เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 393-394
บทที่ 393 ก้นบวม
ตั้งแต่ที่สุ่ยเชียนโหรวกลับมาจากสงครามราชอาณาจักรนางก็บำเพ็ญมาตลอด สุ่ยโย่วหลานกล่าวไว้ว่าเมื่อใดที่ความแข็งแกร่งของนางบรรลุขั้นสูงสุดขอบเขตเสินโหยวแล้ว นางจะได้หงส์อัคนี นางมีกายวิญญาณสวรรค์ที่มักปรากฏทุกๆล้านปีเท่านั้น ซึ่งมันจึงทำให้การบ่มเพาะพลังของนางนั้นไวยิ่งกว่าจรวด
สถานที่ที่นางบำเพ็ญนั้นเป็นโถงดาวตกและมันยังเป็นสิ่งประดิษฐ์พิเศษที่เป็นของสุ่ยโย่วหลานพลังงานฟ้าดินภายในนั้นแน่นหนากว่าภายนอกหลายสิบเท่า นางเพิ่งจะบุกทะลวงสู่ขอบเขตเสินโหยวได้ ดังนั้นนานจึงออกมาด้วยอารมณ์ที่ปลื้มปริ่มและตั้งใจที่จะได้รับคำชมจากสุ่ยโย่วหลาน
และนางก็ไม่ได้เจอกับสุ่ยโย่วหลานตามที่ผู้อาวุโสของหอดาราสุ่ยเยว่บอกมาคือสุ่ยโย่วหลานออกไปกำลังไปเที่ยวชม ซึ่งมันทำให้ความปลื้มปริ่มของนางเปลี่ยนไปในทันทีและเมื่อได้ยินว่ามีแขกพิเศษบนเกาะดาวตก อารมณ์ของนางก็ยิ่งแย่ลงไปอีก
เจียงอี้!
นางตั้งใจบ่มเพาะพลังไปเพื่ออะไร?ไม่ใช่ว่าเพราะจะแก้แค้นเจียงอี้หรือ? นางไม่เคยประสบความพ่ายแพ้ใดๆตั้งแต่ยังเด็กและผู้ใดจะไม่ปฏิบัติต่อนางราวกับผู้อาวุโสในทุกที่ที่นางไป? การเอาใจที่มากเกินไปของสุ่ยโย่วหลานนั้นทำให้สุ่ยเชียวโหรวเอาแต่ใจและจองหอง
ครั้งแรกที่นางพบกับเจียงอี้กิเลนทมิฬที่อยู่กับนางมาตั้งแต่ยังเด็กได้ถูกสังหารโดยเขา และเขายังทำลายเสื้อคลุมวิหควิญญาณของนางอีก หลังจากนั้นในช่วงสงครามราชอาณาจักร นางก็ได้สัมผัสกับความตายซึ่งเป็นสิ่งที่นางจะไม่มีวันลืมเลือน หากไม่ใช่เพราะการขัดจังหวะของสุ่ยโย่วหลาน นางก็คงจะตายไปแล้ว
นางนั้นไม่เคยชอบบ่มเพาะพลังแต่ก็กลับมาเข้าสู่การบำเพ็ญทันทีหลังจากมาถึงตอนนี้นางมีความสำเร็จเล็กน้อยและออกมาจากการเก็บตัว แต่ข่าวแรกที่นางได้ยินคือเจียงอี้มาเยือนเกาะดาวตกและพักที่นี่ จะไม่ให้นางโกรธแค้นได้อย่างไร?
ความโกรธเคืองในใจนางถูกเทลงในดาบเล่มนี้นางต้องการที่จะสับเจียงอี้เป็นสิบแปดชิ้นเพื่อให้นางได้ปลดปล่อยความทุกข์ทรมานทั้งหมดที่ประสบมา
“ฮึ่ม!”
เจียงอี้เห็นแววตาที่ไม่พอใจของสุ่ยเชียนโหรวซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหารเขาค่อนข้างตื่นเต้นที่นางพยายามฆ่าเขาจริงๆ แต่สุ่ยโย่วหลานและผู้อาวุโสจากหอดาราสุ่ยเยว่นั้นยืนอยู่ข้างๆและไม่เข้ามายุ่งเลย
“ศาสตร์แปรผันดวงจิต!”
