เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 397-398
บทที่ 397 สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งโถงวรยุทธ
ท้ายที่สุดเจียงอี้ก็ยับยั้งตัวเอง สำหรับเขาแล้ว ความรู้สึกสำคัญกว่าความปรารถนาเสมอ ตลอดมาเขารู้สึกว่าหากบุรุษคนใดที่ควบคุมส่วนล่างของพวกเขาไม่ได้ โอกาสในอนาคตของบุรุษผู้นั้นก็จะถูกจำกัดไว้แน่นอน หากไม่ควบคุมอารมณ์แล้ว คนเราจะมีการก้าวหน้าในการบ่มเพาะพลังต่อไปได้อย่างไร?
เขาสงบลงก่อนจะนอนหลับไปอย่างสนิทพร้อมกับซูรั่วเสวี่ยที่อยู่ในอ้อมกอดของเขาเขารู้สึกว่าเขาสามารถอยู่ในโลกทั้งใบได้ตราบเท่าที่เขาจะได้โอบกอดผู้หญิงที่น่ารักคนนี้ไว้ได้
วันต่อมาเจียงอี้กลับมาใช้ชีวิตอย่างเงียบสงบและสะดวกสบาย ในระหว่างวัน เขาจะตรงไปยังสายแร่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อฝึกฝนและจะไปหาเสี่ยวนู๋กับจิ้งจอกน้อยในตอนกลางคืน หลังจากนั้นเขาก็จะโอบกอดซูรั่วเสี่ยจนหลับไป
เฉียนว่านก้วนได้ส่งข้อความมาหาเขาเร็วมากและกล่าวว่าตระกูลเฉียนของเขามีนทีเผยศิลาและเขาได้สั่งให้คนของเขาส่งมันไปแล้ว ในเวลาเดียวกัน เขาก็เริ่มซื้อนทีเผยศิลาอย่างลับๆ เขาไม่รู้ว่าทำไมเจียงอี้จึงต้องการมัน แต่ตราบใดที่เจียงอี้เพียงต้องการมัน เขาและตระกูลเฉียนก็จะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้ได้มันมา
สิบวันต่อมานทีเผยศิลาชุดแรกก็ได้มาถึง เมื่อเจียงอี้รู้ว่ามันมาถึงแล้ว เขาก็ให้คนไปนำมันมาในทันที เขารู้สึกงุนงงเมื่อเห็นว่านทีเผยศิลานั้นถูกเก็บไว้ในภาชนะที่เป็นไม้ นอกจากนี้นทีเผยศิลานั้นไม่ใช่น้ำ แต่มันเป็นเหมือนโคลนสีขาวที่มีกลิ่นประหลาด
ฟึ่บ!
เจียงอี้นั้นถือถังเก็บนทีเผยศิลาถังใหญ่ไปยังสายแร่ศักดิ์สิทธิ์เขาเดินไปที่บริเวณใกล้ๆที่ซึ่งผลึกหินที่มีแสงส่องสว่างเหล่านั้นอยู่และแสดงท่าทางให้เหล่าจอมยุทธที่ลงมาขุดสายแร่ศักดิ์สิทธิ์มาที่เขา “มา มา มาชุบใบมีดของพวกเจ้าด้วยนทีเผยศิลานี้และลองขุดสายแร่ศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งสิ”
“ขอรับ!”
จอมยุทธผู้หนึ่งนำนทีเผยศิลามาเล็กน้อยและทาเคลือบลงบนใบมีดของเขาจากนั้นก็เจาะใบมีดลงไปบนหินผลึกของสายแร่ศักดิ์สิทธิ์
ปัง!
สิ่งที่ทำให้เจียงอี้และคนขุดเหมืองต้องประหลาดใจคือหลังจากสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ถูกเคลือบด้วยนทีเผยศิลาแล้วหินผลึกที่แข็งเหมือนเหล็กทมิฬก็กลับกลายเป็นเหมือนหินธรรมดา ในตอนที่สิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์เจาะลงไป ชิ้นส่วนของหินผลึกก็ตกลงมาอย่างง่ายดายและจอมยุทธผู้นั้นก็ไม่รู้สึกถึงแรงสะท้อนแต่อย่างใด
ปึง!ปึง! ปึง!
