เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 377 รั่วเสวี่ยอยากให้กำเนิดบุตรเจ้า
- Home
- เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven
- บทที่ 377 รั่วเสวี่ยอยากให้กำเนิดบุตรเจ้า
บทที่ 377 รั่วเสวี่ยอยากให้กำเนิดบุตรเจ้า
สามารถติดตามข่าวสารได้ที่แฟนเพจ: แปลได้แล้ว
หยุนเฟยพาเจียงอี้ไปยังพระราชวังที่หรูหราด้านในขณะที่หยุนเสียนและผู้อาวุโสเฮ่อตามหลังมา ตลอดทางนั้นมีสาวใช้และขันทีคอยติดตามพวกเขามา ในขณะที่เจียงอี้มองรอยยิ้มที่ระแวงและเย้ยหยันจากสาวใช้ในวังและขันทีเหล่านั้น มันทำให้เขาไม่มั่นใจว่าเขาควรจะร้องไห้หรือหัวเราะดี
มันเป็นพระราชวังหลวงเดิมแต่เมื่อคืน เขากับผู้อาวุโสเฮ่อนั้นต้องแอบเข้ามาขณะที่หัวใจแทบจะหลุดออกจากคอแล้ว แต่ในคืนเดียว สถานการณ์ก็พลิกผันไปอย่างสิ้นเชิง ในเวลานี้ เขาเป็นเหมือนจักรพรรดิที่รามือแล้ว เขาเดินไปรอบๆพระราชวังอย่างเป้อเย้อเป้อหยัน
แข็งแกร่ง!
ในขณะนี้ความกระหายในความแข็งแกร่งของเขานั้นมีมากยิ่งขึ้น โลกนี้ช่างโหดร้ายเหลือเกิน หากผู้ใดต้องการมากขึ้น ผู้นั้นก็จะต้องพยายามต่อไปเรื่อยๆ และแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ!
ตราบใดที่ผู้หนึ่งสามารถยืนหยัดเหนืออื่นใดได้คนผู้นั้นก็สามารถเป็นผู้ครองโลกนี้
”จอมพล…”
หลังจากเข้าไปในพระราชวังหยุนเฟยก็เรียกชื่อเขาอย่างงุ่มง่าม เจียงอี้ยิ้มเบาๆ “หยุนเฟย เจ้าเรียกข้าว่าเจียงอี้ก็พอ เราเป็นสหายกัน ในภายหน้า เจ้าก็จะได้เป็นพี่สะใภ้ข้านะ ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าจอมพลเลย”
ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของหยุนเฟยเขินอายยิ่งขึ้นนางให้บ่าวถอยออกไปก่อนที่จะถามว่า “เขาสบายดีไหม?”
“ข้าไม่แน่ใจ!”
เจียงอี้ยิ้ม“วันที่ซูรั่วเสวี่ยขึ้นครองบัลลังก์ อู๋ซวงมาหาข้า เขาอยากให้ข้าช่วยกำจัดหยุนลู่และช่วยให้น้องชายเจ้าขึ้นครองบัลลังก์ เจ้าน่าจะได้ยินข่าวการต่อสู้กันในป่าอเวจีแล้วใช่ไหม? เป็นอู๋ซวงที่วางแผนการนั้น อย่างไรก็ตาม หยุนลู่ก็พยายามหลบหนีจนถึงที่สุด หยุนลู่กับข้าต่างก็เข้าไปยังพื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์และสุดท้ายเขาก็ถูกข้าฆ่าและข้าก็ได้สืบมรดกจอมเวทย์”
“หลังจากที่ข้าออกมาข้าได้รับข้อมูลว่าราชินีแม่มดต้องการจะทำร้ายเจ้า ดังนั้นข้าจึงรีบเร่งมาอยู่หลายคืน อู๋ซวงคงจะยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่ เขาจะต้องอยู่ไม่สุขเหมือนแมวที่อยู่บนหลังคาร้อนเป็นแน่ ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“โอไม่นะ เขาคงจะไม่ทำอะไรโง่ๆจนไปถึงจุดที่ไม่คิดหน้าคิดหลังและบุกมามาที่นี่ใช่ไหม?”