ระดับพลังอย่างสุ่ยเชียวโหรวนั้นไม่ต่างอะไรไปจากการบี้มดเลยร่างกายของเจียงอี้เปล่งประกายด้วยแสงสีขาว เขาหายไปจากที่ที่เขายืนอยู่และปรากฏตัวข้างๆสุ่ยเชียนโหรวในวินาทีต่อมา ฝ่ามือของเขาแปรเปลี่ยนเป็นงูพิษและคว้าแขนของนางไว้ ก่อนที่นางจะทันได้โต้ตอบใดๆ นางก็ถูกตรึงข้อมือเอาไว้ด้วยความเร็วสูง สุ่ยเชียนโหรวนั้นรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดและดาบยาวเล่มนั้นซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกปลดและถูกขว้างออกไป มันถูกขว้างเขาไปเสียบในหินซึ่งส่งเสียงเปราะของดาบออกมา
“ฝ่ามือม้วนอาภรณ์”
จากนั้นฝ่ามือของเจียงอี้ก็พันไปรอบๆและมัดมือหยกของสุ่ยเชียนโหรวเอาไว้ ร่างของนางนั้นล้มคว่ำไปด้านหน้าและนางก็แทบจะหน้าคว่ำลงไป
“เจียงอี้ข้าจะฆ่าเจ้า!” สุ่ยเชียนโหรวพยายามยืนอย่างมั่นคงขณะที่มือของนางกลายเป็นเงากรงเล็บนับร้อยซึ่งตรงไปที่เจียงอี้อย่างบ้าคลั่ง
เจียงอี้ไม่แม้แต่จะหลบหรือเลี่ยงไปไหนเขายื่นมือออกมามือเดียวและจับมือของนางได้อย่างง่ายดาย คราวนี้เขาดึงมันอย่างแรงและสุ่ยเชียนโหรวก็ปลิวออกไปและล้มลงไปกับพื้น
“คุณหนูเชียนโหรวข้าเป็นแขกบ้านเจ้า นี่เป็นวิธีที่เจ้าปฏิบัติต่อแขกผู้มาเยือนรึ?”
เจียงอี้กำลังจะรีบไปหาเจียงเสี่ยวนู๋และเขาไม่ได้มีอารมณ์มาเล่นกับสุ่ยเชียนโหรวเมื่อเห็นว่าสุ่ยโย่วหลานอยู่ใกล้ๆ เขาก็คงจะไม่ทำร้ายสุ่ยเชียนโหรวอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังไม่มีความประทับใจที่ดีต่อนางเลยอยู่ดี
“อ๊ากกอ๊าก อ๊ากกกกก!”
สุ่ยเชียนโหรวพยายามยืนขึ้นขณะที่ใบหน้าที่งดงามของนางโกรธมากธนูสีดำปรากฏขึ้นในมือของนางเมื่อแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณสว่างขึ้น นางใช้แก่นแท้พลังเข้าไปในธนูขณะที่ลูกธนูขนดำทะลุผ่านอากาศไป กลิ่นอายเย็นเยียบจากปลายศรนั้นทำให้หัวใจของเจียงอี้สั่นไหว
สุ่ยโย่วหลานนั้นมีสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์มากมายจริงๆ!
เจียงอี้ไม่กล้าป้องกันมันและใช้การย้ายร่างไปที่ด้านหลังสุ่ยเชียนโหรวครั้งนี้ เขาไม่ได้เก็บความรู้สึกตัวเองอีกแล้ว เขายกขาขึ้นและเตะไปรอบตัวนางและกระแทกก้นนางอย่างโหดเหี้ยมพร้อมส่งนางปลิวไปอีกครั้ง
จากนั้นเขาก็ตะโกนออกมาอย่างเยือกเย็น“คุณหนูเชียนโหรว ความแข็งแกร่งของเจ้าไม่แม้แต่จะป้องกันการโจมตีจากข้าได้แม้ต่ครั้งเดียว แม้ว่าเจ้าจะมีสิ่งประดิษฐ์เป็นหมื่นชิ้น ข้าก็ยังจะบดขยี้เจ้าราวกับแมลงได้ เจ้าจะช่วยเลิกลดเกียรติของตัวเองได้หรือยัง?”
“อ๊ากก!เจียงอี้ เจ้ากล้าเตะก้นข้าผู้นี้จริงๆหรอ? ข้าจะฆ่าเจ้า ฆ่าเจ้าซะ!”