ชิ้นส่วนของหินผลึกเสียหายและถูกแยกออกการขุดนั้นดีขึ้นหลายร้อยหลายพันเท่า และเหล่าจอมยุทธเหล่านั้นก็ต่างพากันขุดสายแร่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยความตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบมิได้
“พยายามอย่าทำลายหินผลึกเหล่านี้หินผลึกพวกนี้บรรจุพลังฟ้าดินจำนวนมหาศาลไว้ด้วยกันและรวมมันทั้งหมดไว้ด้วยกัน! ระวังกันด้วยเมื่อพวกเจ้าขุดมันออกมา จงอย่าทำลายศิลาสวรรค์เหล่านั้น”
เมื่อเจียงอี้เห็นคนของเขากำลังขุดกันอย่างบ้าระห่ำเขาก็กำชับคนเหล่านั้นอย่างร้อนรน หากเก็บหินเหล่านี้ไปไว้ที่โถงพระราชวัง พลังงานฟ้าดินก็จะหนาแน่นขึ้นหลายเท่า มันจะต้องเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอนและมันก็คงจะเสียเปล่าหากพวกมันจะถูกคนพวกนี้ทำลายทิ้งไป
แม่ทัพที่ดูแลการขุดค้นที่นี่เริ่มตำหนิผู้คนส่วนเจียงอี้ก็ได้ขยายสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาเพื่อสำรวจพื้นที่นี้ เขาได้สำรวจสายแร่ศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่นาน อย่างไรก็ตาม สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาสามารถสำรวจได้เพียงสามสิบเมตรเท่านั้น แต่เดิมเขาไม่เจอศิลาสวรรค์ใดๆ แต่ด้วยการขุดที่เร็วขึ้นจึงทำให้เขาสามารถสำรวจพื้นที่ที่ถูกขุดอยู่ได้
ครึ่งชั่วโมงต่อมาจู่ๆดวงตาของเจียงอี้ก็สว่างขึ้นในขณะที่เขาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “มีศิลาสวรรค์อยู่ตรงนี้สองก้อน ระวังด้วย”
คนเหล่านั้นจึงพากันค่อยๆขุดอย่างช้าๆขณะที่พวกเขาขุดมันทีละเล็กละน้อยพวกเขาก็สามารถรับรู้ได้เลยว่าพลังฟ้าดินนั้นหนาแน่นขึ้น นอกจากนี้ยังมีจุดแสงสองจุดที่อยู่ในหินผลึกเหล่านี้ที่สามารถมองเห็นได้รางๆและมีรูปร่างคล้ายกับศิลาสวรรค์
“ศิลาสวรรค์สองก้อน!”
เจียงอี้ตื่นเต้นมากสายแร่ศักดิ์สิทธิ์นี้ใหญ่มากและหลังจากขุดไปเพียงครู่หนึ่งพวกเขาก็เจอศิลาสวรรค์สองก้อนแล้ว หากพวกเขาขุดพื้นที่ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะมีเป็นร้อยเป็นพันก้อนเลยหรอ?
ศิลาสวรรค์ทั้งสองก้อนนี้ถูกขุดออกมาอย่างรวดเร็วและเมื่อแม่ทัพส่งมอบมันให้กับเจียงอี้เจียงอี้ก็สำรวจอย่างระมัดระวังและมั่นใจว่าเป็นศิลาสวรรค์แน่นอน เขายังคงใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาสำรวจพื้นที่ต่อ และในเวลาน้อยกว่าสามสิบนาที เขาก็พบศิลาสวรรค์อีกก้อนอยู่ที่อีกด้านหนึ่ง และนั่นก็แน่ชัดแล้วว่ามันมีศิลาสวรรค์มากมายอยู่ในสายแร่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
ในเวลาเพียงหนึ่งวันและหนึ่งคืนสายแร่ศักดิ์สิทธิ์ก็ถูกขุดไปได้หลายร้อยเมตรและพบศิลาสวรรค์มากกว่าสิบก้อน ยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนว่าสายแร่ศักดิ์สิทธิ์นี้ใหญ่ขึ้นและไม่มีใครรู้ว่าพื้นที่ขุดนี้ได้ถูกขยายไปเท่าไรแล้ว
“ขุดต่อไปพวกเจ้าทุกคนจะได้รับรางวันอย่างสมน้ำสมเนื้อเมื่อเรากลับไป!”
