เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 391-392
บทที่ 391 วายุคณนานับ
“นี่…”
เจียงอี้ลังเลหากว่ามันเป็นเพราะเขาที่พาหลบหนี เขาก็คงจะพูดได้ แต่เขาไม่ได้ต้องการบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจียงเสี่ยวนู๋
ดังนั้นเขาจึงอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับทุกสิ่งเรื่องที่ปีศาจทะเลโจมตีพวกเขา แต่เขาต้องปกปิดในเรื่องที่พวกเขาหลบหนีมา เขาโค้งคำนับแล้วกล่าวขอโทษ “นายหญิง เรื่องราวมันเป็นเช่นนี้แหละ ส่วนเรื่องที่ข้าหนีมาได้อย่างไรนั้น อภัยให้ข้าด้วย ข้าไม่สามารถพูดมันออกมาได้!”
“อืม”
สุ่ยโย่วหลานไม่คิดว่ามันแปลกเพราะอีเพียวเพียวนั้นมีความลับมากมายกับนางขณะที่เจียงอี้เองก็สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของเขาจากคนไร้ค่าขอบเขตฉูติ่งขั้นแรกเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของทวีปได้เขาก็คงมีความลับมากมายเช่นกัน นางจึงไม่ได้ถามอะไรมากไป
นางพึมพำครู่หนึ่งก่อนที่จะถามอีกครั้งว่า“เจียงอี้ เจ้าสามารถบอกได้ไหมว่าหญิงสาวที่เจ้าเห็นในโลงศพโบราณนั้นตายแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่? คิดให้ดีนะ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก”
“ข้าไม่แน่ใจ!”
เจียงอี้พยายามนึกแต่ก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า“ข้าเหลือบมองไปเพียงไม่กี่ครั้งแล้วข้าก็พยายามใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ แต่โลงศพโบราณมันส่องไปด้วยแสงสีขาว และโจมตีดวงจิตข้า ข้าเลยไม่รู้ว่าหญิงผู้นั้นตายไปแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ แต่ข้าสัมผัสได้ถึงร่องรอยของชีวิต”
“เป็นอย่างนี้เอง!”
สุ่ยโย่วหลานถอนหายใจเล็กน้อยแล้วพูดว่า“สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของข้าก็ไม่สามารถตรวจสอบได้เช่นกัน อาคมของโลงศพโบราณนั่นทรงพลังเกินไปและพลังสายฟ้าด้านบนนั้นจะจู่โจมเมื่อสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าใกล้มัน มันจะไม่อันตรายเลยหากว่าหญิงผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่”
“แต่ข้าเกรงว่านางจะเป็นศพโบราณพันปีซึ่งกำลังใช้พลังสายฟ้าทำให้ร่างกายของนางคงที่ แต่มันจะร้ายแรงหากนางดูดซับพลังชีวิตและแก่นแท้พลังทั้งหมดที่ก้าวเข้าไปในทะเลมรณะอย่างไม่ได้ตั้งใจ หากนางยังไม่สามารถฟื้นคืนชีพได้หลังจากที่ดูดซับพลังชีวิตไปแล้ว…ทั้งทวีปจะต้องประสบภัยพิบัติขั้นสูญพันธุ์ได้เลย”
เจียงอี้พยักหน้าด้วยการแสดงออกที่จริงจังทะเลมรณะไม่มีสิ่งมีชีวิตที่รอดออกมาได้และสิ่งมีชิตใดที่หลงเข้ามาโดยบังเอิญก็จะหวายทะเลกลืนกินในที่สุด และพลังชีวิตทั้งหมดก็จะไหลเข้าสู่โลงศพโบราณและถูกผู้หญิงคนนั้นดูดซับ
ไม่สำคัญว่านางจะตายหรือยังมีชีวิตอยู่นางต้องกำลังฝึกศาสตร์ชั่วร้ายมากเป็นแน่! ภายภาคหน้าข้าจะไม่ต้องเข้าไปใกล้นางอีก
เจียงอี้คิดในใจแล้วเงยหน้าขึ้นพูดคุยกับสุ่ยโย่วหลาน“นายหญิง พื้นที่ทะเลนี้ ปกติแล้วปีศาจทะเลมีการก่อจลาจลบ้างหรือเปล่าขอรับ?”
“ฮ่าๆ!”