สุ่ยเชียนโหรวยืนขึ้นและถูก้นของนางซึ่งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดนางรู้สึกอับอายและโกรธแค้น นางมีสถานะเช่นไร? มีองค์ชายมากมายที่ต้องการจับมือนางแต่ก็ไม่มีโอกาสนั้น แล้วเจียงอี้ก็กล้าที่จะเตะก้นนางจริงๆ?
นางขว้างคันธนูสีดำในมือลงไปที่พื้นด้วยความเกลียดชังและก่อกรงเล็บพุ่งตรงไปยังเจียงอี้อย่างบ้าคลั่งครั้งนี้นางไม่ได้ใช้วรยุทธใดๆและเพียงสุ่มสี่สุ่มห้าตรงไปยังเจียงอี้อย่างบ้าคลั่ง
“ฮึ่ม!”
เจียงอี้โกรธมากมือของเขาเอื้อมออกไปอย่างรวดเร็วและคว้ามือของสุ่ยเชียนโหรวอีกครั้ง คราวนี้เขาตรึงมือทั้งสองของนางไว้ ในขณะเดียวกันก็กระแทกไปที่ช่องท้องของสุ่ยเชียนโหรวและกดลำตัวของนาง จากนั้นมืออีกข้างของเขาก็ตีไปที่ก้นของนางอย่างต่อเนื่อง
แป๊ะ!แป๊ะ! เปี๊ยะ!
เสียงตีนั้นดังกังวานและชัดเจนคราวนี้เจียงอี้ไม่ได้ยั้งมือและใช้กำลังในทุกๆครั้ง และฟาดไปที่ก้นของสุ่ยเชียนโหรวหนักมากจนมันบวม การถูกตีนี้ทำให้นางตะลึงงันและลืมต่อต้านเขาไป
สุ่ยโย่วหลานอาจจะเลี้ยงดูนางอย่างทะนุถนอมและปล่อยให้นางบุ่มบ่ามแทบทุกครั้งแต่นางก็มีความหัวโบราณต่อประเพณีมากๆ สุ่ยโย่วหลานเคยกล่าวกับนางครั้งหนึ่งว่าหากว่านางกล้าประพฤติผิดศีลธรรมก่อนแต่งงาน สุ่ยโย่วหลานจะไม่เห็นนางเป็นธิดาอีก ดังนั้นสุ่ยเชียนโหรวจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก แม้จะมีบุรุษมากมายพยายามเกี้ยวพาราสีนาง แต่นางก็ไม่เคยยอมให้ผู้ใดจับมือเลย แต่ในตอนนี้ เจียงอี้….กล้าที่จะสัมผัสหนึ่งในจุดซ่อนเร้นที่สุดของร่างกายนางและทุบตีมันจริงๆ?
เปี๊ยะ!เปี๊ยะ! เปี๊ยะ!
ส่วนเจียงอี้ก็กำลังตีก้นของนางด้วยความสะใจก้นของสุ่ยเชียนโหรวเด้งมากและเขารู้สึกดีที่ได้ตบมัน เขาตบมันมากกว่าสิบครั้งและหยุดมันก่อนที่เขาจะจับมือนางไว้แน่และโยนนางไปในมุมหนึ่ง เมื่อเขาเห็นนางหันมาจ้องเขาอย่างไม่พอใจ เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไม? ไม่แน่ใจ? ทำไมข้าไม่ใช้มือแค่ข้างเดียวกันนะ? เจ้าสามารถใช้วิธีใดก็ได้ หากเจ้าฆ่าข้าได้ ข้าจะยอมรับว่าเจ้านั้นมีความสามารถ!”
ฮู่ฮู่ว!
สุ่ยเชียนโหรวลุกขึ้นอย่างร้อนรนและจ้องมองที่เจียงอี้ด้วยความเกลียดชังแต่นางก็ตระหนักได้ว่านางไม่ใช่คู่มือของเจียงอี้ แม้ว่าหลังจากที่นางใช้ทุกวิถีทาง นางก็จะยังไม่สามารถทำร้ายเจียงอี้ได้
นางกัดฟันแน่นและกระทืบเท้า“เจียงอี้ รอข้าที่นี่ ข้าจะไปตามท่านยายฮุนและท่านยายเมิ่ง ข้าจะพาพวกนางมาฆ่าเจ้า!”
