เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 372 ค่ายกลพังทลาย
บทที่ 372 ค่ายกลพังทลาย
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
ฟึ่บ!
ในขณะที่ราชินีแม่มดออกคำสั่ง ร่างของเจียงอี้ก็ทอแสงสีขาวและหายวับไปจากตำแหน่งเดิมในพริบตา แต่วินาทีต่อมาร่างของเขาก็ไปปรากฏอยู่ที่ชายขอบของค่ายกล พร้อมทั้งถูกพลังสะท้อนทำให้กระเด้งกลับมา
ค่ายกลจอมเวทย์โบราณทรงพลังอย่างแท้จริง มันสามารถยับยั้งได้แม้กระทั่งห้วงมิติและไม่อนุญาตให้ศาสตร์แปรผันดวงจิตสัมฤทธิ์ผล
หยุนเฟยราวกับคาดเดาเรื่องนี้ไว้แล้ว แต่ทันใดนั้นสีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปเมื่อมองเห็นร่างของบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่โอบล้อมค่ายกลไว้และเตรียมปลดปล่อยเวทย์โจมตี
“เจียงอี้กลับมานี่! พวกนั้นจะลงมือแล้ว!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาก็รีบใช้การเคลื่อนย้ายพริบตาและกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม อย่างไรก็ตามเขาก็บังเอิญไปเห็นฉากที่แม่ทัพผู้พิทักษ์แห่งตำหนักปราชญ์นำทหารของเขาออกไปเพื่อเจรจาบางอย่างกับราชินีแม่มดด้วยอารมณ์ที่ไม่สู้ดีนัก
พวกเขาได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกจากภายนอกค่ายกลและยากต่อการฟัง ถึงอย่างนั้นก็ยังพอจับใจความได้ว่ากลุ่มของแม่ทัพผู้นั้นพยายามที่จะขัดขวางราชินีแม่มดในการสังหารหยุนเฟยและหยุนเสียน
โพ๊ะ!
แต่ไม่มีลมหายใจต่อมา เสียงที่คล้ายกับลูกแตงโมระเบิดก็ดังขึ้นซึ่งทำให้ม่านตาของหยุนเฟยและหยุนเสียนหดแคบลงด้วยความสยดสยอง
ไม่น่าเชื่อว่าแม่ทัพซึ่งเป็นหนึ่งในชนชั้นสูงของอาณาจักรเทียนเซวี่ยนจะถูกระเบิดศีรษะต่อหน้าฝูงชนมากมายเช่นนี้
อย่างไรก็ตามสีหน้าของราชินีแม่มดยังคงไว้ด้วยความเย็นชา ในขณะเดียวกันกลุ่มผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวก็ราวกับถูกกระตุ้น ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขณะที่ปลดปล่อยเวทย์คาถาออกมา
“ระวัง!”
หยุนเฟยกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว ทางด้านขององครักษ์ทั้งสองก็ไม่กล้าอยู่เฉยและรีบพุ่งเข้ามาประกบด้านข้างของนางและหยุนเสียนทันที
ครื้นนน!
บนท้องฟ้า เวทย์มนต์ที่ก่อตัวเป็นวัตถุซึ่งดูคล้ายกับอุกกาบาตกำลังร่วงหล่นลงมาด้วยความเร็วเสียง และทำให้แรงกดดันจำนวนมหาศาลกระจายไปถึงผู้คนที่อยู่ในบริเวณนั้น
ถึงอย่างนั้น ด้วยการโจมตีผสานของเจียงอี้และผู้เชี่ยวชาญจุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยวอีกสองคน อุกกาบาตเหล่านั้นก็ถูกทำลายจนกลายเป็นฝุ่นผงทันที
ฟึ่บ! ฟึ่บ!
การระเบิดทำให้ซากปรักหักพังเบื้องล่างกระจายวงกว้าง เศษอุกกาบาตน้อยใหญ่พุ่งลงมาราวกับห่าฝนซึ่งทำให้เจียงอี้และคนที่เหลือต้องหลบหลีกกันอย่างจ้าละหวั่น
ปัง! ปัง! ปัง!
