เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 371 ศาสตร์แยกร่างสกัดโลหิต
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 371 ศาสตร์แยกร่างสกัดโลหิต
บทที่ 371 ศาสตร์แยกร่างสกัดโลหิต
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
“ตกหลุมพรางข้าซะ!”
เสียงของราชินีแม่มดดังก้องเหมือนเสียงฟ้าร้องซึ่งทำให้ร่างของเจียงอี้สั่นเทาเขารู้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติและเมื่อเขาเห็นกับดักที่เรืองรองที่ด้านนอกพระราชวังและได้ยินคำพูดของราชินีแม่มด เขาก็ตระหนักได้ในทันใด
เขาก็ยังลงมือแม้ว่าเข้าจะไม่เข้าใจนักราชินีแม่มดยังอยู่ที่นี่นางนางถูกพิษของผู้อาวุโสเฮ่อไปแล้ว ทำไมนางจึงกล้าทำเช่นนี้? นางพร้อมที่จะตายพร้อมกัน? นางไม่กลัวว่าหากนางตายแล้วบุตรของนาง หยุนฉี จะมีอนาคตที่ย่ำแย่หรอื?
นอกจากนั้นทำไมจึงมีค่ายกลใหญ่เช่นนี้ในตำหนักปราชญ์ ได้? ค่ายกลนี้มันสามารถเป็นกับดักจับเขาไว้ได้จริงหรือ? มันสามารถขักขวางการเคลื่นย้ายร่างทันทีหรือ? เป็นไปได้ไหมว่าหยุนเสียนกับหยุนเฟยจะสมคบคิดกับราชินีแม่มด? ราชาและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ด้วยหรือไม่กันนะ?
มีข้อสงสัยมากมายผุดขึ้นในใจของเจียงอี้แต่เขาก็กลับมามีสติอย่างรวดเร็ว เขาเปิดใช้งานเจตจำนงสังหารและรีบตรงไปยังราชินีแม่มดทันที
“ค่ายกลจอมเวทย์โบราณ?”
มีความประหลาดใจเกิดขึ้นในขณะที่ดวงตาของหยุนเฟยเต็มไปด้วยความสงสัยเมื่อเจียงอี้เปิดใช้เจตจำนงสังหาร ดวงตาที่งดงามของนางก็วูบเล็กน้อยขณะที่อุทานว่า “เจตจำนงสังหาร? อุปราช? เจียงอี้?”
“เจียงอี้?”
หนุ่มน้อยที่สวมเสื้อคลุมขุนนางที่อยู่ข้างหยุนเฟยก็อ้าปากค้างเช่นกันดวงตาของเขาสว่างขึ้น แต่เมื่อเขาเห็นราชินีแม่มด ดวงตาของเขาก็ห่อเหี่ยวลงอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าเจียงอี้ไม่ใช่คู่ปรับของราชินีแม่มด
ฟึ่บ!
ร่างกายของเจียงอี้ปะทุออกไปและในใจของเขาก็เกร็งสุดชีวิตและคิดว่าราชินีแม่มดจะต้องมีไพ่ตายเมื่อมือของเขาคว้าไปที่คอของนางได้และยกนางขึ้นก็ไม่มีสัญญาณของการต่อต้านใดๆ ไม่มีแม้การเคลื่อนไหวและการปล่อยศาสตร์เวทย์ใดๆ
ฮึๆๆ!
ราชินีแม่มดถูกบีบคอแน่นจนแทบายใจไม่ออกแต่นางก็ยังหัวเราะออกมานางเย้ยหยันและมองเจียงอี้ “เจียงอี้ เจ้าได้บุกรุกเมืองเซวี่ยนเทียนและจับราชินีเป็นตัวประกัน เจ้าสมรู้ร่วมคิดกับหยุนเฟยและหยุนเสียนเพื่อที่จะสังหารหยุนลู่ เจ้าก่ออาชญากรรมร้ายแรงที่แม้แต่จักรพรรดินีสัตว์อสูรและหอดาราสุ่ยเยว่คงจะไม่มีหน้ามาปกป้องเจ้าใช่ไหม? ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าจะต้องตายอยู่ที่เมืองเซวี่ยนเทียนแห่งนี้”
ปัง!