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!”
เวลาเดียวกับที่สุ่ยเชียนโหรวกำลังจะหันไปเจียงอี้ก็ตะโกนออกมา เขามีใบหน้าที่เย้ยหยันขณะที่พูดว่า “สุ่ยเชียนโหรว สมองของเจ้านั้นมีแต่อึหรอ? ทำไมถึงไม่มีใครมาที่นี่หลังจากที่เกิดความปั่นป่วนเช่นนี้? เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรอ? ไม่มีใครช่วยเจ้าได้ และแม้ว่าข้าจะทรมานเจ้า ก็จะไม่มีใครออกมา”
“ยิ่งไปกว่านั้นนะ…นอกจากการพ่ายแพ้และกรีดร้องเพื่อขอความช่วยเหลือเจ้าไม่รู้จักทำอย่างอื่นบ้างหรอ? เจ้าอ่อนกว่าข้าเพียงปีเดียวใช่ไหม? เจ้ามีหอดาราสุ่ยเยว่หนุนหลัง มีสิ่งที่มีประโยชน์และทรัพยากรนับไม่ถ้วน แต่กลับเพิ่งจะทะลวงขอบเขตเสินโหยวได้ เจ้าไม่ละอายใจหรือ? หากเป็นข้า ข้าคงยอมตายเสียดีกว่า!”
“เจ้าอายุสิบหกปีแล้วหากเจ้าเป็นคนธรรมดาเจ้าก็คงจะเป็นแม่ของเด็กน้อยๆแล้ว แต่เจ้ายังทำตัวราวกับเด็ก เจ้ารู้ไหมว่ากี่ครั้งแล้วที่แม่เจ้าต้องคอยตามล้างตามเช็ดในสิ่งที่เจ้าทำลงไป? เหอะๆ….คนเช่นเจ้า เจ้าคงตายไปไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วหากเจ้าไม่มีแม่เจ้าคอยช่วย! ไร้ค่านัก!”
เจียงอี้ตำหนินางอย่างรุนแรงโดยไม่ยับยั้งอะไรและการตำหนิของเขาส่งผลต่อสุ่ยเชียนโหรวเป็นอย่างมากตั้งแต่ยังเด็ก อย่าว่าแต่การถูกสบประมาทเช่นนี้เลย นางไม่เคยถูกสุ่ยโย่วหลานขึ้นเสียงเลยสักครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น เจียงอี้อายุใกล้เคียงกับนางซึ่งทำให้นางละอายใจทันที และนางหวังว่านางจะทำให้เจียงอี้หลายเป็นเนื้อสับได้
แต่ก็โชคดีที่นางไม่ใช่คนโง่และรู้ว่าวันนี้เป็นโอกาสพิเศษ หากนางยังคงโจมตีเจียงอี้ต่อไป นางก็คงต้องทำให้ตัวเองขายขี้หน้า ปีศาจเจียงอี้ผู้นี้ไม่ใช่คนปกติและเขาก็เกือบจะฆ่านาง หากเขากล้าที่จะตบก้นของนางจนบาน เขาอาจจะกล้าทำทุกสิ่งที่เขาต้องการจะทำ
“ฮึ่ม!สุ่ยเชียนโหรว อย่ามองข้าด้วยสายตาเช่นนั้น เจ้าไม่ได้มีคุณสมบัติ! หากเจ้ามีความกล้า เจ้าก็ควรฝึกฝนให้ขยันขันแข็งและใช้กำลังของตนเองในการล้มข้า เมื่อวันนั้นมาถึง ข้าจะเก็บคำพูดของข้ากลับคืน อีกอย่าง ข้าจะขอให้เจ้าไม่ได้ต้องมาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าข้าอีกครั้ง ข้ารู้สึกหน่ายนัก!”
เจียงอี้เย้ยหยันอีกครั้งและจากไปอย่างสบายใจส่วนสุ่ยเชียนโหรวก็มองเจียงอี้อย่างไม่พอใจในขณะที่นางยังรู้สึกเจ็บปวดที่ก้นของนางอยู่ แต่นางก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดนักเพราะว่าความเจ็บปวดในใจนางนั้นย่ำแย่ยิ่งกว่านั้นมาก
“ฮึกๆ!ฮือ!”