เมื่อหยุนเฟยได้ยินเรื่องนี้นางก็ค่อนข้างเป็นกังวล ผู้อาวุโสเฮ่อจึงเดินมาอย่างเร่งรีบและพูดว่า “องค์หญิง ไม่จำเป็นต้องกังวลไป ในตอนที่เดินทางมายังพระราชวังแห่งนี้ ข้าได้ให้คนไปส่งจดหมายถึงประมุขน้อยแล้วขอรับ”
ส่วนหยุนเสียนนั้นหลังจากที่ตัวเขาเข้ามาเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรเลย อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงจ้องมองเจียงอี้ด้วยสายตาเลื่อมใส เขาและเจียงอี้นั้นอายุเท่ากัน แค่รู้สึกว่าเจียงอี้มาจากโลกที่แตกต่างเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาได้ทำลงไป
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆขณะที่โค้งคำนับด้วยมือที่ประสานกันก่อนที่จะพูดอย่างจริงใจ“หยุนเสียนขอบคุณความเมตตาของท่านจอมพล หากมีโอกาสครองราชย์ ข้าจะไม่ทำให้ท่านจอมพลผิดหวัง”
เจียงอี้โบกมือแล้วตอบว่า“หยุนเสียน เจ้าไม่จำเป็นต้องทำตัวสุภาพนัก ในภายภาคหน้า แค่เรียกข้าว่าเจียงอี้เฉยๆก็พอ พี่สาวเจ้ากับข้าเป็นสหายกัน และข้ายังเป็นพี่น้องของพี่เขยเจ้าด้วย เราอาจจะถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันก็ได้ ฮ่าฮ่า”
ใบหน้าที่งดงามของหยุนเฟยเปลี่ยนเป็นแอปเปิ้ลสีแดงอีกครั้งหยุนเสียนนั้นไม่ใช่คนหยิ่งยโสและมีความรู้สึกชื่นชอบเจียงอี้มากมายนัก ในช่วงเวลานี้ บรรยากาศในพระราชวังนั้นเต็มไปด้วยความปรองดองและสุขใจ
หลังจากพักอยู่ในพระราชวังมาเป็นวันๆในช่วงมื้อเที่ยงและมื้อค่ำนั้น องค์ราชาจะพากลุ่มขุนนางของเขาไปเลี้ยงสังสรรค์กับเจียงอี้อย่างเป็นพิธีการ บรรยากาศในงานเลี้ยงก็ดูปรองดองกันเป็นอย่างมาก ผู้คนชั้นสูงในอาณาจักรเทียนเซวี่ยนก็ยังยอมรับเจียงอี้จากใจและพวกเขาพยายามโน้มน้าวและผูกมัดเขาไว้
เจียงอี้ก่อความเสียหายไว้อย่างรุนแรงในเมืองเซวี่ยนเทียนและสังหารผู้เชี่ยวชาญของอาณาจักรไปมากมายในครั้งนี้แถมเขายังสังหารราชินีแม่มดอีกด้วย แต่ทุกคนดูเหมือนจะลืมเรื่องราวเหล่านี้ไปจนสิ้นเมื่อพวกเขาชนแก้วสังสรรค์กันและปฏิบัติต่อเจียงอี้อย่างกระตือรือร้นราวกับพี่น้องสายเลือดเดียวกันซึ่งทำให้เขาไม่มั่นใจว่าควรจะทำตัวเช่นไรดี
ในวันถัดมาเจียงอี้ก็ออกเดินทางกลับไปยังอาณาจักรต้าเซี่ย ในครั้งนี้มันไม่จำเป็นต้องขี่เถาอู้กลับไปเพราะหยุนฉิงเทียนได้สั่งการแม่ทัพให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวร้อยคนขี่สัตว์วิญญาณเพื่อพาเจียงอี้กลับไปด้วยตัวเอง หยุนฉิงเทียนยังพาคณะขุนนางของเขาไปเพื่ออำลาเจียงอี้ด้วยตัวเองเช่นกัน