เจียงอี้ตบไหล่ของแม่ทัพอย่างพึงพอใจผู้ที่สามารถขุดสายแร่ศักดิ์สิทธิ์นั้นต่างเป็นผู้ที่ซื่อสัตย์ของตระกูลซู ดังนั้นเจียงอี้จึงไม่จำเป็นต้องกลัวพวกเขาจะยักยอกขณะที่เขานำศิลาสวรรค์กลับไปยังพระราชวังหลวงเลย
เช้าวันใหม่ได้สว่างขึ้นแล้วและซูรั่วเสวี่ยก็นอนหลับไม่สนิทตลอดคืนนางรอข่าวและเมื่อนางได้ยินว่าพวกเขาขุดศิลาสวรรค์ได้มากกว่าสิบก้อน นางก็ยิ้มแย้มในทันที
ด้วยศิลาสวรรค์มากมายไม่เพียงแต่เจียงอี้จะสามารถเพิ่มกำลังของเขาได้อย่างรวดเร็ว แต่เขายังสามารถฝึกฝนให้มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวได้มากมายอีกด้วย มีผู้เชี่ยวชาญของอาณาจักรต้าเซี่ยที่ตกตายไปกันมากมาย หากเขาฝึกผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวได้นับพันนับหมื่น อาณาจักรใดที่จะยังกล้าโจมตีอาณาจักรต้าเซี่ยอีก?
“บอกให้ใครก็ได้ส่งข้อความถึงเฉียนว่านก้วนทีให้เขากว้านซื้อนทีเผยศิลามาทุกวิถีทาง ในเวลาเดียวกัน ก็จงส่งคนออกไปกว้านซื้อนทีเผยศิลาอย่างลับๆด้วย”
ซูรั่วเสวี่ยยืนขึ้นและจัดการเรื่องนี้ทันทีนางยังสั่งให้ส่งคนลงไปขุดศิลาสวรรค์เพิ่มขึ้นด้วย ในขณะเดียวกัน นางก็ให้ผู้คนอีกกลุ่มจัดการกับผลึกหินเหล่านั้นด้วย สิ่งนี้มีเพียงแต่จะสร้างปัญหามากขึ้นหากล่าช้า หากพวกเขาขุดได้เร็วเท่าไหร่พวกเขาก็จะสามารถลดความกังวลได้บ้าง
“ในอีกครึ่งเดือนกระบวนการขุดคงจะเสร็จสมบูรณ์ขึ้นไม่มากก็น้อย และข้าจะนำศิลาสวรรค์ไปยังพื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์บางส่วน ประการแรก ข้าจะจดจำศาสตร์เวทย์มนตร์โบราณทั้งหมดก่อนที่จะทำการสกัดกลั่นศิลาสวรรค์ หากข้าสามารถแปรเปลี่ยนดวงดาวทั้งเก้าได้ ข้าอาจไม่ได้เทียบเท่ากับราชันสวรรค์แต่อย่างน้อยข้าก็คงจะอยู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตจินกังใช่ไหมนะ?”
เจียงอี้คำนวณอยู่เงียบๆเมื่อเขากำลังจะเข้าห้องไปพักผ่อน ผู้อาวุโสเฮ่อก็เข้ามาและพูดด้วยน้ำเสียงที่ใหญ่โต “นายน้อยอี้ มีคนสามคนต้องการพบท่านจากโถงวรยุทธ สองในสามคนนั้นเป็นผู้ที่ท่านคุ้นเคยด้วย พวกเขาคือประมุขโถงวรยุทธสาขาเมืองเทียนอวี่และผู้ดูแลหยาง และมีอีกคนหนึ่งที่ถูกขนานนามว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งโถงวรยุทธขอรับ”
“โถงวรยุทธ?”
เจียงอี้ขมวดคิ้วครั้งสุดท้ายที่ประมุขโถงวรยุทธและผู้ดูแลหยางมาหาเขาและอยากให้เขาได้เป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของโถงวรยุทธ เขาก็ได้ปฏิเสธข้อเสนอไปแล้ว แต่พวกเขาก็ยังกลับมาอีกครั้งจริงๆหรือ? นอกจากนี้ ในครั้งนี้ยังมีสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งโถงวรยุทธมาด้วย
เจียงอี้ไม่สามารถปฏิเสธที่จะพบพวกเขาได้ในเมื่อผู้ดูแลหยางมาเขาพึมพำกับตัวเองก่อนที่จะตอบด้วยการสะบัดมือของเขา “ไป ผู้อาวุโสเฮ่อ ไปพบพวกเขากันเถอะ”
ผู้อาวุโสเฮ่อจัดให้ทั้งสามที่มาจากโถงวรยุทธได้ไปพำนักอยู่ในโถงด้านข้างขณะที่ขันทีได้นำเหล่าสาวใช้ไปปรนนิบัติพวกเขาก่อนเจียงอี้จะเดินเข้าไป ขันทีก็ประกาศเสียงดังว่า “ท่านอุปราชเสด็จแล้ว!”
