวิกาล
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 366 ลอบเข้าวังหลวงในยามวิกาล
บทที่ 366 ลอบเข้าวังหลวงในยามวิกาล
“ผู้อาวุโสเฮ่อ ท่านกำลังบอกว่าแม่นางหลิ่วทรยศพวกเราตั้งแต่เมื่อสองเดือนก่อน? นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย ช่วงเวลานั้นเรายังไม่ได้สังหารหยุนลู่ด้วยซ้ำ หากว่าแม่นางหลิ่วนำข่าวไปบอกราชินีแม่มด พวกเราจะยังมีโอกาสลอบฆ่าหยุนลู่อีกหรือ?”
“นายน้อยอี้ ท่านอาจจะยังไม่รู้ว่าแม่หนูหลิ่วไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะล่วงรู้ภารกิจนี้ หากว่าพวกเราไม่ได้มาที่นี่ เกรงว่านางคงจะไม่ตระหนักถึงมันด้วยซ้ำ ตระกูลจ้านของเรามีระบบข่าวกรองที่เข้มงวดมาก”
“หากเป็นเช่นนั้น ทำไมท่านถึงกล่าวว่าราชินีแม่มดวางแผนที่จะล่อลวงตระกูลจ้านให้มาติดกับในครั้งนี้?”
“ข้าคิดว่าราชินีแม่มดกำลังสงสัยและต้องการจะหยั่งเชิงมากกว่า ดังนั้นหลังจากที่กำจัดองค์หญิงหยุนเฟยและองค์ชายหยุนเสียน มันก็จะกลายเป็นคำเตือนผ่านแม่หนูหลิ่วสู่ตระกูลจ้านไปโดยปริยาย”
“หากกองทัพผู้เชี่ยวชาญของตระกูลจ้านบุกไปช่วยองค์หญิงหยุนเฟยและองค์ชายหยุนเสียน มันก็จะเป็นข้อพิสูจน์ว่าพวกเราคือผู้ที่ลอบสังหารหยุนลู่”
“ราชินีแม่มดขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าคิดเจ้าแค้น หากว่านางมั่นใจแล้วว่าตระกูลจ้านคือผู้อยู่เบื้องหลังการตายของหยุนลู่ นางจะทำทุกวิถีทางเพื่อลบล้างตระกูลจ้านออกไปจากทวีปแห่งนี้!”
“เป็นเช่นนี้เอง”
เจียงอี้คิดตามและทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว แต่หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ เขาก็เอ่ยถามขึ้นมาอีกครั้ง
“ท่านสังหารแม่นางหลิ่วไปแล้วหรือ?”
“นางยังอยู่ดี ข้าเพียงแค่ใช้ศาสตร์ลับค้นหาวิญญาณของตระกูลจ้านและทำให้นางกลายเป็นหุ่นเชิดของข้า แต่สำหรับคนที่เหลือ พวกมันถูกประหารไปแล้ว”
แต่พริบตาต่อมา เมื่อผู้อาวุโสเฮ่อฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมาได้ เขาก็กล่าวออกมาด้วยความรีบเร่ง
“นายน้อยอี้ แม่หนูหลิ่วไม่ได้ติดต่อกับราชินีแม่มดมากว่าสองถึงสามชั่วโมงแล้ว ข้าคิดว่าหญิงชั่วคนนั้นจะต้องตระหนักถึงสิ่งผิดปกติแล้วเป็นแน่ ตอนนี้พวกเรายังสามารถหลบหนีไปตั้งหลักได้ แต่ถ้าหากแม่เฒ่าบุปผาสีเงินมาที่นี่ พวกเราได้ซวยจริงๆแน่!”
“ใจเย็นก่อน!” เจียงอี้กล่าวเสียงดัง
“ท่านวิตกกังวลมากเกินไป เห็นได้ชัดว่าราชินีแม่มดไม่กล้าพอที่จะให้องค์ราชารับรู้เรื่องนี้ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงจะถูกล้อมสังหารโดยกองทัพของอาณาจักรเทียนเซวี่ยนไปแล้ว”
“และด้วยความเร็วของยอดฝีมือขอบเขตจินกังอย่างแม่เฒ่าบุปผาสีเงิน นางคงมาถึงที่นี่นานแล้ว พวกเราคงจะไม่ได้มายืนพูดคุยอย่างสบายเช่นนี้หรอก อีกอย่างหากว่าราชินีแม่มดรับรู้เรื่องทั้งหมดจริง นางคงจะไม่ส่งแม่นางหลิ่วมายั่วยวนข้าให้เสียเวลา”
“ในความคิดของข้า ไม่ว่าหยุนลู่จะถูกสังหารโดยเราหรือไม่ นางก็ต้องการที่จะกำจัดหยุนเสียนอยู่ดี มิฉะนั้นบุตรชายของนางที่มีอายุเพียงเก้าปีจะมีโอกาสได้ขึ้นครองบัลลังก์หรือ?”