สุ่ยโย่วหลานหัวเราะเบาๆแล้วพูดว่า“ข้ารู้ว่าเจ้าพยายามจะถามอะไร เรื่องที่เกิดขึ้นนี้คงมีผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง นอกจากนี้ คนผู้นี้คงเดาไม่ยากเท่าไหร่นัก มีเพียงสองคนเท่านั้นที่มีพลังที่จะยั่วยุราชันปีศาจทั้งสามได้โดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆไว้ หนึ่งในนั้นคือเจ้าเฒ่าแห่งจักรวรรดิมังกรเวหา และอีกคนคือหลินกงกงที่ครอบครองสัมผัสลี้ลับและเม็ดยาล่องหน ทั้งสองคนนี้เป็นผู้ต้องสงสัย และ…อย่าได้คิดที่จะพยายามหาหลักฐานเลย หากตาเฒ่าพวกนั้นกล้าที่จะลงมือ พวกเขาย่อมไม่ทิ้งหลักฐานไว้หรอก”
“บรรพบุรุษเฒ่าตระกูลหลิง?ขันทีเฒ่า?”
ดวงตาของเจียงอี้เผยอายสังหารออกมาหากไม่ใช่เพราะเจียงเสี่ยวนู๋ พวกเขาทั้งสามก็คงจะตายไปแล้ว เขาตัดสินใจที่จะชำระแค้นนี้ไม่ช้าก็เร็ว และได้เดาไว้ว่าหลินกงกงน่าจะเป็นผู้ที่ทำเรื่องเช่นนี้ มีเพียงชายก็ไม่ใช่หญิงก็ไม่เชิงเท่านั้นที่ชอบลอบกัดเช่นนี้
“นายหญิงท่านมีลานซ้อมวรยุทธที่นี่หรือไม่?” จู่ๆเจียงอี้ก็ถามแปลกๆซึ่งทำให้สุ่ยโย่วหลานตกใจ นางลุกขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “ตามข้ามา”
สุ่ยโย่วหลานเดินออกจากโถงใหญ่ในขณะที่ฝ่ามือของนางปล่อยแก่นแท้พลังสีฟ้าออกมาและเหวี่ยงมันด้วยมือของนางพื้นที่ใกล้ๆนี้มีม่านพลังสีฟ้าห่อหุ้มไว้ จากนั้นนางก็พูดอย่างคลุมเครือ “นี่เป็นลานซ้อมวรยุทธแล้ว เจ้าสามารถปล่อยการโจมตีได้ หากเจ้าสามารถเจาะเกราะป้องกันของข้าได้ เจ้าอาจจะเป็นผู้ที่เหลือเชื่อไปเลย”
“เอาล่ะ!”
เจียงอี้ตัดเรื่องไร้สาระทั้งหมดทิ้งไปและปลดปล่อยการโจมตีรูปแบบเต๋าด้วยดาบมังกรเพลิงออกมามังกรเพลิงนับหมื่นถูกปลดปล่อยออกมาซึ่งปะทะกับเกราะป้องกันอย่างต่อเนื่อง
“นี่…”
สุ่ยโย่วหลานเผยความประหลาดใจออกมานางมองมังกรเพลิงเหล่านี้และมีท่าทีประหลาดก่อนจะพูดว่า “เจียงอี้ รูปแบบเต๋าระดับกลางของเจ้าคือวายุคณนานับ เจ้าแปลงมันมาจากรูปแบบเต๋าขั้นต่ำหรือว่าเจ้าเข้าถึงมันโดยตรงเลย?”
“นี่เป็นรูปแบบเต๋าขั้นกลางจริงหรือ?มันเรียกว่าวายุคณนานับ? รูปแบบเต๋าขั้นต่ำสามารถหลอมรวมเป็นขั้นกลางได้จริงๆหรือ?” เจียงอี้ตกใจเล็กน้อยขณะที่อธิบายว่า “นายหญิง ข้าเข้าถึงรูปแบบเต๋านี้โดยตรงเลย”
“อัจฉริยะแห่งสวรรค์นี่มันอัจฉริยะแห่งสวรรค์!”