ในขณะที่เจียงอี้และผู้เชี่ยวชาญอีกสองคนกำลังทำลายเศษอุกกาบาตและพยายามหลบเลี่ยงมันจนรอดพ้นอันตรายได้ในที่สุด แต่ก่อนที่พวกเขาจะทันได้พักหายใจ จู่ๆเมฆสีดำครึ้มก็ลอยตัวอยู่เหนือศีรษะพวกเขาและปลดปล่อยสายฟ้าพร้อมกับใบมีดวายุจำนวนนับไม่ถ้วนลงมา
ครื้น! ตู้มม!
เจียงอี้กระตุ้นศาสตร์แปรผันดวงจิตอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะหลบเลี่ยงการโจมตีทั้งหมด โชคดีที่ตำหนักแห่งนี้มีขนาดใหญ่และมีรัศมีหลายกิโลเมตร ค่ายกลจอมเวทย์โบราณนั้นกินพื้นที่รอบโถงหลักซึ่งทำให้พวกเขามีพื้นที่มากพาในการใช้หลบเลี่ยง
การตัดสินใจในการทำลายสิ่งก่อสร้างของหยุนเฟยในช่วงวิกฤตนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาดมาก
แต่เมื่อเทียบกับเจียงอี้แล้ว องครักษ์ขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดทั้งสองคนนับว่ามีสภาพที่เลวร้ายกว่ามาก พวกเขาต้องแบกร่างของหยุนเฟยกับหยุนเสียนไว้และต้องคิดหาวิธีปกป้องตัวเองในเวลาเดียวกันซึ่งทำให้สถานการณ์ของพวกเขาดูไม่สู้ดีนัก
เห็นได้ชัดเลยว่าราชินีแม่มดเตรียมพร้อมสำหรับแผนการนี้มาเป็นอย่างดี ผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดของฝั่งราชวงศ์มีเวทย์คาถาสายโจมตีที่ทรงพลังและยังครอบครองความแข็งแกร่งของขอบเขตเสินโหยวขั้นที่เจ็ดเป็นอย่างน้อย
เมื่อพวกเขาปลดปล่อยการโจมตีออกมาพร้อมกัน เกรงว่าต่อให้ฝ่ายของเจียงอี้มีผู้เชี่ยวชาญจุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยวมากกว่านี้ พวกเขาทั้งหมดก็คงทำได้เพียงถอยหนีด้วยความหวาดกลัว
“เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นขนาดนี้ ทำไมถึงยังไม่มีใครแจ้งต่อเสด็จพ่อ? แล้วท่านแม่เฒ่าบุปผาสีเงินล่ะ ท่านอยู่ไหน?”
คิ้วของหยุนเฟยขมวดเข้าหากันด้วยความกังวล หากว่าราชาแห่งเทียนเซวี่ยนไม่ปรากฏตัวออกมาในเร็วๆนี้ พวกนางทั้งหมดคงจะต้องตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อนางนึกถึงตัวตนของราชินีแม่มด หยุนเฟยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว ผู้หญิงคนนี้อันตรายเกิดไป หากไม่ใช่ว่านางคือบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนขององค์ราชา เกรงว่าตัวนางและน้องชายคงจะตายไปนานแล้ว
ราชาแห่งอาณาจักรเทียนเซวี่ยน, หยุนฉิงเทียน ไม่ใช่คนโง่และไม่ได้กระจายอำนาจของเขาออกไปทั้งหมด อีกทั้งตัวเขายังได้รับความภักดีจากแม่เฒ่าบุปผาสีเงิน ไม่เช่นนั้นป่านนี้อาณาจักรเทียนเซวี่ยนคงจะตกอยู่ในมือของราชินีแม่มดไปแล้ว
นับตั้งแต่ที่ราชินีแม่มดต้องการให้พวกเขาตาย นางจึงได้วางแผนมาอย่างรอบครอบ บางทีนางอาจจะผนึกทั้งเมืองเซวี่ยนเทียนไปแล้วจึงทำให้ไม่มีใครสามารถออกไปแจ้งข่าวแก่องค์ราชาได้
หยุนฉิงเทียนจำเป็นต้องใช้เวลาตลอดทั้งช่วงเช้าในพิธีถวายเครื่องราชบรรณาการ และในตอนที่เขากลับมา เกรงว่าศพของทุกคนคงจะเย็นหมดแล้ว
ตู้มมมม! ฟิ้วววว! ปังงงง!