เจียงอี้เดินเข้าไปในนั้นขณะที่สายตาของเขากวาดผ่านผู้ดูแลหยางและประมุขโถงวรยุทธที่ยืนอยู่เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจ้องมองไปยังสตรีที่ยังคงนั่งอยู่ ดวงตาของเขาสว่างขึ้น และจากนั้นเขาก็ถอนหายใจอย่างเศร้าโศก ตามที่คาดไว้ สตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งโถงวรยุทธก็คงไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน กิริยาและรูปลักษณ์ของสตรีนางนี้นั้นยอดเยี่ยมและไม่ได้ด้อยไปกว่าซูรั่วเสวี่ยเลย
“คารวะท่านอุปราช!”
ประมุขโถงวรยุทธและผู้ดูแลหยางประสานมือทักทายก่อนที่จะแนะนำเจียงอี้“ท่านอุปราช นางเป็นหนึ่งในสองของสตรีศักดิ์สิทธิ์ในโถงวรยุทธของเรานามว่า ตู๋กูเยี่ยน สถานะสตรีศักดิ์สิทธิ์นั้นได้รับการยกย่องอย่างสูงและเป็นที่เคารพในโถงวรยุทธของเรา พวกนางเป็นรองเพียงแค่ประมุขใหญ่แห่งโถงวรยุทธเท่านั้น”
เมื่อเจียงอี้เห็นว่าตู๋กูเยี่ยนยังคงนั่งอยู่เขาก็ไม่พอใจเล็กน้อย อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงกุมมือและทักทาย “คารวะคุณหนูตู๋กู!”
“คารวะท่านอุปราช!”
มันเป็นเพียงเวลานี้เมื่อตู๋กูเยี่ยนค่อยๆลุกขึ้นยืนอย่างเฉื่อยชานางพยักหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทีที่หยิ่งยะโส หลังจากนั้นนางก็โบกมืออย่างไม่แยแสและสั่งผู้ดูแลหยางและประมุขโถงวรยุทธสาขา “พวกเจ้าออกไปได้แล้ว ข้ามีเรื่องบางอย่างจะพูดคุยกับท่านอุปราช”
ขณะที่นางพูดนางก็เหลือบมองไปยังผู้อาวุโสเฮ่อเช่นกัน เจียงอี้ยักไหล่และกวักมืออย่างไม่มีทางเลือก “ผู้อาวุโสเฮ่อ ท่านก็ออกไปก่อนเถอะ”
เมื่อทุกคนต่างออกไปกันหมดแล้วตู๋กูเยี่ยนก็นั่งลงนางมองไปยังเจียงอี้อย่างไม่แยแสและพูดว่า “เชิญนั่งเถอะ ท่านอุปราช”
“……”
เจียงอี้ค่อนข้างพูดไม่ออกสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งโถงวรยุทธไม่คิดว่าตัวเองสูงส่งเกินไปหน่อยหรอ? นางอยู่ในเขตแดนของเขาและยังเป็นแขกที่ทำตัวเป็นเจ้าบ้าน?
เจียงอี้เลือกที่จะทนมันเพื่อไว้หน้าผู้ดูแลหยางเขานั่งลงและจิบชาก่อนที่จะถามว่า “ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าทำไมสตรีศักดิ์สิทธิ์ถึงมองหาข้า?”
“ไม่มีอะไรมาก!”