หลังจากที่เจียงอี้ออกไปจากห้องโถงแห่งนี้ในที่สุดสุ่ยเชียนโหรวก็ทนไม่ได้อีกต่อไป นางล้มลงไปบนพื้นและร้องไห้ออกมา นางเสียใจมากจนแทบอยากจะตาย และสิ่งที่แปลกก็คือ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครมา
“นายหญิง!”
ในความเป็นจริงแล้วมีผู้คนอยู่ด้านนอกโถง ผู้อาวุโสหลายคนมองหาสุ่ยโย่วหลานอย่างร้อนใจ พวกนางอยากเข้าไปที่ห้องโถงและปลอบองค์หญิงน้อยให้สงบ
“ปล่อยให้นางร้องไห้เสียให้พอ!”
สุ่ยโย่วหลานมีสีหน้าที่ไม่แยแสและไม่มีร่องรอยของความร้อนรนใดๆนางกลับชื่นชมและพยักหน้าแทน
“เจียงอี้ทำให้เราโปรดปรานมากในครั้งนี้เชียนโหรวนั้นมีกายวิญญาณสวรรค์และนางอาจทะลุขีดจำกัดและทะลวงสู่ขอบเขตที่สูงกว่านี้ได้หลังจากได้รับความอัปยศจากเจียงอี้ในครั้งนี้ เชียนโหรวจะจมลงสู่การให้อภัยหรือไม่ก็พยายามไล่ตามเจียงอี้ที่เป็นเป้าหมายของนาง! ข้าเข้าใจลูกสาวของข้าและเจียงอี้อาจช่วยเราสร้างจอมยุทธยอดเยี่ยมที่สะเทือนพิภพได้ ฮิๆ… บางทีเขาอาจมีปัญหาครั้งใหญ่ในภายภาคหน้าก็ได้!”
บทที่ 394 เผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึก
ก่อนหน้านี้ เจียงอี้ได้ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพื่อตรวจสอบบริเวณโดยรอบ ขณะเดียวกันเขาก็ค้นพบการคงอยู่ของผู้เชี่ยวชาญหลายคน ดังนั้นเขาจึงตระหนักได้ถึงเป้าหมายของสุ่ยโย่วหลานทันที นางต้องการให้เขาใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดและมอบประสบการณ์ที่ไม่มีวันลืมให้กับสุ่ยเชียนโหรวผู้เป็นธิดา
สุ่ยโย่วหลานช่วยเหลือเจียงอี้ไว้มากมาย ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจที่จะช่วยเหลือนางเล็กๆน้อยๆ อันที่จริง โดยส่วนตัวแล้วเขาก็ไม่ค่อยชอบสุ่ยเชียนโหรวมากนัก ดังนั้นเขาจึงค่อนข้างพึงพอใจที่ได้ใช้โอกาสนี้สั่งสอนนาง
เจียงอี้เดินตรงไปยังที่พักซึ่งถูกจัดเตรียมไว้อย่างดีและเปิดประตูเข้าไปในห้องของเจียงเสี่ยวนู๋ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็ส่องสว่างด้วยความปิติยินดีและเอ่ยด้วยความเร่งรีบ
“เสี่ยวนู๋ ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นเสียที เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? มีตรงไหนรู้สึกผิดปกติหรือเปล่า?”
เจียงเสี่ยวนู๋เพิ่งตื่นได้ไม่นานและยังคงนอนอยู่บนเตียงภายใต้การดูแลของผู้อาวุโสเฮ่อและสาวใช้ของหอดาราสุ่ยเยว่
“นายน้อย ข้าสบายดี!”
เจียงเสี่ยวนู๋ส่งยิ้มหวานกลับไปซึ่งทำให้ความกังวลใจของเจียงอี้คลายตัวลง
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว… เจ้าออกไปก่อน”
เจียงอี้กล่าวกับสาวใช้ ขณะเดียวกันก็หันไปสบสายตากับผู้อาวุโสเฮ่อ ชายชราเองก็รู้งานและรู้ว่าเจียงอี้ต้องการเวลาเป็นส่วนตัวกับเจียงเสี่ยวนู๋ ดังนั้นเขาจึงเดินออกไปพร้อมกับสาวใช้คนนั้น
“นายน้อย…”
หลังจากที่ทั้งสองจากไป เจียงเสี่ยวนู๋ก็เปิดปากราวกับต้องการจะกล่าวบางอย่างขึ้นมา แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้เอ่ยอะไร เจียงอี้ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“หยุดเลย! เจ้ากินโจ๊กถ้วยนี้ให้เสร็จแล้วจากนั้นก็นอนพัก หากเจ้าต้องการจะบอกอะไรข้า พวกเราค่อยว่ากันหลังจากที่เจ้าตื่น”
“อืม!”