อุกกาบาต, สายฟ้า, ใบมีดวายุ, หอกน้ำแข็ง…
เวทย์คาถานานาชนิดถูกร่ายออกมาอย่างต่อเนื่อง โชคดีที่เจียงอี้สามารถเคลื่อนย้ายในพริบตาและเรียกเพลิงโลกาออกมาปกป้องตัวเองได้
น่าเสียดายที่องครักษ์ขอบเขตเสินโหยวทั้งสองไม่ได้มีตัวช่วยที่มีประโยชน์เช่นนั้น พวกเขาในตอนนี้อยู่ในสภาพที่น่าสังเวชมากและหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาจะสูญเสียพละกำลังอย่างรวดเร็วและตายในที่สุด
“หยุนเฟย! หยุนเสียน! ข้าจะให้พวกเจ้าเข้ามาหลบในแจกันเขียวพิสุทธิ์ก่อน จากนั้นข้าจะหาทางทะลวงค่ายกลออกไปและช่วยพวกเจ้าหลบหนี!”
เจียงอี้เล็งเห็นแล้วว่าสถานการณ์กำลังเข้าขั้นวิกฤต เขาจึงตัดสุดใจขั้นสุดท้ายทันทีและย้ายร่างไปหาพวกเขาทั้งคู่
“ตกลง!”
สองพี่น้องตระกูลหยุนรู้ดีว่าพวกเขานั้นเป็นได้เพียงภาระและการเข้าไปหลบในแจกันเขียวพิสุทธิ์นับว่าเป็นหนทางที่ดีที่สุดแล้ว อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังคงสงสัยว่าทำไมเจียงอี้ถึงไม่ทำเช่นนี้ตั้งแต่แรก?
“แจกันเขียวพิสุทธิ์?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาขององครักษ์ชั้นสูงทั้งสองก็เผยให้เห็นความยินดี ด้วยความสามารถอันยอดเยี่ยมของเจียงอี้ การที่หยุนเฟยและหยุนเสียนได้อยู่ภายใต้การดูแลของบุคคลเช่นนี้ย่อมปลอดภัยมากกว่า
ฟึ่บ!
ทันทีที่เจียงอี้ปรากฏตัวอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย สององครักษ์ก็ไม่กล้ารอช้าและรีบโยนหยุนเฟยกับหยุนเสียนไปทางเขาทันที ในเวลาเดียวกัน กลุ่มก้อนแสงจากแจกันใบเขียวก็พุ่งออกมาและดูดร่างของพวกเขาทั้งสองเข้าไป
เจียงอี้ไม่รู้ว่าทั้งสองจะตกใจกลัวหรือไม่เมื่อได้เจอกับราชันสัตว์อสูรที่เข้ามาอาศัยอยู่ก่อน แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกและไม่อาจสนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนั้นในสถานการณ์แบบนี้ได้
เขาทะยานไปด้านหน้าพร้อมกับระเบิดพลังออกมาอย่างฉับพลัน ทันใดนั้นมังกรเพลิงตัวจิ๋วนับหมื่นก็ปรากฏตัวออกมาและกระหน่ำโจมตีใส่ค่ายกลแบบไม่ยั้ง
ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!
เสียงระเบิดดังขึ้นไม่ขาดสาย อย่างไรก็ตามค่ายกลก็ไม่มีวี่แววที่จะพังทลายเลยแม้แต่น้อย
“เอ่อ…”
สององครักษ์อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง พวกเขารู้อยู่แล้วว่าพลังต่อสู้โดยรวมของเจียงอี้นั้นเทียบได้กับชนชั้นเสินโหยวขั้นสูงสุดหรืออาจจะเหนือกว่า แต่พวกเขากลับไม่คาดคิดเลยว่าเพียงเวลาไม่นาน ชายหนุ่มคนนี้จะแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว
“ท่านอุปราช!”