สัตว์วิญญาณทางอากาศที่เขาขี่อยู่นั้นเป็นสัตว์อสูรระดับสามที่มีชื่อว่ามังกรเงินหกปีก มันเป็นสัตว์อสูรที่อาณาจักรเทียนเซวี่ยนสร้างขึ้นมาอย่างลับๆ การโจมตีของมันอาจจะอ่อนแอ แต่ความเร็วในการบินของมันก็ยังพอใช้ได้ สิ่งที่สำคัญคือมันสะดวกสบายและน่าอภิรมย์มากขึ้นเมื่อเทียนกับเถาอู้ที่เดินทางอยู่ใต้ดินตลอดทั้งวัน
…
เหตุการณ์ที่เจียงอี้ไปสร้างหายนะในอาณาจักรเทียนเซวี่ยนนั้นได้แพร่ออกไปทั่วพิภพอย่างรวดเร็วอย่างไรก็ตาม เนื่องจากหยุนฉิงเทียนปกปิดเรื่องข่าวนี้ภายใต้คำสั่งของเจียงอี้ ข้อมูลที่แพร่ออกไปจึงไม่ใช่เรื่องจริง
อย่างไรก็ตามยังมีบางสิ่งที่ยังเป็นความจริงอยู่ เช่นที่เจียงอี้สังหารผู้คนมากมายในอาณาจักรเทียนเซวี่ยนและยังกำจัดแม้แต่ราชินีแม่มดต่อสาธารณะ สุดท้าย แม้แต่แม่เฒ่าบุปผาสีเงินและองค์ราชาก็ยังปรากฏตัวขึ้นในขณะที่ราชันสัตว์อสูรที่น่าเกรงขามปรากฏขึ้นในเมือง อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่ได้ทำการต่อสู้กันและไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น และในตอนนี้ เจียงอี้ก็ยังอยู่ภายใต้การคุ้มครองของผู้เชี่ยวชาญอาณาจักรเทียนเซวี่ยนขณะที่เขากำลังบินกลับไปยังอาณาจักรต้าเซี่ย
ชื่อของเจียงอี้นั้นกลับมาสู่ยุทธภพอีกครั้งชื่อเล่น ‘เทพแห่งโรคระบาด’ ของเขาก็ยังคงเติบใหญ่ขึ้น ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดที่นั่นก็จะเกิดปัญหา ยิ่งไปกว่านั้นปัญหาเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอาณาจักรเทียนเซวี่ยนนั้นเป็นปริศนาเกินไป ทำไมแม่เฒ่าบุปผาสีเงินจึงไม่ฆ่าเจียงอี้? ในทางกลับกัน นางยังส่งเขากลับอาณาจักรอย่างเคารพ ราชันสัตว์อสูรที่น่าเกรงขามนั่นมาจากที่ใด? และท้ายที่สุดแล้วมันจะไปที่ใด?
มีหน่วยสอดแนมมากมายในเมืองเซวี่ยนเทียนที่มาจากอาณาจักรและตระกูลต่างๆเนื่องจากเมืองนี้ได้บังคับใช้กฎอัยการศึกและปิดผนึกทุกสิ่ง หน่วยสอดแนมเหล่านี้จึงไม่สามารถออกไปได้ และนอกจากนี้ เพื่อปิดเรื่องนี้ หยุนฉิงเทียนได้ส่งคนออกไปเก็บกวาดหน่วยสอดแนมเหล่านี้ ดังนั้น ความจริงมากมายจึงไม่ได้แพร่สะพัดออกไป
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ!
ก็ยังมีผู้คนมากมายที่พยายามคาดเดาข้อเท็จจริงอยู่เช่น เจียงอี้เข้าไปอยู่ในแจกันเขียวพิสุทธิ์หรือไม่ก็แปลงเป็นสัตว์อสูรหยาจื้อซึ่งพวกเขาเชื่อมโยงอะไรไปง่ายๆ
ผู้เชี่ยวชาญที่คาดเดาความจริงนั้นไม่มีทางเลือกนอกเสียจากต้องสอบถามเจียงอี้เหล่าผู้มีอิทธิพลทั้งหมดได้เริ่มเคลื่อนไหวอย่างลับๆเพื่อหาวิธีการตอบโต้และรับมือ สามปีนั้นอาจจะเป็นเวลาสั้นๆ แต่…สำหรับเจียงอี้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเวลาที่นานมาก? หากเขายังคงพัฒนาไปเรื่อยๆเช่นนี้ เหล่าผู้มีอิทธิพลอื่นๆอาจถูกปรามโดยเจียงอี้ในอีกสามปีข้างหน้าได้!