สุ่ยโย่วหลานคร่ำครวญออกมาสองครั้งแต่นางก็เข้าใจบางอย่างได้ทันทีและถอนหายใจ“แม่นางอีเพียวเพียวอยู่ขั้นที่ห้าของขอบเขตจินกังได้ในอายุเพียงสิบเจ็ดปี ส่วนเจียงเปี๋ยหลียังเป็นอัจฉริยะที่ปรากฏขึ้นในรอบหมื่นปีที่ผ่านมา แล้วจะให้พวกเขาทั้งสองกำเนิดบุตรที่เป็นสามัญได้เช่นไร?”
หลังจากคร่ำครวญเสร็จนางก็พูดกับเจียงอี้ “เจียงอี้ ข้ามีของสะสมอยู่ในหอตำราที่นี่ มันมีการแนะนำรูปแบบเต๋าอยู่ที่นั่น และยังมีชื่อและคำอธิบายอยู่ใต้รูปแบบเต๋าขั้นต่ำและกลางหลายรูปแบบ หากเจ้ามีเวลาเจ้าสามารถไปดูได้ แน่นอนว่ามันไม่มีรูปแบบเต๋าขั้นสูงในหอตำราเพราะไม่มีใครในประวัติศาสตร์ของทวีปเทียนชิงสามารถหลอมรวมมันได้ แม้แต่ราชันสวรรค์เหล่านั้นก็ยังเข้าถึงและหลอมรวมรูปแบบเต๋าขั้นกลางได้ประมาณสามรูปแบบเท่านั้น”
“ขอรับ!”
สิ่งที่เจียงอี้ขาดคือทฤษฎีและความรู้เหล่านี้ในอดีตนั้นไม่มีผู้ใดสอนเขา และเขาต้องพึ่งพาตัวเองในการลองผิดลองถูก หากเขาสามารถศึกษารายละเอียดได้ อย่างน้อยเขาก็จะได้มีทิศทางในการบ่มเพาะพลังในภายภาคหน้าได้
หลังจากยืนยันเรื่องนี้แล้วเขาก็ถามถึงสิ่งสุดท้ายที่เขามายังเกาะดาวตก“นายหญิง ท่านรู้วิธีขุดสายแร่ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?”
“สายแร่ศักดิ์สิทธิ์?”
มีสายตาที่เข้มงวดออกมาจากดวงตาสุ่ยโย่วหลานก่อนที่นางจะรีบพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า“เจียงอี้ เจ้าคิดจะขุดสายแร่ศักดิ์สิทธิ์ของต้าเซี่ยใช่ไหม? ไม่มีทาง! เจ้าห้ามทำลายอนาคตของตัวเอง หากเจ้าสามารถเข้าถึงรูปแบบเต๋าขั้นกลางได้ มันก็หมายความว่าอนาคตเจ้านั้นจะไร้ขอบเขต แก่นแท้พลังนั้นง่ายที่จะบ่มเพาะขณะที่รูปแบบเต๋านั้นยากที่จะหยั่งถึง หากเจ้าบำเพ็ญสักสิบปีหรือยี่สิบปี เจ้าอาจจะทะลวงไปสู่ขั้นสุดท้ายและกลายเป็นราชันสวรรค์! เจ้าอาจจะทำลายขีดจำกัดและบรรลุไปขอบเขตที่สูงกว่านี้ได้เลยด้วยซ้ำ!”
“สิบปี?ยี่สิบปี?”
เจียงอี้หัวเราะอย่างขมขื่นเขามีสัญญาสามปีและมีสัญญาใหม่สามปี เขาจะต้องไปให้ถึงจุดสูงสุดของขอบเขตจินกังให้ได้ภายในสามปีและเขาจะต้องตามหาทวีปจักรพรรดิบูรพาอีก ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีโอกาสได้พบอีเพียวเพียวอีกต่อไป
ดังนั้นมันไม่สำคัญว่าอนาคตเขาจะเป็นอย่างไรเจียงอี้ไม่จำเป็นต้องพิจารณาเรื่องพวกนี้อีกต่อไปหากเขาสามารถกลายเป็นราชันสวรรค์ได้หรือหากว่าเขาจะสามารถปีนขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของเต๋าวรยุทธ ‘การกังวลกับมันเมื่อมันเกิดขึ้น’ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของเขามาเสมอ!
“นายหญิงข้าขอร้องท่านช่วยบอกวิธีการขุดสายแร่ศักดิ์สิทธิ์แก่ข้าเถิด ได้โปรด!”