เด็กสาวพยักหน้าอย่างว่าง่ายและค่อยๆกินโจ๊กตรงหน้าโดยที่มีเจียงอี้คอยป้อน หลังจากที่ทานเสร็จพวกเขาก็พูดคุยกันอีกเล็กน้อยก่อนที่นางจะผล็อยหลับไป
เมื่อเจียงอี้จ้องมองใบหน้าของสาวใช้คนสนิทที่กำลังนอนหลับ เขาก็หวนรำลึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในทะเลมรณะ
เจียงเสี่ยวนู๋ที่ปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมาในเวลานั้นเปรียบเสมือนกับเทพธิดาแห่งสงคราม เรื่องนี้เองที่ทำให้เจียงอี้ตระหนักได้ว่าโลกที่เขาเห็นเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆบนยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น
เขาเชื่อว่าหากได้ออกผจญภัยไปยังทวีปอื่น เขาจะสามารถพบเห็นความลึกลับและเผ่าพันธุ์พิเศษที่คงอยู่ในโลกใบนี้ได้มากขึ้น
หลังจากที่ใช้เวลาว่างบ่มเพาะพลังตลอดทั้งวันทั้งคืน ในที่สุดเจียงเสี่ยวนู๋ก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ในครั้งนี้ผิวพรรณของนางดูดีขึ้นมากและสามารถทานอาหารด้วยตัวเองได้แล้ว
เมื่อร่วมทานอาหารกับเจียงอี้จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว บรรยากาศภายในห้องก็ตกสู่ความเงียบอีกครั้ง ในเวลานี้นางรู้ดีว่าเขากำลังรอคอยคำอธิบายจากปากของนางอยู่
“นายน้อย!”
เจียงเสี่ยวนู๋จ้องมองไปยังนายน้อยของนางด้วยความเขินอายและพูดออกมาด้วยความยากลำบาก
“หาก หากว่า… เสี่ยวนู๋ไม่ใช่มนุษย์ ท่านจะรังเกียจข้าหรือไม่?”
“ฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้ระเบิดเสียงหัวเราะและใช้มือของเขากุมไปที่มือของเด็กสาวด้วยความอ่อนโยน
“ตราบเท่าที่เจ้ายังคงเป็นเสี่ยวนู๋คนเดิม มันไม่สำคัญเลยว่าเจ้าจะเป็นมนุษย์หรือไม่ แม้ว่าเจ้าจะเป็นเผ่าศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์หรือเผ่าปีศาจจากขุมนรก นายน้อยผู้นี้ก็ยังชื่นชอบเจ้าเสมอ!”
“ตลอดหลายปีที่อยู่ร่วมกันมา เจ้ายังไม่รู้อีกหรือว่าข้าเป็นคนเช่นไร?”
“อืม นายน้อยของข้ายอดเยี่ยมที่สุด!”
เจียงเสี่ยวนู๋ฉีกยิ้มกว้างและถอนหายใจราวกับได้ปลดเปลื้องความอัดอั้นตันใจที่สั่งสมมานาน
“ที่จริงแล้ว ข้ากำลังโกหกนายน้อยอยู่ ย้อนกลับไปตอนที่อยู่ในสำนักจิตอสูร หลังจากที่ได้รับการรักษาจากปรมาจารย์เลี่ยว ข้าก็บังเอิญปลุกความทรงจำที่สืบทอดกันมาได้สำเร็จและครอบครองความสามารถลึกลับบางอย่างได้ตั้งแต่ตอนนั้น”
“แต่เวลานั้น ท่านไม่อยู่ และข้าเองก็หวาดกลัวเกินกว่าที่จะบอกกล่าวคนอื่น ในอีกทางหนึ่ง ข้าก็กลัวว่าเมื่อนายน้อยกลับมาและรู้ความจริงเข้า ท่านจะรังเกียจข้าและขับไล่ข้าออกไป ดังนั้นข้าจึงติดสินใจที่จะปิดบังท่าน”
“เจ้านี่มัน…!!”
