เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 375 หยุนเสียนต้องเป็นรัชทายาท
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 375 หยุนเสียนต้องเป็นรัชทายาท
บทที่ 375 หยุนเสียนต้องเป็นรัชทายาท
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
“ใต้เท้าอสูร?”
ตำแหน่งนี้พิเศษมากแต่การที่ราชาแห่งอาณาจักรเทียนเซวี่ยนคุกเข่าให้แก่สัตว์อสูร มันจะต้องเป็นสถานะที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ มีหลายคนที่รู้สึกสับสน แต่แน่นอนว่าก็มีอีกหลายคนที่รู้ได้ในทันที อย่างเช่น แม่เฒ่าบุปผาสีเงิน
“ใต้เท้าอสูร?สัตว์วิญญาณของจอมเวทย์! ใช่แล้ว มันเหมือนที่เขียนไว้ในประวัติศาสตร์ นี่คือสัตว์อสูรหยาจื้อ!”
การแสดงออกมืดหม่นที่เผยอยู่บนใบหน้าแม่เฒ่าบุปผาสีเงินจางหายไปในทันทีและนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมราชันสัตว์อสูรจึงไม่สังหารนาง นางลงมาอย่างรวดเร็วและคุกเข่าพร้อมกับองค์ราชาและทักทายอย่างเคารพ “คารวะท่านใต้เท้าอสูร!”
องค์ราชาและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินกำลังคุกเข่าทั้งคู่มันไม่สำคัญว่าผู้คนจะเข้าใจหรือตระหนักถึงสิ่งต่างๆหรือไม่ แต่พวกเขาทุกคนก็ทักทายด้วยความเคาระอย่างล้นเหลือ “คารวะท่านใต้เท้าอสูร!”
เมื่อทุกคนคุกเข่าและตะโกนออกมาเสียงมันก็ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งเมืองเซวี่ยนเทียน
“เอ่อ…”
ในขณะนี้เจียงอี้เป็นผู้ที่ประหลาดใจแทน เขาไม่ได้คาดว่าจอมเวทย์จะมีเกียรติต่ออาณาจักรเทียนเซวี่ยนเช่นนี้ แม้แต่องค์ราชาก็ต้องคุกเข่าต่อสัตว์อสูรที่เขาเลี้ยงไว้? แน่นอนว่า เหตุผลหนึ่งก็เป็นเพราะราชันสัตว์อสูรตนนี้มีพละกำลังมหาศาลด้วยใช่ไหม?
สัตว์อสูรหยาจื้อเงยหน้าขึ้นอย่างผงาดและยืนอย่างผ่าเผยราวกับว่ามันไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยมันไม่แม้แต่จะเหลียวมององค์ราชาแห่งอาณาจักรเทียนเซวี่ยนเลยด้วยซ้ำ เมื่อเมืองทั้งเมืองตกอยู่ในความเงียบสงัด ในที่สุดมันก็เหลียวมองไปที่แม่เฒ่าบุปผาสีเงินและพูดด้วยน้ำเสียงที่อยู่ในลำคอ “ลูกหลานตระกูลหยุนนั้นน้อยลงไปทุกทีๆ หากนายท่านเห็นสิ่งนี้ เขาก็คงใจสลาย เฮ้อ….”
“พวกเราทุกคนมีตราบาปและละอายใจต่อจอมเวทย์และบรรพบุรุษยิ่งนัก”
หยุนฉิงเทียนและคนอื่นๆต่างคำนับด้วยสีหน้าละอายใจและไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้นส่วนเจียงอี้นั้นก็ยิ่งประหลาดใจมากขึ้น แต่เขาก็รู้สึกโล่งใจที่อย่างน้อยก็ไม่จำเป็นต้องจัดการเรื่องนี้ด้วยความรุนแรงและเขาก็ได้สัญญาต่อจอมเวทย์แล้วว่าเขาจะพยายามปกป้องสายเลือดตระกูลหยุนอย่างสุดความสามารถ ยิ่งกว่านั้น ด้วยความสัมพันธ์ของเขากับหยุนเฟยและหลังจากที่ฆ่าหยุนเฮ่อ, หยุนลู่, และราชินีแม่มดไป เขาก็ไม่ได้มีความเกลียดชังตระกูลหยุนอีกต่อไป
เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นแจกันเขียวพิสุทธิ์สว่างขึ้นอีกครั้งและร่างของบุคคลสามคนก็ได้ปรากฏขึ้นบนหลังคา ในตอนแรกเขาเป็นห่วงหยุนเฟยและคนอื่นว่าจะได้รับผลกระทบจากตัวตนของราชันสัตว์อสูรหยาจื้อ แต่ตอนนี้มันปลอดภัยแล้ว เขาก็เลยปล่อยทั้งสามคนออกมาทันที
“ฮู่ฮู่ววว!”