“ข้าคิดว่านางกำลังดำเนินแผนการเดิมของตัวเองเท่านั้น แต่หากว่านางรู้ว่าหยุนลู่ตายด้วยน้ำมือข้า นางคงจะลงมือขั้นเด็ดขาดเป็นแน่ บางทีนางอาจจะล้อมสังหารพวกเราหลังจากที่หยุนเฟยและหยุนเสียนถูกกำจัด”
“แต่ปัญหาคือนางหลบซ่อนอยู่ในเงามืด ส่วนพวกเรานั้นอยู่ในที่แจ้ง!”
ผู้อาวุโสเฮ่อส่ายหัวและกล่าว “ราชินีแม่มดมีนิสัยเจ้าแผนการ นางมีผู้ใต้บังคับบัญชามากมายและยังมีเวทย์คาถาอีกจำนวนมาก หากนางไม่รู้ถึงการมาของพวกเรา พวกเราก็อาจจะมีโอกาสลงมืออยู่บ้าง แต่ตอนนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว”
“ยกตัวอย่าง… นางสามารถสังหารองค์หญิงหยุนเฟยและองค์ชายหยุนเสียนได้ก่อนที่พวกเราจะไปถึงด้วยซ้ำ และเมื่อพวกเราไปถึงนางก็ยังสามารถล้อมกรอบและสังหารพวกเราได้”
“ในเวลาเดียวกัน นางก็ยังมีเวลาเหลือเฟือที่จะแจ้งเตือนราชาของอาณาจักรเทียนเซวี่ยนและแม่เฒ่าบุปผาสีเงิน… ดังนั้น หากว่าพวกเรายังคงดำเนินการตามแผน มันก็เท่ากับว่าพวกเราตกสู่กับดักของหญิงชั่วคนนั้น”
“อืม…”
เมื่อฟังความคิดเห็นของผู้อาวุโสเฮ่อ ไม่เพียงเจียงอี้จะไม่ตื่นตระหนกเท่านั้น แต่สีหน้าของเขายังคงเผยให้เห็นถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยม จากนั้นเขาก็เอ่ยด้วยความเย้ยหยัน
“จะเป็นอย่างไรหากพวกเราบุกเข้าไปในราชวังคืนนี้และไปพบราชินีแม่มดเพื่อทักทายนางสักหน่อย?”
“อะไรนะ?”
ร่างอันแก่ชราของผู้อาวุโสเฮ่อถึงกับสั่นสะท้าน
“บุกเข้าไปในวัง? ท่านไม่รู้หรือว่าที่นั่นเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญมากมาย และแม้ว่าแม่เฒ่าบุปผาสีเงินจะไม่ได้อยู่ภายในนั้น แต่ก็คงอยู่ไม่ไกลมากนัก เพียงแค่ความปั่นป่วนเล็กน้อย ข้าเกรงว่าด้วยระดับการบ่มเพาะของนาง นางคงจะรู้ตัวทันที ถ้าเป็นเช่นนั้นท่านจะทำยังไง?”
“ทำไม? ท่านกลัวตายด้วยหรือ?” เจียงอี้ยิ้มออกมาเล็กน้อยและจ้องมองผู้อาวุโสเฮ่อเป็นเชิงหยอกล้อ
“โธ่! นายน้อย!”
ผู้อาวุโสเฮ่อไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาทำได้เพียงถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“มันไม่สำคัญว่าชายชราผู้นี้จะตายหรือไม่ แม้กระทั่งสมาชิกตระกูลจ้านที่แทรกซึมอยู่ในอาณาจักรเทียนเซวี่ยนทั้งหมดจะตายไป มันก็ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่จนเกินไป แต่ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน ข้าจะกลายเป็นคนบาปของตระกูลจ้านทันที”
“ตาเฒ่า! ท่านขี้กังวลเกินไปแล้ว!”