ตู๋กูเยี่ยนชำเลืองมองเจียงอี้อย่างไม่แยแสนางยกถ้วยชาและหมุนไปรอบๆอย่างแผ่วเบาขณะที่เป่าไอร้อนจากชา หลังจากนั้นนานงก็จิบชาและพูดออกมาอย่างไม่แยแสว่า
“ประมุขใหญ่โถงวรยุทธมองท่านอุปราชด้วยความสูงส่งเขาจึงส่งข้ามาที่นี่เพื่อโน้มน้าวให้ท่านเข้าร่วมกับโถงวรยุทธของเรา ตำแหน่งนั้นยังคงเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ ท่านไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใดหรือเชื่อฟังคำสั่งใคร รวมไปถึงประมุขใหญ่ นอกจากนี้…หลังจากที่ท่านเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์แล้ว ท่านอาจมีโอกาสเป็นของข้าหรือสามีของสตรีศักดิ์สิทธิ์คนอื่น”
กับดักน้ำผึ้งอีกอัน?
เจียงอี้เผยรอยยิ้มที่เยาะเย้ยคนอื่นอาจกลัวเกรงโถงวรยุทธและมีนายน้อยมากมายก็เต็มใจที่จะคุกเข่าและเลียแข้งเลียขาคนเหล่านี้ที่ถูกเรียกว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ อย่างไรก็ตาม เจียงอี้ไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น
ดังนั้นเขาจึงตอบอย่างหนักแน่นว่า“ข้าขออภัย ข้าไม่ได้มีความสนใจโถงวรยุทธของท่านและสำหรับท่านแล้ว….ข้าก็ยิ่งไม่มีความสนใจเข้าไปใหญ่!”
บทที่ 398 คาดไม่ถึง
เจียงอี้พูดอย่างตรงไปตรงมาและไม่ไว้หน้าใครทั้งสิ้น
แม้ว่าโถงวรยุทธจะไม่ได้ชิงความเป็นใหญ่เหมือนกับขุมพลังอื่นๆในทวีป แต่พวกเขาก็ยังมีรากฐานที่ไม่อาจดูแคลนได้และมีความมั่งคั่งเทียบเท่ากับอาณาจักรๆหนึ่งเลยทีเดียว
เป็นเวลานับล้านปีตั้งแต่ที่ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเริ่มต้นขึ้น ยุคสมัยผันเปลี่ยน จ้าวผู้ครองทวีปเปลี่ยนมือมานับไม่ถ้วน แต่ทำไมโถงวรยุทธถึงยังคงอยู่มาได้จวบจนปัจจุบัน?
เพียงแค่เรื่องนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ารากฐานของโถงวรยุทธได้หยักลึกลงไปในทวีปเทียนชิงจนไม่อาจประมาณได้และภูมิหลังของพวกเขาก็ไม่ได้เรียบง่ายเหมือนที่แสดงออกมา
ดังนั้นขั้วอำนาจทั้งหกจึงยำเกรงพวกเขามาก แม้ว่าในศึกก่อนหน้านี้พวกเขาจะสังหารผู้คนไปมากมาย แต่ก็ไม่มีใครที่กล้าแตะต้องคนของโถงวรยุทธแม้แต่ปลายก้อย
ในวันที่สามหลังจากที่ซูรั่วเสวี่ยขึ้นครองราชย์ นางได้เรียกประมุขสาขาของโถงวรยุทธมาเข้าพบและพูดคุยเป็นการส่วนตัวด้วยความสุภาพ
ถึงแม้ว่านางจะไม่รู้เกี่ยวกับโถงวรยุทธมากนัก แต่เมื่อเห็นท่าทีที่อาณาจักรใหญ่ทั้งหกแสดงต่อพวกเขา สิ่งนี้ก็ชี้ให้เห็นแล้วว่าพวกเขาไม่ใช่องค์กรที่จะดูแคลนได้
ยากนักที่สตรีศักดิ์สิทธิ์ของโถงวรยุทธจะเผยตัวสู่สายตาชาวโลก ดังนั้นจึงมีเพียงแค่คนกลุ่มน้อยที่รู้ถึงการคงอยู่ของพวกนาง อย่างไรก็ตาม สถานะของพวกนางก็ไม่ใช่อะไรที่นายน้อยจากตระกูลใหญ่ทั่วไปจะเทียบได้
ตู๋กูเยี่ยนเคยได้ยินเกี่ยวกับตำนานของเจียงอี้มาไม่น้อย อันที่จริงนางรู้สึกพึงพอใจในตัวเขาอย่างมาก แต่เป็นเพราะภูมิหลังที่สูงส่งผนวกกับสภาพแวดล้อมที่มักจะถูกเอาอกเอาใจจากคนรอบข้าง นางจึงกลายเป็นคนที่หยิ่งยโสไปโดยปริยาย
เดิมทีตู๋กูเยี่ยนคิดว่าการที่นางเดินทางมาที่นี่ด้วยตัวเองก็ถือเป็นการให้เกียรติเจียงอี้มากพอแล้ว นางกระทั่งเอ่ยว่าจะพิจารณาเรื่องการแต่งงานระหว่างเขากับนาง
อย่างไรก็ตาม นางไม่คาดคิดเลยว่าเมื่อสนทนากันไปได้เพียงไม่กี่ประโยค อีกฝ่ายกลับมอบความอัปยศให้นางเสียแล้ว!