หัวใจของเจียงอี้บีบรัดและรีบดึงร่างของเจียงเสี่ยวนู๋เข้ามาไว้ในอ้อมกอด ในขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักได้ว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เขาเอาแต่ออกเดินทางและไม่มีเวลาได้ดูแลนางมากนัก ดังนั้นเขาจึงเข้าใจได้ว่านางต้องอยู่ตัวคนเดียวด้วยความหวาดกลัวและความกังวล… เด็กสาวคนนี้ ช่างน่าสงสารยิ่งนัก!
เขาใช้มือลูบหลังนางด้วยความอ่อนโยนและกล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักแน่น
“เสี่ยวนู๋ ฟังให้ดี เจ้าและนายน้อยคนนี้เติบโตมาด้วยกัน พวกเราพึ่งพาอาศัยกันมาตลอดและข้ากล้าพูดได้เลยว่าเจ้าคือคนที่ข้าเชื่อใจมากที่สุด ดังนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า เข้าใจไหม?”
“อือ! อือ!”
เจียงเสี่ยวนู๋พยักหน้าซ้ำๆ ในที่สุดก้อนหินที่กดทับหัวใจของนางก็ถูกยกออกเสียที แรงกดดันตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาสูญสลายไป นางรู้สึกโล่งใจและมีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เมื่อเจียงอี้เห็นว่าสภาพจิตใจของนางดีขึ้นแล้ว เขาจึงเอ่ยถามต่อ
“เสี่ยวนู๋ สรุปแล้วเจ้ามีความเป็นมายังไงกันแน่?”
“ข้าคือเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกเจ้าค่ะ”
นางเงยหน้าขึ้นและพยายามเรียงลำดับการพูดในหัวก่อนที่จะเอ่ยออกมา
“เมื่อความทรงจำที่ถูกฝังลึกไว้ในจิตวิญญาณของข้าถูกปลุกขึ้นมา มันก็ทำให้ข้าได้รู้ว่าตัวข้าคือทายาทของเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่หาได้ยาก”
“ในตอนที่ยังเป็นเด็ก พวกเราจะมีสภาพร่างกายที่เหมือนกับมนุษย์ทุกประการ แต่เมื่ออายุครบสิบหกปี ความทรงจำที่ถูกสืบทอดกันมาก็จะถูกปลุกขึ้น”
“ดังนั้นพวกเราจึงสามารถฝึกฝนศาสตร์บ่มเพาะประจำเผ่าที่มีชื่อว่าศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ขนนกสีหมึกซึ่งจะทำให้พวกเราสามารถแปลงร่างได้”
“หลังจากที่ข้าแอบฝึกฝนอย่างลับๆมาร่วมปี ในที่สุดข้าก็บรรลุขั้นแรกได้สำเร็จ แต่พลังที่ข้าได้รับก็ไม่ได้มากมายอะไร อีกทั้งยังคงสภาพร่างกายหลังจากที่แปลงร่างได้เพียงไม่นานเท่านั้น”
“เผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึก? ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ขนนกสีหมึก? ขั้นแรก?”
เจียงอี้ตกตะลึง หากว่าศาสตร์ลับขั้นแรกประจำเผ่าทำให้เจียงเสี่ยวนู๋มีพลังในระดับยอดฝีมือขอบเขตจินกัง แล้วไม่ใช่ว่าเมื่อนางบรรลุขั้นที่สอง นางจะสามารถประมือกับยอดฝีมือระดับราชันสวรรค์ได้เลยหรือ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เขาก็เร่งถามต่อ “เสี่ยวนู๋ เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ของเจ้ามีกี่ขั้นกันแน่? แล้วเจ้าจะมีความแข็งแกร่งระดับใดเมื่อทะลวงสู่ขั้นที่สอง?”
“เรื่องนั้น… ข้าเองก็ไม่แน่ใจเจ้าค่ะ”
เจียงเสี่ยวนู๋ส่ายหัวด้วยความจนใจพลางตอบ “ข้าจำเป็นต้องฝึกฝนจนถึงจุดสูงสุดของขั้นแรกให้ได้เสียก่อน เนื้อหาของขั้นที่สองถึงจะปรากฏออกมา”
“นายน้อย มันจะดีกว่าไหมหากว่าข้าหยุดบ่มเพาะศาสตร์นี้? ข้ากลัวว่ามันจะเปลี่ยนข้าให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่ารังเกียจในอนาคต เมื่อถึงตอนนั้นนายน้อยอาจจะทิ้งข้าไปก็ได้…”
“ไม่!”