เจียงอี้โค้งคำนับอย่างลึกซึ้งตราบใดที่สุ่ยโย่วหลานไม่ตอบเขา เขาก็จะอยู่เช่นนี้ และเขานั้นก็เด็ดเดี่ยวมาก ดวงตาของสุ่ยโย่วหลานกระพริบเล็กน้อยและถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เอาล่ะ แม่ของเจ้านั้นเป็นที่โปรดปรานมาก สำหรับหอดาราสุ่ยเยว่ ข้าไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเจ้าได้มากนัก อย่างไรก็ตาม ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธเรื่องเล็กๆน้อยๆเช่นนี้ เจ้าไปคิดเรื่องนี้มาสามวัน หากเจ้ามั่นใจว่าเจ้ายังต้องการมันหลังจากสามวันผ่านไป ข้าจะให้วิธีการขุดสายแร่ศักดิ์สิทธิ์ก็แล้วกัน”
“ขอบคุณนายหญิงมากขอรับ”
เจียงอี้พยักหน้าเจียงเสี่ยวนู๋นั้นต้องใช้เวลาในการพักฟื้นเช่นกัน ดังนั้นเขาจะต้องอยู่ในเกาะดาวตกระยะหนึ่ง เมื่อเจียงเสี่ยวนู๋ฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์เมื่อไหร่ พวกเขาค่อยกลับไปยังอาณาจักรต้าเซี่ย
สุ่ยโย่วหลานโบกมือแล้วเรียกผู้อาวุโสมาคอยจัดการกับเจียงอี้ก่อนที่นางจะกลับไปยังศาลาฟ้ากระจ่าง
ส่วนเจียงอี้นั้นไม่ได้ไปยังที่พักใดๆและกลับไปยังจัตุรัสที่หน้ารูปปั้นหยกขาวเขายืนเงียบอยู่นาน ซึ่งตลอดเวลาเขาก็จะยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
สองชั่วโมงต่อมาดวงตาของเขาก็มุ่งมั่นอย่างผิดปกติ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่จะได้ยิน “ท่านแม่ รอลูกคนนี้ก่อนนะ ข้าจะไปหาท่านอย่างแน่นอน”
บทที่ 392 เต๋าเบญจธาตุ, เต๋าฟ้าดิน!
เจียงอี้ตัดสินใจพักอยู่ในเกาะดาวตกเป็นการชั่วคราว เขานำเจียงเสี่ยวนู๋และผู้อาวุโสเฮ่อออกมาจากแจกันเขียวพิสุทธิ์ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้สัตว์อสูรหยาจื้อออกไปพักผ่อนบนเกาะในบริเวณใกล้เคียง
เวลานี้เจียงเสี่ยวนู๋ยังคงหลับใหล ดังนั้นเจียงอี้จึงขอให้คนของหอดาราสุ่ยเยว่อาบน้ำและเปลี่ยนชุดใหม่ให้กับนาง
อีกด้านหนึ่ง สุ่ยโย่วหลานก็ยังส่งคนมาสอบถามว่าต้องการให้เจียงเสี่ยวนู๋เข้ารับการตรวจสอบสภาพร่างกายหรือไม่ แน่นอนว่าเขาย่อมปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด
จังหวะการหายใจของเด็กสาวกลับมาเป็นปกติแล้ว เจียงอี้จึงคาดการณ์การว่านางจะตื่นขึ้นในอีกไม่ช้า ขณะเดียวกันเขาก็เน้นย้ำกับผู้อาวุโสเฮ่อไม่ให้เผยแพร่สิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ออกไป
ในวันนั้น เหล่าผู้อาวุโสและลูกศิษย์ที่โดดเด่นในรุ่นปัจจุบันของหอดาราสุ่ยเยว่ได้เชื้อเชิญเจียงอี้กับผู้อาวุโสเฮ่อให้เข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำในนามของสุ่ยโย่วหลาน
ภายในงานเลี้ยง มีหญิงสาวสองสามคนที่จ้องมองเจียงอี้ตลอดเวลา เห็นได้ชัดว่าพวกนางกำลังแสดงออกว่าสนใจเขาเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าเขาจะมีเรื่องบาดหมางกับสุ่ยเชียนโหรวมาก่อน แต่พวกนางก็หาได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขาไม่ อีกทั้งยังแสดงออกว่าต้องการผูกมิตรกับเขา
ในโลกใบนี้ความแข็งแกร่งคืออำนาจสูงสุด ในขณะเดียวกันหญิงสาวมากมายก็มักจะหลงใหลในตัวอัจฉริยะผู้ซึ่งมีอนาคตใกล้และมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในภายภาคหน้า
แม้ว่าเจียงอี้จะไม่ได้หล่อเหล่ามากนัก แค่เขากลับมีลักษณะของวีรบุรุษครบถ้วน หากให้กล่าวตามตรง กลิ่นอายที่ร่างกายของเขาเผลอปล่อยออกมาแบบไม่ตั้งใจก็ไม่ใช่สิ่งที่เหล่าคุณชายจากตระกูลใหญ่จะเทียบได้แล้ว!