ในตอนนี้ ใบหน้าของตู๋กูเยี่ยนดูมืดมนอย่างเห็นได้ชัด นางลุกขึ้นจากที่นั่งและจ้องมองเจียงอี้ด้วยสายตาอันเย็นชา
“เจียงอี้ เจ้าคิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งแล้วสินะถึงได้กล้าเมินเฉยต่อโถงวรยุทธของข้า? ข้าจะบอกเอาไว้ให้เอาบุญ ขุมพลังที่แท้จริงของโถงวรยุทธกล้าแกร่งกว่าที่พวกเจ้าเห็นภายนอกนับร้อยนับพันเท่า! ดังนั้นจงอย่าได้สำคัญตัวเองผิดไปนัก!”
“โง่เง่า”
เจียงอี้ส่ายหัวด้วยความเอือมระอา โถงวรยุทธคิดยังไงถึงได้เอาหญิงสาวเจ้าอารมณ์เช่นนี้มาเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์? เป็นไปได้ไหมว่าบิดาของนางจะเป็นคนใหญ่คนโตของที่นั่น?
“โอ้? โถงวรยุทธทรงพลังขนาดนั้นเชียวหรือ? ข้าไม่ทราบจริงๆ คุณหนูตู๋กูโปรดบอกกล่าวให้ข้าผู้นี้ได้รับทราบหน่อยได้หรือไม่?”
“เหอะ เช่นนั้นก็จงตั้งใจฟังให้ดี!”
ตู๋กูเยี่ยนเชิดหน้าขึ้นและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
“โถงวรยุทธกำเนิดขึ้นมาในยุคแรกเริ่มของมวลมนุษย์ แม้ว่ากาลเวลาจะล่วงเลยมาหลายปีจนนับไม่ถ้วน แต่โถงวรยุทธก็ยังคงความแข็งแกร่งและไม่เคยถูกโค่นล้ม เจ้ารู้ไหมว่ามันเป็นเพราะเหตุใด?”
ม่านตาของเจียงอี้หรี่ลง แน่นอนว่าเขาเองก็ต้องการที่จะทราบเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน
“เพราะเหตุใด?”
เมื่อได้ยินคำถามของเจียงอี้ ตู๋กูเยี่ยนก็แสยะยิ้มและเอ่ยออกมา
“เพราะว่าโถงวรยุทธของข้านั้นทรงพลังจนคนอย่างพวกเจ้าไม่อาจที่จะจินตนาการได้ยังไงล่ะ ใครก็ตามที่กล้าสร้างความขุ่นเคืองให้กับพวกเรา มันผู้นั้นก็จะต้องเผชิญกับความตาย!”
ไร้สาระ!
เจียงอี้ลอบสบถอยู่ในใจ จากนั้นเขาก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทางหงุดหงิด
“คุณหนูตู๋กู หากว่าท่านไม่มีธุระสำคัญอะไรแล้ว เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัว!”
เมื่อเห็นว่าเจียงอี้กำลังจะจากไปจริงๆ ความโกรธเกรี้ยวภายในใจของหญิงสาวก็ยิ่งโหมกระหน่ำมากขึ้น
“เจียงอี้! เจ้าไม่รู้หรือว่ามียอดฝีมือหลายคนในทวีปเทียนชิงที่ได้กลายเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของโถงวรยุทธแล้ว จนถึงบัดนี้ มีราชามากกว่าครึ่งรวมไปถึงผู้นำตระกูลที่ทรงอิทธิพลจำนวนไม่น้อยที่ได้รับตำแหน่งนี้ หนึ่งในนั้นยังรวมไปถึงซูตี๋หวังอีกด้วย!”
“หืม?”