เจียงอี้ชกไปที่ราชินีแม่มดซึ่งทำให้ร่างกายของนางขดลงด้วยความเจ็บปวดเลือดสดไหลออกมาจากปากของนางขณะที่เสียงหัวเราะของนางก็ดังขึ้น ทันใดนั้น ร่างของนางก็ลุกโชนด้วยเปลวเพลิงซึ่งทำให้เจียงอี้ตกใจและโยนนางออกไปอย่างรวดเร็ว
ปัง!
ร่างของราชินีแม่มดระเบิดออกเป็นชิ้นๆกลายเป็นเนื้อบดกระจายไปทั่วทุกทิศทาง
ฟึ่บ!
เจียงอี้ถอยไปทางด้านหยุนเฟยอย่างรวดเร็วในขณะที่ในดวงตาของเขามีแต่ความสงสัยการระเบิดของราชินีแม่มดไม่ได้ทรงพลังมากพอที่จะทำร้ายเจียงอี้ได้ นางอยากตายจริงๆหรือ?
“หยุนเฟย”
เขากวาดสายตาไปที่หยุนเฟยและมองเขาไปในดวงตาของนางเพื่อมองให้แน่ใจว่านางคือองค์หญิงแห่งอาณาจักรเทียนเซวี่ยนจริงๆเมื่อเขายืนยันได้แล้วเขาก็ผ่อนคลายลงและพูดว่า “ข้าเจียงอี้เอง อู๋ซวงขอให้ข้ามาช่วยพวกเจ้าทั้งสอง”
“เจียงอี้เจ้าหุนหันเกินไป ข้าเกรงว่าครานี้เราจะหนีไม่พ้นอีกต่อไปแล้ว”
เจียงอี้อาจมีหน้าตาเป็นบุคคลอื่นแต่เจตจำนงสังหารของเขานั้นไม่เหมือนผู้ใด หยุนเฟยจึงไม่สงสัยในตัวตนของเจียงอี้ นางมองไปที่กับดักข้างนอกพร้อมกับมีท่าทางที่ขมขื่นขณะที่นางถอนใจ
“นี่เป็นค่ายกลโบราณที่แต่เดิมจอมเวทย์สร้างไว้เพื่อปกป้องพระราชวังข้าไม่คิดว่าราชินีแม่มดจะย้ายมาที่นี่อย่างลับๆ ค่ายกลนี้ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังก็ยังไม่สามารถจัดการมันได้ง่ายๆ เฮ่อ…เจียงอี้ เจ้าไม่ควรมาที่นี่เลย ราชินีแม่มดมีเชาว์ปัญญาเยี่ยงปีศาจและมันง่ายมากสำหรับนางที่จะวางแผนขัดขวางเจ้า…”
“อย่างนั้นเหรอ?”
เจียงอี้ปล่อยรอยยิ้มออกมาขณะที่เขากวาดสายตาไปที่สาวใช้และขันทีทั้งหมดเขาเห็นได้ว่าไม่มีผู้ใดมีความสามารถ จากนั้นเขาก็มองไปยังราชินีแม่มดที่ทำลายตัวเองและเยาะเย้ยว่า “ไม่ว่านางจะปราดเปรื่องเพียงใด แต่ไม่ใช่ว่าตอนนี้นางตายไปแล้วหรือ?”
“ฮึๆ!”
หยุนเฟยหัวเราะอย่างขมขื่นและส่ายหัวนางชี้ไปด้านนอกราชวังและพูดว่า “ราชินีแม่มดจะตายง่ายๆอย่างนี้ได้ยังไง? เจียงอี้ มองออกไปที่ด้านนอกสิ!”
“หืม?”