เมื่อพวกเขาทั้งสามออกมาพวกเขาก็สูดลมหายใจกันเฮือกใหญ่ เห็นได้ชัดว่าภายในแจกันนั้นน่ากลัวเพียงใด แม้ว่าหยาจื้อจะออกมาแล้ว แต่กลิ่นอายตัวตนของมันก็ยังคงอยู่ ทุกคนที่อยู่ในนั้นยังรู้สึกได้ถึงความทรมานที่เหมือนอยู่ในกระทะเดือด
“เอ๊ะ?”
หยุนเฟยสังเกตเห็นสิ่งที่ผิดปกติอย่างรวดเร็วและดวงตาที่สวยงามของนางก็เบิกกว้างขึ้นหยุนเสียนก็เห็นสิ่งผิดปกติเช่นกันและดวงตาของเขาก็เบิกโตเป็นดวงกลมโต เขาเห็นสัตว์อสูรขนาดมหึมาอยู่บนฟ้าและเห็นหยุนฉิงเทียนที่กำลังคุกเข่าอยู่ เขาตกใจจนขาทั้งสองข้างอ่อนยวบและคุกเข่าลงไป
“ฮ่าๆ!”
ผู้อาวุโสเฮ่อเข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจนและขณะเดียวกันหยุนเฟยก็ต้องการที่จะคุกเข่าลงไปเขาเลยดึงหยุนเฟยขึ้นมาแล้วพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องคุกเข่า ตอนนี้พวกเราทั้งหมดปลอดภัยแล้วขอรับ ฮ่าๆ….ตำแหน่งองค์รัชทายาทขององค์ชายหยุนเสียนปลอดภัยแล้วนะขอรับ”
“เอ๊ะ..”
หยุนเฟยกระพริบตาอย่างงุนงงและมองไปที่เจียงอี้และจากนั้นเขาเผยรอยยิ้มจางๆให้นางขณะที่เขาจ้องไปที่หยุนฉิงเทียนและพูดว่า “เอาล่ะๆ ทุกคนลุกขึ้นเถอะ หยุนฉิงเทียน เจ้าทำบาปไว้จริงๆ หากข้ามาถึงเมืองเซวี่ยนเทียนไม่ทันการหยุนเสียนและหยุนเฟยคงจะถูกราชินีแม่มดสังหารไปแล้ว ส่วนแม่เฒ่าบุปผาสีเงิน เจ้านั้นต้องการที่จะลงมือก่อนที่จะแยกแยะถูกผิด หากไม่ใช่เพราะจอมเวทย์ ครานี้ข้าคงจะฆ่าเจ้าแล้ว!”
ฮือฮา!
คำพูดของเจียงอี้นั้นทำให้เกิดความปั่นป่วนเพราะมีหลายคนที่ยังไม่เข้าใจสถานการณ์และจ้องมองเขาโดยหวังที่จะฉีกเขาออกเป็นชิ้นๆเขากล้าที่จะว่าองค์ราชาบาปจริงๆหรือ? เขายังต้องการที่จะสังหารแม่เฒ่าบุปผาสีเงินอีก?
