เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 401-402
บทที่ 401 หุบเหวอเวจี
ในส่วนเหนือสุดของทวีปเทียนชิงนั้นเป็นสถานที่ที่น่ากลัวที่ถูกขนานนามว่าที่ราบน้ำแข็งเวิ้งว้างสถานที่แห่งนี้มีหิมะตลอดทั้งปีและเย็นผิดปกติ นอกจากนี้ ภายใต้ที่ราบน้ำแข็งมีสัตว์กลายพันธุ์คอยลอบโจมตี สัตว์กลายพันธุ์เหล่านี้แทบจะไม่มีเชาว์ปัญญาแต่พวกมันมีพละกำลังที่น่ากลัว มีข่าวลือว่ามีสัตว์กลายพันธุ์มากมายซึ่งมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชันสัตว์อสูร เมื่อมนุษย์คนใดเข้าไปใกล้ที่นั่น พวกเขาจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆทันที
ดังนั้นที่ราบน้ำแข็งเวิ้งว้างจึงเป็นสถานที่ต้องห้ามของมนุษย์ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปลึกเกินไป
ในที่ราบน้ำแข็งเว้งว้างนั้นยังมีสถานที่ที่น่ากลัวที่สุดก็คือหุบเหวด้านบนเหวนี้คือค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณที่จู่ๆก็ส่องว่างขึ้น หญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตาที่งดงามที่สวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกปรากฏตัวพร้อมกับผู้เชี่ยวชาญขั้นสูงสุดขอบเขตเสินโหยวสองคน
“คารวะท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์!”
ณพื้นผิดของพื้นดินใกล้ๆค่ายกลเคลื่อนย้ายปะทุออกไปทำให้มันกลายเป็นเกล็ดหิมะ ร่างเงาดำกว่าสิบเงาพุ่งออกมาขณะที่คารวะด้วยการคุกเข่าข้างหนึ่ง
หญิงสาวผู้สวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกค่อยๆยกผ้าคลุมขึ้นอย่างช้าๆซึ่งเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามและมันคือตู๋กูเยี่ยนใบหน้าของนางถูกปกคลุมไปด้วยความเยือกเย็นพร้อมกับพยักหน้าด้วยความภาคภูมิใจ จากนั้นนางก็นำผู้เชี่ยวชาญทั้งสองกระโดดลงไปยังก้นบึ้งเหวลึก และในไม่ช้าร่างทั้งสามก็หายลับไป
“ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์โปรดเดินทางโดยสวัสดิภาพขอรับ!”
ร่าเงานับสิบตะโกนออกมาอีกครั้งและทั้งหมดก็ไปยังใต้พื้นผิวของพื้นดิน หิมะและน้ำแข็งถูกกลบอย่างรวดเร็วและสภาพแวดล้อมก็กลับคืนสู่ความสงบทันที
สถานที่นี้เรียกว่าหุบเหวอเวจีนอกเหนือจากประมุขตระกูลจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลและราชาแห่งอาณาจักรต่างๆ ก็มีเพียงไม่กี่คนที่จะรู้จักที่นี่ นี่เป็นที่ที่โถงหลักของโถงวรยุทธตั้งอยู่ นอกจากสมาชิกของโถงวรยุทธแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติที่จะเข้าไปได้ ซึ่งก็รวมถึง…จักรพรรดิของจักรวรรดิมังกรเวหาในสมัยก่อน!
ภายใต้หุบเหวอเวจีนั้นคือสรวงสวรรค์
ที่นั่นไม่ได้ถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็งและหิมะแต่มันกลับมีสภาพอากาศที่น่ารื่นรมย์แทนดอกไม้บานสะพรั่งราวกับฤดูใบไม้ผลิและมีหญ้าเขียวขจีและดอกไม้สีแดงที่สวยงาม ที่นี่เป็นพื้นที่แปลกที่คล้ายกับสุสานราชันสวรรค์หมื่นมังกร มีอาคารอยู่มากมายในนั้นและโถงพระราชวังที่เต็มไปด้วยจอมยุทธชุดดำของโถงวรยุทธ
บุฟ!