เจียงอี้มองลอดผ่านประตูพระราชวังและจากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างราวกับเห็นผี
ด้านนอกพระราชวังมีรถ้าอันหรูหราเข้ามาและความงดงามที่สมบูรณ์แบบที่อยู่ในชุดวิหคเพลิงค่อยๆเดินออกมา นางดูเหมือนราชินีแม่มดไม่มีผิด
“เป็น..เป็นไปได้อย่างไร?ข้าเพิ่งเห็นนางระเบิดตัวเอง นาง…” เจียงอี้ตกใจมากจนเขาพูดติดอ่าง ราชินีแม่มดควรจะตายไปแล้วสิ จะมีราชินีแม่มดอีกคนได้อย่างไรกัน?
“ไม่มีสิ่งใดเป็นไปไม่ได้เจียงอี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาณาจักรเทียนเซวี่ยนนั้นทรงพลังในเรื่องใดที่สุด? ศาสตร์เวทย์ไงล่ะ!”
หยุนเฟยถอนหายใจและอธิบายว่า“ข้าจำได้ว่ามีศาสตร์เวทย์ประเภทหนึ่งที่เรียกว่าศาสตร์แยกร่างสกัดโลหิต ศาสตร์เวทย์นี้ยากนักที่จะฝึกฝนและต้องใช้สาวพรหมจรรย์มากมายเป็นเครื่องสังเวย ต้องใช้สาวพรหมจรรย์อย่างน้อยก็พันคนในการปรับแต่งการแยกร่างนี้ ร่างนี้จะคค่อยๆเติบโตเหมือร่างจริงและยังสามารถบ่มเพาะพลังได้ ราชินีแม่มดนั้นสามารถแยกเสี้ยววิญญาณของนางไปควบคุมร่างแยกนี้ได้และบุคคลภายนอกจะมองไม่ออกเลยว่านั่นเป็นร่างแยกหรือร่างจริง…”
“น่าพิศวงนัก!มันเป็นเช่นนี้นี่เอง….”
เจียงอี้รู้ตัวในทันทีเขารู้สึกว่ามันแปลกเมื่อเขาเห็นราชินีแม่มดเป็นครั้งแรกเมื่อเห็นว่าพลังของนางอยู่เพียงขอบเขตจื่อฝู่ เขามีความรู้สึกว่านั่นเป็นร่างแยกซึ่งนางขัดเกลามา
ย้อนไปเมื่อตอนที่นางติดกับและถูกบังคับให้กินยาพิษนางก็ยังคงสงบ เจียงอี้คิดแค่ว่ามันเป็นเพราะความฉลาดของนาง แต่ตอนนี้เขาตระหนักได้แล้วว่าที่ราชินีแม่มดไม่ได้มีความเกรงกลัวเลยนั่นเป็นเพราะนางคือร่างแยก
นางนอนหลับอย่างสงบสุขได้อย่างไรในช่วงค่ำคืน?ไม่ว่านางจะฉลาดเพียงใด ด้วยชีวิตที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายและอยู่กับคนที่ไม่รู้จักนางในห้องบรรทม นางจะนอนอย่างสงบสุขเช่นนั้นได้อย่างไร? ราชินีแม่มดจะต้องแยกเสี้ยววิญญาณออกมาจากร่างแยกของนางและจดจ่อกับการวางกับดักที่นี่ใช่ไหม?
ทุกอย่างมันคือกับดัก!
จู่ๆเจียงอี้ก็เข้าใจบางอย่างขึ้นมันเป็นไปได้ว่าหลังจากที่แม่นางหลิ่วเข้ามายังพระราชวังและทุกๆฉากก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการนางอยู่แล้ว ฉะนั้น ทำไมมันจึงบังเอิญเช่นนั้นกันที่องค์ราชาจะเสด็จมาถึงเมื่อพวกเขาก้าวเข้าสู่พระราชวัง? เมื่อผู้อาวุโสกำลังจะตรวจสอบเขา ทำไมจู่ๆองค์ราชาก็ออกไปวังลี่เฟย? แล้ว มันจะโชคดีเช่นนั้นหรือที่นางจะเข้ามาติดกับดักเขาในทันทีที่นางเข้ามา?