หลายคนที่ยังไม่เข้าใจหยุนฉิงเทียนและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินพวกเขาเงยหน้ามองเจียงอี้ก่อนที่จะมองหยาจื้อแต่ก็ยังไม่กล้าที่จะลุกขึ้น พวกเขาไม่กล้าแสดงความโกรธแค้นใดๆต่อเจียงอี้
ราชันสัตว์อสูรมองเจียงอี้และดูเหมือนว่าจะไม่มีความสุขที่เจียงอี้เข้ามามีอำนาจในการออกคำสั่งมันหงุดหงิดและเงยหน้าขึ้นอีกครั้งพร้อมเผยตัวตนที่โหดร้ายและมีท่าทีโมโห
เจียงอี้เองก็โมโหเมื่อเห็นสิ่งนี้และแสดงป้ายสีดำในมือเขาพลังจากที่เขาเทแก่นแท้พลังของเขาเข้าไป กลิ่นอายที่น่าหวาดผวาก็ถูกปล่อยออกมาจากป้ายนั้น
เมื่อป้ายนั้นออกมาแล้วราชันสัตว์อสูรก็กลัวจนหัวหดและพูดในลำคอว่า “เจียงอี้เป็นผู้สืบทอดของนายท่าน คำพูดของเขาถือเป็นตัวแทนคำพูดของนายท่าน เขาบอกให้พวกเจ้าทุกคนยืนขึ้นและจงทำตามที่เขาบอกเสียสิ”
“เอ่อ…”
หยุนฉิงเทียนและแม่เฒ่าบุปผาอาจจะเดาได้บ้างแล้วแต่ก็ยังคงประหลาดใจพวกเขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะที่หยุนฉิงเทียนคำนับเจียงอี้และทักทายว่า “หยุนฉิงเทียนคารวะ…ท่านผู้ทรงเกียรติ”
เจียงอี้อายุน้อยกว่าเขาแต่ฐานะลำดับชั้นของเจียงอี้นั้นเหนือกว่าเขามากนักดังนั้นหยุนฉิงเทียนจึงไม่รู้ว่าจะพูดกับเขาอย่างไรดี เขาจึงทักทายอย่างกำกวมเพียง ‘ท่านผู้ทรงเกียรติ’ หลังจากที่หยุนฉิงเทียนทักทายเจียงอี้แล้ว แม่เฒ่าบุปผาสีเงินและคนอื่นๆก็ไม่เต็มใจเท่าไหร่นักแต่ก็ต้องคำนับเจียงอี้และทักทายด้วยเช่นกัน
ผู้อาวุโสเฮ่อไม่ได้รู้สึกดีเท่าไหร่จากคำทักทายเหล่านี้แต่หยุนเฟยและหยุนเสียนนั้นตกใจมาก บิดาของพวกเขาและผู้พิทักษ์อาณาจักรเทียนเซวี่ยนแสดงความเคารพออกมา? พวกเขาควรรู้สึกอย่างไรดี? พวกเขาจึงพากันคุกเข่าเช่นกัน
“พอแล้วๆ!”
ด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก็ทำให้เจียงอี้รู้สึกสาแก่ใจแล้ว!
เกียรติศักดิ์ของจอมเวทย์ในอาณาจักรเทียนเซวี่ยนนั้นอยู่เหนือกว่าที่เขาจินตนาการไว้เสียอีกหากเขารู้ว่ามันจะเป็นเช่นนี้เขาคงไม่ต้องแม้แต่จะพยายาม เพียงแค่เขาก้าวเข้ามาที่อาณาจักรเทียนเซวี่ยนอย่างเปิดเผยและแต่งตั้งองค์ชายหยุนเสียนเป็นองค์รัชทายาทก็คงพอ
แจกันสีเขียวส่องสว่างอีกครั้งและดูดหยาจื้อกลับเข้าไปจากนั้นเขาก็พูดกับหยุนฉิงเทียนว่า “บอกให้คนจัดพิธีศพเถอะ แล้วค่อยไปคุยกันที่พระราชวังหลวงต่อ”
“เอาล่ะ!ท่านผู้ทรงเกียรติ เชิญทางนี้ขอรับ”
หยุนฉิงเทียนพยักหน้าและเจียงอี้ก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเช่นกันเขาเหาะลงมาขณะที่มีผู้อาวุโสเฮ่อติดตามมาอย่างใกล้ชิด เมื่อเจียงอี้เห็นว่าหยุนเฟยและหยุนเสียนไม่ได้ตามเขามา เขาก็ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ฝ่าพระบาท”
มุมปากของหยุนเสียนนั้นกระตุกและเขาก็ไม่กล้าตอบสิ่งใดออกมาส่วนหยุนเฟยก็พูดด้วยรอยยิ้มอันขมขื่นว่า “เจียงอี้ ไปก่อนเลย พวกเราจะตามไปทีหลัง”
“พวกเจ้าทั้งสองไปพร้อมข้า!”