นอกจากนี้เขายังมีชื่อเสียงโด่งดังในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เขาได้สร้างตำนานไว้มากมายซึ่งเรื่องราวเหล่านี้เองที่ทำให้ตัวเขาได้รับความสนใจจากหญิงสาวนับไม่ถ้วน
เจียงอี้มีประวัติที่ค่อนข้างซับซ้อนและยังเก็บกุมความลับบางอย่างไว้ ด้วยอายุเพียงแค่สิบเจ็ดปี เขากลับสามารถสะกดข่มผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวได้ทั้งหมด
ผนวกกับตอนนี้ที่มีผู้ช่วยเป็นถึงราชันสัตว์อสูรหยาจื้อ มันทำให้พลังการต่อสู้โดยรวมของเขาเทียบได้กับยอดฝีมือขอบเขตจินกังทั่วไปเลยทีเดียว
ด้วยพลังต่อสู้ที่เกินสามัญสำนึกทั่วไปและวีรกรรมที่เขาทำไว้มากมายในอดีต ตัวเขาเปรียบได้กับน้ำผึ้งที่กำลังดึงดูดเหล่าลูกศิษย์หญิงของหอดาราสุ่ยเยว่อย่างไม่ขาดสาย
แม้ว่าหญิงสาวส่วนมากจะทราบว่าเจียงอี้มีคนรักอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนว่าพวกนางจะยังไม่ยอมแพ้และยังคงหว่านเสน่ห์ใส่เขาอย่างต่อเนื่อง
การกระทำของพวกนางนั้นชัดเจนมาก ตราบเท่าที่เจียงอี้ยอมเล่นด้วย พวกนางก็พร้อมที่จะพลีกายให้เขาทันที
เหล่าสาวน้อยต่างก็มีความงดงามที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งที่พวกนางมีเหมือนกันนั่นก็คือการได้รับการดูแลจากขุมพลังอันดับหนึ่งอย่างหอดาราสุ่ยเยว่
แต่น่าเสียดายที่เจียงอี้หาใช่คนธรรมดาไม่ ในชีวิตของเขาได้เห็นหญิงสาวที่งดงามมาไม่น้อย แต่ผู้เดียวที่ทำให้หัวใจของเขาสั่นไหวได้มีเพียงจ้าหญิงน้ำแข็งอย่างซูรั่วเสวี่ยเท่านั้น
หลังจากที่รับประทานอาหารเรียบร้อยแล้ว เจียงอี้ก็ตรงไปยังหอตำรา ขณะเดียวกันเขาก็ละความสนใจจากทักษะวิชาระดับพิภพและระดับสวรรค์อย่างสิ้นเชิง
ทักษะเหล่านี้ไม่สามารถเติมเต็มความปรารถนาของเขาได้ แม้ว่าพวกมันจะถูกคิดค้นขึ้นโดยอาศัยแรงบันดาลใจจากการตีความรูปแบบเต๋า แต่พวกมันกลับปราศจากร่องรอยของแก่นแท้เต๋าที่แท้จริง หากว่าฝืนฝึกไป บางทีมันอาจจะทำให้เขาเข้าสู่เส้นทางผิดก็เป็นได้
ดังนั้นเจียงอี้จึงไม่ลังเลที่จะเดินขึ้นไปบนชั้นสูงสุดของหอตำราและเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับรูปแบบเต๋า
เป็นไปตามคาด มันมีอยู่ไม่มากนัก!