ในคืนนั้นเมื่อตอนที่ร่างแยกอาบน้ำและเปลี่ยนอาภรณ์ต่อหน้าเขาแม้กระทั่งในยามที่นางล่อลวงเขาในพระราชวัง ในตอนนี้ เมื่อเจียงอี้นึกถึงเรื่องราวพวกนั้นเขาก็รู้แล้วว่าพวกมันคือแผนการและอาการหนาวสันหลังของเขาก็แผ่ออกมา
หยุนเฟยบอกว่าร่างแยกนี้ต้องใช้วิธีการที่ชั่วร้ายเป็นอย่างยิ่งในการฝึกฝนดังนั้นร่างกายจะต้องมีพิษบางอย่าง หากเขาไม่สามารถระงับตัวเองและมีปฏิสัมพันธ์ทางเพศกับร่างแยกของนาง เขาก็อาจจะตายไปแล้ว
“ผู้อาวุโสฝูผู้อาวุโสเฉิน ฆ่าทุกคนและทำลายโถงราชวังแห่งนี้เสีย!”
ทันใดนั้นหยุนเฟยก็ตะโกนออกมาขณะที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดทั้งสองออกมาจากโถงราชวังแห่งนี้พวกเขารีบตรงไปยังสาวใช้และขันทีในโถงวังทั้งหมดที่ราชินีแม่มดพามาก่อนหน้านี้
“เอ่อ…”
เมื่อเจียงอี้เห็นวิธีการที่หยุนเฟยสั่งให้ผู้เชี่ยวชาญทั้งสองฆ่าคนของตัวเองเขาก็อดไม่ได้ที่จะมองนางด้วยความสับสนหยุนเฟยหัวเราะออกมาอย่างน่ากลัวและพูดว่า “เจียงอี้ ในโถงราชวังแห่งนี้ นอกเหนือจากองครักษ์ลับสองคนนี้แล้ว พวกมันทั้งหมดเป็นเบี้ยล่างของราชินีแม่มด”
“อ๋า!”
ขันทีและสาวใช้กว่าสิบคนถูกสังหารภายใต้เสียงกรีดร้องที่น่าสังเวชผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดทั้งสองเริ่มปล่อยแก่นแท้พลังของพวกเขาออกมาและทำลายไปทั่วทุกสารทิศซึ่งเปลี่ยนให้โถงทั้งหมดให้เป็นซากและถล่มลงไปกับพื้น
เจียงอี้เห็นพวกเขาทั้งสองโจมตีกับดักสีขาวด้านนอกซึ่งมันตอบโต้กลับมาด้วยกับดักสีขาวทีส่องแสงออกมาเมื่อเขาเห็นว่ากับดักนี้ไม่มร่องรอยบุบสลายใดๆเขาก็คร่ำครวญกับอาคมยับยั้งของจอมเวทย์
หลังจากเจียงอี้,หยุนเฟย, และคนอื่นๆทำให้โถงราชวังกลายเป็นซากไปแล้ว พวกเขาก็กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนแผ่นหินที่ยื่นออกมา เขามองไปรอบๆและถามอย่างสงสัยว่า “หยุนเฟย อะไรคือการถล่มโถงราชวังน่ะ?”
“เราจะตายเร็วขึ้นหากเราไม่ทำลายมัน!”
หยุนเฟยหัวเราะอย่างขมขื่นและพูดว่า“ในเมื่อราชินีแม่มดสามารถย้ายค่ายกลจอมเวทย์โบราณมาที่นี่ได้ นางจะต้องขัดเกลาค่ายกลนี้แล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ…นางสามารถโจมตีเราได้ แต่เราไม่สามารถโจมตีพวกนั้นกลับได้ เราไม่มีทางเลือกนอกเสียจากรอให้เสด็จพ่อและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินมาที่นี่ จากนั้นเราถึงจะรู้ว่าเรามีโอกาสที่จะรอดหรือไม่”
ฮึๆๆ!
กับดักสีขาวส่องแสงขณะที่มีเสียงของราชินีแม่มดส่งผ่านเข้ามา“ทำลายราชวัง? พวกเจากำลังดิ้นรนขณะอยู่หน้าประตูแห่งความตายกันหรือ? พยายามยื้อเวลา? ฝันไปเถอะ! ทุกคน ปล่อยศาสตร์เวทย์โจมตีพวกมัน!”
…