เจียงอี้เผยรอยยิ้มจางๆ จากนั้นก็กล่าวด้วยความมั่นใจ
“แม้ว่าพวกเราจะต้องเผชิญหน้ากับแม่เฒ่าบุปผาสีเงิน แต่ข้าก็มีความมั่นใจถึงแปดส่วนว่าจะสามารถหนีรอดจากนางได้อย่างปลอดภัย”
“ดังนั้นสิ่งที่เราต้องทำไม่ใช่การบุกเข้าไปซึ่งๆหน้า แต่เราทำเพียงแค่เล่นไปตามน้ำก็พอ ไม่ใช่ว่าแม่นางหลิ่วอยู่ภายใต้การควบคุมของท่านหรือ?”
“ข้าจะแสร้งทำเป็นถูกต้องมนต์โดยเวทย์หนอนพิษและให้แม่นางหลิ่วพาข้าไปยังวังหลวง เมื่อไปถึงที่นั่น ราชินีแม่มดจะต้องออกมาพบแม่นางหลิ่วเป็นการส่วนตัวแน่”
“คนของนางจะต้องทำทุกทางเพื่อพาตัวข้าเข้าไปในวัง และเมื่อใดก็ตามที่ราชินีแม่มดโผล่หัวออกมา ข้าก็จะจัดการนางทันที… นี่แหละแผนอันสมบูรณ์แบบ!”
เจียงอี้หยุดพักชั่วครู่ จากนั้นก็กล่าวต่อ “นอกจากนี้ แม้ว่าทุกสิ่งจะถูกเปิดเผย แต่เราก็ไม่ได้เสียประโยชน์ใดๆ กลับกัน หากว่าองค์ราชารู้ว่าราชินีแม่มดกำลังวางแผนที่จะสังหารบุตรธิดาของเขา มีหรือที่ผู้เป็นบิดาจะปล่อยให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น? เกรงว่าหลังจากนั้นหยุนเสียนคงจะถูกแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาทแทบจะทันที!”
“นี่…”
ผู้อาวุโสเฮ่อลังเล เขานิ่งเงียบไปสิบห้านาทีก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาและกล่าวอีกครั้ง
“นายน้อยอี้ โปรดรอก่อน ข้าจะใช้ศาสตร์ค้นหาวิญญาณอีกครั้งเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม”
หลังจากนั้นแม่นางหลิ่วก็ถูกพาตัวเข้ามาในห้อง นางยังคงมีรอยเลือดอยู่ที่มุมปากและมีดวงตาที่ว่างเปล่าราวกับคนที่สูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว
ผู้อาวุโสเฮ่อเดินตามเข้ามาและกล่าวด้วยสีหน้ากังวล “นายน้อยอี้ ข้าได้ลองตรวจสอบเพิ่มเติมแล้ว ตามคำสั่งของราชินีแม่มด แม่หนูหลิ่วจะพาท่านไปยังวังหลวงโดยที่นางจะสามารถควบคุมท่านหรือสังหารท่านก็ได้”
“ข้าลองคำนวณดูแล้ว แผนของท่านมีโอกาสประสบความสำเร็จก็จริง… แต่ข้ากลัวว่าก่อนที่จะทันได้เข้าไปใกล้ราชินีแม่มด ท่านจะถูกจับได้เสียก่อน ต้องอย่าลืมว่าความเชี่ยวชาญในด้านศาสตร์เวทย์ของนางนั้นสูงมาก”
“ฮิฮิ!”
เจียงอี้หัวเราะอย่างไม่แยแส
“ตราบเท่าที่ข้าสามารถเข้าสู่วังหลวงได้ ข้าก็มีโอกาสที่จะจัดการกับนางได้อย่างไม่ยากเย็น ผู้หญิงคนนี้อันตรายเกินไป การคงอยู่ของนางจะนำปัญหามากมายมาสู่ตระกูลจ้านและข้าอย่างไม่หยุดหย่อน… แต่เรื่องของข้าน่ะช่างมันเถอะ ว่าแต่ท่านจะเข้าไปในวังหลวงยังไงไม่ให้ถูกจับได้?”
“ง่ายมาก!”