เจียงอี้ชะงักฝีเท้า คราวนี้เขาตกใจกับพลังที่ซ่อนอยู่ของโถงวรยุทธแล้วจริงๆ
เป็นที่รู้กันดีว่าโถงวรยุทธไม่มีความคิดที่จะช่วงชิงความเป็นใหญ่ในทวีป แต่แล้วทำไมพวกเขาถึงได้รวบรวมยอดฝีมือไว้มากนัก? ด้วยพลังของพวกเขา การจะหลอมรวมทวีปให้เป็นหนึ่งเดียวกันย่อมไม่ใช่เรื่องยาก… นี่พวกเขากำลังจะทำอะไรกันแน่?
เดิมทีเจียงอี้ได้หันหลังและเตรียมพร้อมที่จะจากไปแล้ว แต่เพราะคำถามที่ค้างคาใจ เขาจึงอยากที่จะหันกลับมาเพื่อไถ่ถามต่อ
แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยามของตู๋กูเยี่ยน เขาก็หมดอารมณ์ทันที
“ข้า เจียงอี้ มีศัตรูมากมายนับไม่ถ้วน พวกมันล้วนแต่ปรารถนาให้ข้าตกตายในเร็ววัน แม้ว่าข้าจะไม่ชมชอบการก่อปัญหา แต่ข้าก็ไม่เคยหวั่นเกรงต่ออุปสรรคตรงหน้า”
“ดังนั้นข้าขอฝากคำพูดผ่านท่านเพื่อไปถึงโถงวรยุทธด้วยว่าข้าไม่สนใจตำแหน่งผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์อะไรนั่น แต่ข้าเพียงแค่อยากจะเตือนเอาไว้ ใครก็ตามที่ต้องการเป็นศัตรูกับข้า มันผู้นั้นก็จงเตรียมรับความโกรธเกรี้ยวของข้าไว้ให้ดี!”
หลังจากที่กล่าวจบ เจียงอี้ก็หันหลังและจากไปอย่างไม่แยแส เมื่อประมุขโถงวรยุทธสาขาเมืองเทียนอวี่กับผู้ดูแลหยางเห็นสีหน้าอันมืดมนของเขา พวกเขาก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันทีและคาดเดาได้ไม่ยากเลยว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาได้ทำให้อุปราชหนุ่มท่านนี้ขุ่นเคืองเสียแล้ว
ปัง!
เป็นไปตามคาด หลังจากที่เขาออกมาได้ไม่นาน เสียงทำลายข้าวของก็ดังออกมาจากภายในห้อง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“เจียงอี้! เจ้ากำลังขุดหลุมฝังตัวเอง!”
……
แม้ว่าท้ายที่สุดเจียงอี้ได้เลือกที่จะไม่ประนีประนอม แต่เขาก็ยังต้องกลับมา
หารือกับซูรั่วเสวี่ยที่วังหิมะเลื่อนลอย
“รั่วเสวี่ย เจ้าเป็นคนของตระกูลราชวงศ์และน่าจะรู้ความลับมากมายของบิดาเจ้า ดังนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าราชาซูตี๋หวังเคยเป็นผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของโถงวรยุทธมาก่อน?”
“เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกัน ด้วยการที่ข้าเป็นสตรีเพศ ทำให้การเข้าถึงข้อมูลสำคัญบางอย่างนั้นมีจำกัด” นางกล่าวพลางส่ายหัว แต่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ นางก็เอ่ยออกมาด้วยท่าทีลังเลเล็กน้อย
“บางที เสด็จลุงของข้าอาจจะรู้ก็ได้…”
“เสด็จลุง?”