เจียงอี้พูดด้วยความดื้อรั้นและยังกวาดตาไปยังหยุนฉิงเทียนจากนั้นหยุนฉิงเทียนก็ปล่อยเสียงหัวเราะอย่างขอโทษขอโพยและพูดว่า “เฟยเอ๋อร์ เสียนเอ๋อร์ เชื่อฟังท่านผู้ทรงเกียรติเถอะ”
“ก็ได้!”
ดวงตาของหยุนเฟยเผยร่องรอยความรู้คุณและนางรู้ว่าจุดประสงค์ของเจียงคือสิ่งใดนางกัดฟันแล้วพาหยุนเสียนตามหลังเจียงอี้ไปยังพระราชวังหลวง ส่วนแม่เฒ่าบุปผาสีเงินและองค์ราชาก็ตามมาขณะที่คนอื่นๆในอาณาจักรเทียนเซวี่ยนก็ตามมาเป็นลำดับซึ่งเป็นเหล่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสนโหยวขั้นสูงสุด, แม่ทัพ, และกลุ่มทหารอีกมากมาย
ทุกๆคนเดินกลับพระราชวังหลวงด้วยแถวขบวนที่พิลึกๆซึ่งทำให้เมือเซวี่ยนเทียนเกิดความโกลาหลขึ้นผู้คนมากมายมองออกมาผ่านหน้าต่างและซอกซอยเล็กๆ เจียงอี้, หยุนเฟยและหยุนเสียนกำลังเดินอยู่ข้างหน้าองค์ราชาและแม่เฒ่าบุปผาสีเงิน มันไม่มีอะไรผิดพลาดใช่ไหม?
เมื่อหยุนเฟยและหยุนเสียนเดินอยู่ฝ่ามือและหลังของพวกเขาก็เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เย็นเยียบ พวกเขารู้สึกอึดอัดและไม่ปกติ เมื่อมองไปที่แผ่นหลังที่วางมาดของเจียงอี้ ดวงตาของพวกเขาก็เกิดความซับซ้อนมากมาย
สามสิบนาทีต่อมาพวกเขาก็มาถึงพระราชวังหลวง หยุนฉิงเทียนได้สั่งแม่ทัพให้ไปจัดการความวุ่นวายอย่างเงียบๆ, ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ, และทำให้ประชาชนสงบลง เขาและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินต้อนรับเจียงอี้เข้าโงราชวังและแม้แต่องค์ราชาก็ยังให้เจียงอี้ขึ้นนั่งบัลลังก์ของเขา มันคือการเคารพเขาอย่างถึงที่สุด
เจียงอี้บังเอิญนั่งบนบัลลังก์อย่างไม่คิดอะไรเขามองผู้คนที่ยืนอยู่และโบกมือ “ทุกคนนั่งลงเถอะ ข้ารู้ว่ามีหลายสิ่งที่พวกเจ้าต้องการถาม แต่ข้ามีบางอย่างที่ต้องการพูดเสียก่อน แม้จะเป็นความจริงที่ว่าข้าได้ต่อสู้กับกองทัพอาณาจักรเทียนเซวี่ยน, ข้าสังหารคนของอาณาจักรพวกเจ้าไป, ราชินีแม่มดวางแผนจัดฉากที่จะสังหารข้าในครั้งนี้และแม่เฒ่าบุปผาสีเงินเกือบสังหารข้า….ข้าจะให้มันแล้วกันไป ตราบใดที่ข้ายังไม่ตาย ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อปกป้องตระกูลหยุนของพวกเจ้า ข้ามีเพียงสองสิ่งที่จะขอ หนึ่ง หยุนเสียนต้องเป็นรัชทายาทและหยุนเฟยจะต้อง….อภิเษกกับจ้านอู๋ซวง!”