ผู้อาวุโสเฮ่อแสยะยิ้มอย่างเยือกเย็นและกล่าว “ข้าสังหารคนที่ถูกราชินีแม่มดควบคุมไปหมดแล้ว ดังนั้นข้าจะถลกหนังของหนึ่งในนั้นและปลอมตัวเป็นมันก็สิ้นเรื่องแล้ว”
เจียงอี้ผงะไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็กล่าวขณะที่ยิ้มเฝื่อน “ไปเตรียมตัวเถิด หากปล่อยเวลานานกว่านี้ นางจะเริ่มสงสัยเอา”
“อืม”
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เมื่อผู้อาวุโสเฮ่อเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจียงอี้ก็ขึ้นรถม้าไปกับแม่นางหลิ่วโดยที่มีเฮ่อเถี่ยซู่เป็นคนขับรถม้า พวกเราออกมาจากโรงเตี๊ยมและตรงไปยังเมืองเซวี่ยนเทียนทันที
เมืองอิ่นหม่าค่อนข้างใกล้กับเมืองหลวง ใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงพวกเขาก็มาถึงประตูทางทิศตะวันออกแล้ว
ผู้อาวุโสสวมหน้ากากหนังมนุษย์และปลอมตัวเป็นคนอื่น หลังจากที่ล้วงแผ่นป้ายขึ้นมาจากเสื้อคลุม ทหารหลวงก็เปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหันและปล่อยให้พวกเขาเข้าไปโดยเร็ว
จากข้อมูลที่ได้รับจากการใช้ศาสตร์ค้นหาวิญญาณ เฮ่อเถี่ยซู่จึงรู้ว่าแม่นางหลิ่วเคยพบปะกับราชินีแม่มดในวังมาก่อน ดังนั้นเขาจึงตั้งใจที่จะมุ่งหน้ามาทางประตูตะวันออกและแสดงแผ่นป้ายพิเศษเพื่อให้ทหารหลวงปล่อยพวกเขาเข้ามาโดยไม่ตั้งคำถาม
ฟึ่บ!
หลังจากที่เข้ามาในเขตวังได้ไม่นาน ชายที่สวมชุดคลุมดำคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นและขัดขวางรถม้าไว้ จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอันเคร่งขรึม
“แม่นางหลิ่ว สถานการณ์เป็นเช่นไรบ้าง?”
เจียงอี้แกล้งทำเป็นหลับและบังคับให้จังหวะหายใจอ่อนแรงลงตามคำแนะนำของผู้อาวุโสเฮ่อ
ชายชราเองก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไป เขาเพียงแค่เปิดผ้าม่านและแสร้ง
เป็นถามแม่นางหลิ่วเพื่อขอคำแนะนำ ขณะเดียวกันม่านตาของเขาก็ส่องแสงแปลกๆเพื่อกระตุ้นแม่นางหลิ่ว จากนั้นนางก็เอ่ยขึ้นมา
“ใต้เท้าเฉา ทุกอย่างเป็นไปตามแผน ท่านรีบพาข้าไปหาราชินีเถิด”
“ดี!”
ชายในชุดคลุมดำสามารถจดจำเสียงของแม่นางหลิ่วได้ เขาจึงลดความหวาดระแวงลง ไม่ว่ายังไงหญิงสาวผู้นี้ก็ถูกราชินีแม่มดทำให้กลายเป็นหุ่นเชิดไปแล้ว นางจะกลายเป็นทาสผู้ซื่อสัตย์ตลอดกาล
เขากระโดดขึ้นไปบนรถม้าและนั่งอยู่ด้านข้างผู้อาวุโสเฮ่อ ขณะเดียวกันเขาก็ตะโกนออกมา
“ไป!”
เฮ่อเถี่ยซู่บังคับให้รถม้ามุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว วังหลวงมีการป้องกันที่หนาแน่น มีหลายครั้งที่พวกเขาบังเอิญเจอกับหน่วยลาดตระเวนและทหารหลวง แต่เป็นเพราะตัวตนของผู้ที่ถูกเรียกว่า ‘ใต้เท้าเฉา’ จึงไม่มีใครกล้าที่จะขวางทางพวกเขา
สวรรค์อวยพรให้พวกเราด้วยเถิด!
ผู้อาวุโสเฮ่อกำลังอธิษฐานอย่างเงียบๆระหว่างทาง แม้ว่าเขาไม่กลัวหากว่าตัวเองจะต้องตาย แต่เขาคงจะรู้สึกผิดไปชั่วชีวิตหากว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจียงอี้ในภารกิจนี้…