อย่างไรก็ตาม เจียงอี้ยังคงใช้เวลาถึงสองวันเต็มในการอ่านและจดจำพวกมันทั้งหมด สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ที่หอดาราสุ่ยเยว่ใช้เวลานับหมื่นปีในการรวบรวมไว้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ปล่อยให้ช่วงเวลาอันดีงามเช่นนี้หลุดลอยไปเด็ดขาด
ข้อมูลทั้งหมดถูกจำแนกไว้ตามประเภทของรูปแบบเต๋า หลังจากที่เจียงอี้อ่านพวกมันทั้งหมด เขาก็ตระหนักได้ว่าการเดินทางมาเกาะดาวตกในครั้งนี้ช่างคุ้มค่ายิ่งนัก
“รูปแบบเต๋ามีมากมายเหลือคณานับ โลกใบนี้ช่างลึกลับจริงๆ!”
เจียงอี้วางตำราเล่มสุดท้ายลงและพยายามตกผลึกความรู้ทั้งหมดที่ได้รับซึ่งเปรียบได้กับการเปิดโลกทัศน์ใบใหม่ให้กับเขา
ตอนนี้เขารู้สึกว่าความคิดที่มีต่อโลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง มันเต็มไปด้วยความลึกลับ, กฎเกณฑ์และความลึกซึ้ง
ในบันทึกนั้นมีรูปแบบเต๋าอยู่สองชนิด หนึ่งในนั้นคือรูปแบบเต๋าเบญจธาตุซึ่งประกอบไปด้วย โลหะ, ไม้, น้ำ, ไฟและดิน
รูปแบบเต๋าเบญจธาตุนั้นมีเก้าประเภทที่เป็นรูปแบบเต๋าระดับต่ำและมีหกประเภทที่เป็นระดับกลาง
ในทางทฤษฎี มันสมควรมีเต๋าระดับสูงสามประเภทและหนึ่งประเภทสำหรับเต๋าระดับสูงสุด
นอกจากรูปแบบเต๋าเบญจธาตุแล้ว รูปแบบเต๋าอีกชนิดถูกเรียกว่ารูปแบบเต๋าฟ้าดินซึ่งทรงพลังกว่ารูปแบบเต๋าเบญจธาตุมากนัก
มันมีทั้งรูปแบบเต๋าอัสนี, รูปแบบเต๋ามิติ, รูปแบบเต๋ากาลเวลา, รูปแบบเต๋าทำลายล้าง, รูปแบบเต๋าชีวิตและอีกมากมาย
ไม่มีใครทราบตัวเลขที่แน่ชัดว่ารูปแบบเต๋าฟ้าดินมีกี่ชนิดกันแน่ นอกจากนี้เจียงอี้ยังพบว่าสิ่งมีชีวิตสามารถนำเต๋ามาหลอมรวมกันได้
ตามการคำนวณ สามรูปแบบเต๋าระดับต่ำสามารถผสานกันเป็นหนึ่งรูปแบบเต๋าระดับกลาง และสามรูปแบบเต๋าระดับกลางสามารถหลอมรวมกันเป็นหนึ่งรูปแบบเต๋าระดับสูง
เช่นเดียวกัน สามรูปแบบเต๋าระดับสูงสามารถผสานกันเป็นหนึ่งรูปแบบเต๋าระดับสูงสุด!
ตามความรู้ที่เหล่าผู้อาวุโสในอดีตของหอดาราสุ่ยเยว่รวบรวมไว้ได้…
รูปแบบเต๋าคือกฎเกณฑ์และความล้ำลึกของโลก ตราบเท่ามนุษย์เราสามารถตีความพวกมันได้ มันก็เปรียบได้กับการหยิบยืมพลังของธรรมชาติมาใช้ หากมีความเข้าใจมากพอ การเคลื่อนย้ายภูเขาหรือผ่าแยกท้องฟ้าก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เจียงอี้เองก็มีประสบการณ์มาบ้างแล้วเช่นกัน
หลังจากที่การบ่มเพาะพลังสูงขึ้น เพียงแค่ความแข็งแกร่งและขยันหมั่นเพียรนั้นยังไม่เพียงพอ ยิ่งนักสู้มีระดับการบ่มเพาะที่สูงมากเท่าไหร่ ข้อได้เปรียบเดียวในระหว่างที่ทำการต่อสู้กับศัตรูที่อยู่ในระดับเดียวกันนั่นก็คือพรสวรรค์ในการตีความรูปแบบเต๋า ยิ่งผู้ใดเข้าใจมาก คนผู้นั้นก็จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น
นอกจากนี้มีสิ่งมีชีวิตประเภทใดบ้างที่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้? พลังแห่งฟ้าดินสามารถสะกดข่มได้ทุกสิ่ง ดังนั้นยิ่งเข้าใจรูปแบบเต๋าได้มากเท่าไหร่ นักสู้ก็จะยิ่งมีศาสตราวุธที่ใช้สำหรับห้ำหั่นกับศัตรูมากขึ้นเท่านั้น!