เจียงอี้ส่ายหัวและกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เสี่ยวนู๋ เจ้าต้องฝึกต่อไปและต้องทุ่มเทกับมันให้มากกว่านี้! เจ้าไม่รู้ตัวหรอกว่าหลังจากที่แปลงร่างเจ้านั้นงดงามขนาดไหน เจ้าคือตัวตนที่พิเศษมาก ดังนั้นจงอย่างได้ดูถูกดูแคลนตัวเอง!”
“จริงหรอ?!”
ดวงตาของเจียงเสี่ยวนู๋เป็นประกาย ด้วยการที่เป็นสตรีเพศ มันมักจะทำให้นางกังวลเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตาเสมอ แต่เมื่อเจียงอี้ยืนยันอย่างหนักแน่นเช่นนั้น นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกดีใจ
“นายน้อย ข้างดงามจริงหรือ? ดีจังเลย เช่นนั้นเสี่ยวนู๋จะตั้งใจบ่มเพาะและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ในอนาคต หากใครกล้ารังแกท่าน ข้าจะจัดการพวกมันให้หมดเลย!”
“ฮ่าฮ่า!”
เมื่อเห็นสาวน้อยชูกำปั้นขึ้นด้วยความมั่นใจ เจียงอี้ก็หัวเราะออกมาและใช้มือลูบไปที่หัวของนางด้วยความเอ็นดู
“เสี่ยวนู๋ของข้าช่างน่ารักจริงๆ โอ้จริงสิ แล้วความทรงจำของเจ้าได้บอกหรือไม่ว่าบ้านเกิดของเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกอยู่ที่ไหน?”
เจียงเสี่ยวนู๋ถูกรับตัวมาโดยอีเพียวเพียว หากว่านางรู้เกี่ยวกับต้นกำเนิดของตัวเอง บางทีเขาอาจจะใช้ข้อมูลเหล่านั้นในการอนุมานต้นกำเนิดของอีเพียวเพียวได้เช่นกัน
“บ้านเกิด?”
เจียงเสี่ยวนู๋ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนที่จะส่ายหัว
“ความทรงจำที่ข้าได้รับสืบทอดมานั้นไม่ได้เอ่ยถึงเผ่าพันธุ์ของข้ามากนัก… แต่ดูเหมือนว่าเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกจะมีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย อีกทั้งยังติดอันดับสามในสิบอันดับเผ่าพันธุ์โบราณ”
“ว่าแต่นายน้อย ท่านเคยได้ยินเกี่ยวกับเผ่าของข้ามาก่อนหน้านี้หรือไม่?”
“สิบเผ่าพันธุ์โบราณ?”
เจียงอี้ส่ายหัวปฏิเสธ เขาไม่เคยก้าวเท้าออกจากทวีปเทียนชิง มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะรู้มากไปกว่านี้
สุ่ยโย่วหลานกล่าวว่าเจียงเสี่ยวนู๋ถูกแม่ของเขาพาตัวมาจากด้านนอก นั่นก็หมายความว่าเผ่าพันธุ์ของนางจะต้องอยู่อีกฟากหนึ่งของทะเล หรืออาจจะอยู่ในทวีปจักรพรรดิบูรพา?
“ทวีปจักรพรรดิบูรพา!”
“เสี่ยวนู๋ พวกเราจะต้องบ่มเพาะพลังไปด้วยกัน หากพวกเราแข็งแกร่งมาก
พอ พวกเราจะได้ออกไปตามหาท่านแม่ของข้ารวมไปถึงสมาชิกเผ่าของเจ้าด้วย เมื่อถึงตอนนั้น พวกเราสองคนจะได้ออกไปท่องเที่ยวทั่วทั้งยุทธภพด้วยกัน!”
“อืม!”
เจียงเสี่ยวนู๋พยักหน้าด้วยความยินดี นางยิ้มออกมาและวาดฝันว่าช่วงเวลานั้นจะมาถึงโดยเร็ว