หนึ่งในนั้นตะโกนด้วยความตื่นตระหนก
“หยุดเผาผลาญพลังเถิดขอรับ ค่ายกลจอมเวทย์โบราณถูกสร้างขึ้นโดยจอมเวทย์ท่านนั้นของตระกูลหยุน มันอาศัยพลังของหินเครื่องรางแบบพิเศษทั้งสิบสองชิ้นเพื่อดูดซับพลังฟ้าดิน”
“ด้วยพลังของพวกเรา เกรงว่าต้องใช้เวลาถึงสามเดือนถึงจะทำลายมันได้ขอรับ!”
“หินเครื่องรางที่ถูกทิ้งไว้โดยท่านจอมเวทย์?”
คิ้วของเจียงอี้ขมวดลง ในความเป็นจริง มันเป็นเรื่องง่ายดายอย่างมากที่จะทำลายค่ายกลแห่งนี้ เขาเพียงแค่ต้องปลดปล่อยราชันสัตว์อสูรออกมา แต่น่าเสียดายที่กลิ่นอายอันทรงพลังของมันจะทำให้แม่เฒ่าบุปผาสีเงินรู้ตัวทันที
ดังนั้นหากไม่ถึงที่สุดแล้วจริงๆ เขาก็อยากที่จะลองพึ่งพาพลังของตัวเองเพื่อทำลายมันและหนีไปพร้อมกับคนอื่นๆ
แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่องครักษ์ของหยุนเฟยกล่าว ภายในหัวของเขาก็ผุดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขารีบย้ายร่างไปยังด้านข้างของค่ายกล จากนั้นก็ถ่ายเทแก่นแท้พลังลงไปในป้ายตราที่ได้รับจากพื้นที่ต้องห้ามจอมเวทย์ก่อนหน้านี้และวางทาบไปบนค่ายกล
วืดดด!
ทันใดนั้นเอง ฉากอันน่าอัศจรรย์ก็บังเกิดขึ้น ป้ายที่จอมเวทย์ให้กับเจียงอี้ไว้ทำปฏิกิริยากับค่ายกล ไม่กี่ลมหายใจต่อมามันก็สูญเสียพลังและสูญสลายไปทันที
ฮือฮา!
ดวงตาของเหล่าผู้เชี่ยวชาญที่อยู่รอบๆต่างเบิกกว้างราวกับไข่ห่านและตกตะลึงสุดขีด แม้กระทั่งการแสดงออกของราชินีแม่มดก็เปลี่ยนไป แต่นางก็มีการ
ตอบสนองที่เร็วพอและเร่งตะโกน
“ส่งสัญญาณออกไป! รีบขอความช่วยเหลือจากแม่เฒ่าบุปผาสีเงินเร็วเข้า!”
“สายไปแล้ว!”
ร่างของเจียงอี้ลอยเหนือพื้นเล็กน้อย ในเวลาเดียวกันดวงตาของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดง ผมที่มีสีเดียวกับโลหิตกระพือขึ้นโดยไร้ซึ่งกระแสลมคอยช่วยเหลือ กลิ่นอายสังหารอันเข้มข้นแพร่กระจายออกไปและเข้าปกคลุมร่างกายของทุกคนที่อยู่ในเขตของตำหนักปราชญ์
ดวงตาของเขาเพ่งเล็งไปที่ร่างของราชินีแม่มดด้วยความอาฆาตและเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงอันเย็นยะเยือก
“ราชินีแม่มด ข้าสงสัยนักว่าเจ้าในตอนนี้เป็นเพียงร่างจำแลงหรือว่าตัวจริงกันแน่? อย่างไรก็ตาม การที่เจ้ากล้ามาล้อเล่นกับข้า มันก็หมายความว่าเจ้าพร้อมที่จะตายแล้วสินะ?”