ยกตัวอย่างเช่น… กาลเวลา!
ไม่ว่าจะแข็งแกร่งเพียงใด สุดท้ายนักสู้ก็ไม่อาจจะเอาชนะการเสื่อมถอยตามกาลเวลาได้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลก แต่เมื่อยุคสมัยผ่านพ้นไป ท้ายที่สุดพวกเขาก็จะต้องแก่ชราและเลือนหายไปตามกาลเวลาอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
รูปแบบเต๋าที่น่าหวาดกลัวไม่แพ้กันก็คือรูปแบบเต๋ามิติซึ่งมีความสามารถในการบิดเบือนห้วงมิติหรือทำลายสิ่งมีชีวิตได้ในพริบตา
นอกจากนั้นยังมีรูปแบบเต๋าอัสนี ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือเผ่ามนุษย์หรือสัตว์อสูรก็ตาม หากเจอสายฟ้าฟาดใส่ พวกเขาก็ทำได้เพียงรอรับความตายเท่านั้น
“รูปแบบเต๋าช่างเป็นอะไรที่ลึกลับซับซ้อนนัก ข้ากำลังสงสัยว่ารูปแบบเต๋าระดับสูงหรือระดับสูงสุดนั้นมีอานุภาพเช่นไร มันจะทรงพลังถึงขั้นแยกพื้นทวีปออกเป็นสองส่วนได้เลยหรือไม่? อยากรู้จังว่าชั่วชีวิตนี้ ข้าจะสามารถบรรลุถึงระดับนั้นได้หรือไม่กันนะ? แต่ก่อนที่จะเอ่ยถึงเรื่องนั้น ข้าควรหาวิธีเพิ่มพูนพลังให้เร็วที่สุดให้ได้เสียก่อน” เจียงอี้ครุ่นคิดพลางถอนหายใจ
ยอดฝีมือทั้งสามอย่างจูเก๋อชิงหยุน, จักรพรรดินีสัตว์อสูรและสุ่ยโย่วหลานต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าศิลาสวรรค์จะทำให้ความรุ่งโรจน์ในอนาคตของเขาถูกจำกัดไว้ แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขากล่าวย่อมต้องมาจากประสบการณ์ตรงที่สั่งสมมาชั่วชีวิต
“ช่างมันเถอะ! ตอนนี้ผ่านไปสองวันแล้ว ข้าสงสัยว่าเสี่ยวนู๋จะตื่นหรือยัง?”
เจียงอี้ส่ายหัวและสลัดความกังวลใจทั้งหมดทิ้งไป เขาตั้งใจแล้วว่าจะสกัดกลั่นศิลาสวรรค์และแปรสภาพดาวทั้งเก้าดวงภายในตันเทียน
เขาต้องการที่จะดูว่าตัวเองจะแข็งแกร่งขึ้นได้ขนาดไหน หากว่าในอีกสามปี เขาสามารถรอดพ้นจากหายนะไปได้ เขาจะออกเดินทางไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาและตามหาอีเพียวเพียว
เจียงอี้หันหลังและเดินจากไป เขาเดินผ่านศิษย์หญิงสองคนที่เป็นผู้ดูแลความเรียบร้อยภายในหอตำราและมุ่งหน้าไปยังที่พัก
“ฮึ่ม! เจียงอี้ มารับความตายของเจ้าเสีย!”
แต่ทันทีที่เขาออกจากหอตำรา น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเคียดแค้นชิงชังก็ดังขึ้นจากด้านหลัง ผู้ที่ตะโกนออกมาคือหญิงสาวผู้งดงามนางหนึ่ง
นางกวัดแกว่งดาบยาวสีเงินในมือและตั้งใจที่จะโจมตีแผ่นหลังของเจียงอี้อย่างโหดเหี้ยม
แต่ในขณะเดียวกัน การแสดงออกของเจียงอี้ก็ยังคงสงบนิ่งเช่นเดิม เขาหันหลังกลับไปและจ้องมองฝ่ายตรงข้ามพร้อมกับเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ
“แม่นางเชียนโหรว ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”
……