เจียงอี้ขมวดคิ้วขณะที่ฟังซูรั่วเสวี่ยอธิบายต่อ
“แม้ข้าจะเรียกเขาว่าเสด็จลุง แต่อันที่จริงเขาเป็นลุงของเสด็จพ่อของข้า เขาเคยดำรงตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีฝ่ายทหารมาก่อนและมีอายุร่วมร้อยปีแล้ว ดังนั้นเวลานี้เขาจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทางการเมืองอีกต่อไป”
“แต่เป็นเพราะการบุกโจมตีของจักรวรรดิมังกรเวหาและอีกห้าอาณาจักรที่เหลือทำให้เสด็จลุงโกรธแค้นมากจนล้มป่วยในที่สุด จนถึงตอนนี้เขาก็ยังคงพักฟื้นอยู่ในตำหนักของตน”
“กระทั่งข้าเองก็มัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับการจัดระเบียบบ้านเมืองจนไม่มีเวลาไปเยี่ยมเขาเช่นกัน”
“อ่อ”
เจียงอี้พยักหน้าอย่างเงียบๆ จากนั้นหนึ่งชั่วโมง ชายชราผมขาวผู้หนึ่งซึ่งนั่งอยู่บนรถเข็นก็ถูกเชิญตัวเข้ามา
คนผู้นี้แก่ชรามาก มือข้างหนึ่งของเขาสั่นตลอดเวลา กระทั่งใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นและจุดด่างดำ โชคยังดีที่เขายังคงมีจิตวิญญาณอันกล้าแข็งทำให้สามารถตอบโต้สื่อสารได้ในระดับหนึ่ง
ซูรั่วเสวี่ยไถ่ถามสุขภาพของชายชราอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอ่ยถึงเรื่องสำคัญ
“ใช่แล้ว…”
ชายชราพยักหน้าและกล่าวอย่างเชื่องช้า
“ตี๋หวังเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสกิตติมศักดิ์ของโถงวรยุทธ อันที่จริง… ข้าเองก็เคยดำรงตำแหน่งนั้นเช่นกัน”
“รั่วเสวี่ยเอ๋ย ตี๋หวังด่วนจากไปอย่างกะทันหันจึงไม่มีเวลาได้บอกเจ้า ดังนั้นชายชราผู้นี้จึงขอเป็นคนบอกกล่าวเจ้าด้วยตัวเอง”
“ในทวีปเทียนชิงแห่งนี้ พวกเจ้าสามารถเป็นศัตรูกับใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นอีกห้าอาณาจักรที่เหลือหรือแม้กระทั่งจักรวรรดิมังกรเวหา แต่มีเพียงแค่โถงวรยุทธเท่านั้นที่พวกเจ้าไม่อาจยั่วยุได้!”
“นี่มัน…”
ใบหน้าของเจียงอี้และซูรั่วเสวี่ยเริ่มไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรายแรก เพราะไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้านี้เขาเพิ่งทำให้ตัวแทนของโถงวรยุทธบันดาลโทสะ!
เจียงอี้ส่งสายตาให้กับซูรั่วเสวี่ย นางเข้าใจความหมายของเขาจึงเอ่ยถามต่อ
“เสด็จลุง สรุปแล้วโถงวรยุทธเป็นตัวตนแบบไหนกันแน่? พวกเขาทรงพลังมากเลยหรือ ทำไมหลายคนถึงได้ดูยำเกรงพวกเขานัก?”
ดวงตาของชายชราสั่นเครือและเผยให้เห็นความหวาดกลัวเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เอ่ยออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง
“ข้าเองก็ไม่อาจหยั่งถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา แต่มีสองสิ่งที่ข้ารู้ ก่อนอื่นเลยพวกเจ้ารู้ไหมว่ามันเกิดอะไรขึ้นเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อนในตอนที่หกอาณาจักรเข้าล้อมเมืองเทียนชิง?”
“ข้าจะบอกให้ว่าทำไมในตอนนั้นกองทัพของทั้งหกอาณาจักรถึงไม่กล้าที่จะกรีธาทัพเมืองเทียนชิง สาเหตุทั้งหมดก็มาจากคนผู้หนึ่ง!”
“และชายผู้นั้นก็คือประมุขใหญ่ของโถงวรยุทธที่ดำรงตำแหน่งในปีนั้น! อันที่จริง สงครามราชอาณาจักรที่ถูกจัดขึ้นสืบเนื่องกันมาก็เป็นเพราะคำสั่งของชายผู้นั้นเช่นกัน!”
“ท่านว่าอะไรนะ?!”
คราวนี้ทั้งเจียงอี้และซูรั่วเสวี่ยต่างก็อุทานขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน
ทันใดนั้นเองคำเตือนของเจียงเปี๋ยหลีก็ดังขึ้นมาในหัวของเจียงอี้อีกครั้ง ซึ่งทำให้เขาตระหนักได้ว่า กระแสน้ำในทวีปเทียนชิง มันลึกเกินกว่าที่เขาเคยจิตนาการไว้มากนัก…