เจียงอี้เพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกภายนอกและนั่งอยู่บนมังกรเงินที่องค์ราชาเท่านั้นที่สามารถขี่มันได้กลับไปยังเมืองเซี่ยยวี่เพราะการบินเป็นทางตรงโดยไม่มีสิ่งใดมาขัดขวางเขา เจียงอี้จึงใช้เวลาหาที่ทางหลับนอนในเมือง และในเวลาเพียงครึ่งเดือน เมืองเซี่ยยวี่ก็ค่อยๆปรากฏขึ้นมาในทิวทัศน์ของเขา
โฮกโฮก!
มังกรสีเงินกว่ายี่สิบตัวหมุนวนอยู่รอบท้องฟ้าในที่สุดพวกมันก็ลงไปยังจัตุรัสวังหลวง จัตุรัสนั้นเต็มไปด้วยผู้คนขณะที่ซูรั่วเสวี่ยได้นำขุนนางและแม่ทัพของอาณาจักรต้าเซี่ยรวมทั้งจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนมาต้อนรับเจียงอี้ด้วยตัวเอง
“รั่วเสวี่ย!”
เจียงอี้สวมเสื้อคลุมปักลายสีเขียวขณะที่เขายืนอยู่เหนือมังกรสีเงินผมสีแดงของเขาปลิวไปมาขณะที่เสื้อคลุมของเขาสะบัดอยู่ในสายลม
เขาไม่ได้สนใจคนอื่นๆและไม่ได้มองไปที่จ้านอู๋ซวงหรือเฉียนว่านก้วนเลยดวงตาของเขาจับจ้องไปยังซูรั่วเสวี่ย เขากระโดดอย่างกะทันหันและค่อยๆลงมาหาซูรั่วเสวี่ย การกระทำของเขานั้นสง่างามราวกับเป็นผู้อมตะจากสวรรค์ก็ไม่ปาน
“น้อมคำนับท่านอุปราช!”
เหล่าขุนนางที่อยู่ด้านหลังซูรั่วเสวี่ยคุกเข่าลงข้างหนึ่งขณะที่พวกเขาตะโกนออกมาหลังจากนั้น ทหารหลวงรอบๆก็คุกเข่าลงเช่นกัน และคนอื่นๆต่างก็พากันคุกเข่าลงตามๆกันมาเช่นกัน ใบหน้าของพวกเขานั้นเต็มไปด้วยความเคารพและเลื่อมใส
พวกเขานับถือเจียงอี้อย่างใจจริงและยอมรับอุปราชของเขาเฉกเช่นราชา!
เจียงอี้ลงมาถึงพื้นดินและมองตรงไปยังซูรั่วเสวี่ยที่มีใบหน้าที่ซูบผอมลงอย่างเห็นได้ชัดใบหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดขณะที่ยิ้มเบาๆ “รั่วเสวี่ย ข้ากลับมาแล้ว ข้าทำให้เจ้าเป็นห่วงข้ามากแน่ๆ!”
ซูรั่วเสวี่ยยังคงสงบอยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งเมื่อเจียงอี้พูดออกมานางก็ไม่สามารถระงับความรู้สึกภายในใจของนางได้อีกต่อไป
นางกระโจนเข้าสวมกอดเจียงอี้ต่อหน้าขุนนางและพลเมืองทั้งหมดนางกอดเขาแน่นพร้อมใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาและกล่าวว่า “เจียงอี้ มาอภิเษกกันเถอะ! รั่วเสวี่ยอยากให้กำเนิดบุตรเจ้า มีบุตรหลายๆคน ด้วยวิธีนี้ แม้ว่าเจ้าจะไม่อยู่เคียงข้างข้า รั่วเสวี่ยก็จะยังมีชีวิตอยู่ต่อไป….”
“อภิเษก?”
เมื่อเจียงอี้รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่อยู่ภายในใจด้วยความจริงใจอย่างสุดซึ้งจากหญิงสาวในอ้อมแขนของเขาเจียงอี้ก็เกิดความรู้สึกผิดในใจ เขาพยักหน้าและตอบว่า “แน่นอน เราจะอภิเษกกัน! รั่วเสวี่ย ข้าจะจัดงานอภิเษกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดให้เจ้า!”