หลังจากที่ตู๋กูเยี่ยนกระโดดลงไปในหุบเหวนางก็ปรากฏในค่ายกลเคลื่อนย้ายที่จัตุรัสมหึมาซึ่งตั้งอยู่ในหุบเหวอเวจี เมื่อนางปรากฏตัว จอมยุทธทุกคนที่อยู่ที่นั่นก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง
ตู๋กูเยี่ยนไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียวและเดินไปยังห้องโถงที่ใหญ่ที่สุดนางเดินผ่านโถงไปหลายแห่งและในที่สุดก็มาถึงโถงที่ใหญ่ที่สุด
โถงขนาดใหญ่นั้นมีบุคคลเพียงสี่คนเท่านั้นแต่สองคนในนั้นมีกลิ่นอายที่ทรงพลังและเป็นผู้ที่อยู่ขอบเขตจินกัง ด้านซ้ายนั้นเป็นหญิงสาวในชุดสีเหลืองซึ่งดูคล้ายกับตู๋กูเยี่ยน หากเจียงอี้อยู่ที่นี่ในขณะนี้เขาคงจะตกใจเป็นอย่างมากแน่นอน
หญิงที่แต่งกายด้วยชุดสีเหลืองนี้จริงๆแล้วคือ…จีทิงยวี่ที่หายไปนานกว่าหนึ่งปี!
ย้อนกลับไปในตอนที่จีทิงยวี่สมรู้ร่วมคิดกับเจียงนี่หลิวและต้องการสังหารเจียงอี้ในสุสานราชันสวรรค์ท้ายที่สุดเจียงอี้ก็เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าของพวกเขาและไม่ได้สังหารนาง ในระหว่างการเดินทางกลับไปยังสำนักจิตอสูร นางได้หายตัวไป หลังจากนั้นเจียงอี้ก็ขอให้เฉียนว่านก้วนช่วยสืบหาจีทิงยวี่แต่ดูเหมือนว่านางหายตัวไปในอากาศ และในตอนนี้ นางปรากฏตัวอยู่ในโถงวรยุทธหลัก
“ฮึ่ม!ฮึ่ม!”
หลังจากที่ตู๋กูเยี่ยนเดินเข้ามานางก็นั่งบนเก้าอี้ทันทีพร้อมกับใบหน้าที่มีเสน่ห์ที่ปกคลุมไปด้วยความเยือกเย็น ผู้อาวุโสทั้งสองมองหน้ากันและยืนขึ้นเพื่อถามว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์ เกิดอะไรขึ้นขอรับ? ผู้ใดทำให้ท่านขุ่นเคืองเช่นนี้?”
จีทิงยวี่เหลือบมองตู๋กูเยี่ยนและยิ้มอย่างคลุมเครือก่อนที่จะเปล่งเสียงออกมา“ฮิฮิ พี่เยี่ยนคงต้องถูกเจียงอี้ปฏิบัติด้วยกิริยาหยาบคายมาใช่หรือไม่? เจียงอี้เป็นผู้ที่จะไม่ขยับด้วยการถูกบังคับหรือการโน้มน้าวและมีนิสัยที่น่ารังเกียจ พี่เยี่ยน อย่าทำร้ายร่างกายท่านจากความโกรธเพราะเขาเลย”
“เหอะเหอะ!”
มันคงจะไม่เป็นอะไรหากไม่ได้พูดถึงแต่เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว ตู๋กูเยี่ยนก็ขุ่นเคืองทันที ทันใดนั้นนางก็ยืนขึ้นและพูดอย่างเยือกเย็นว่า “ท่านพ่อข้าอยู่ไหน? ข้าต้องการพบท่าน! เจียงอี้ข่มเหงข้า ข้าต้องการให้ท่านพ่อสั่งการลงไปและสับเขาเป็นชิ้นๆ!”
“ท่านประมุขยังไม่กลับมาขอรับ”
หนึ่งในผู้อาวุโสถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวว่า“ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์ สถานะของเจียงอี้นั้นไม่ธรรมดา มันจะเป็นการดีที่สุดที่จะไม่ผลีผลามนะขอรับ”
“เหอะๆ!”
ตู๋กูเยี่ยนมองไปที่ผู้อาวุโสก้วยท่าทีที่ไม่พอใจและกระทืบเท้าก่อนที่จะเดินออกไปจากนั้นนางก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แจ้งข้าทันทีที่ท่านพ่อกลับมา หากข้าไม่ชำระแค้นนี้ เช่นนั้นก็อย่าเรียกข้าว่าตู๋กูเยี่ยน”
“เฮ้อออ….”
ผู้อาวุโสทั้งสองที่มีชื่อเสียงในโถงวรยุทธมองหน้ากันและหัวเราะอย่างขมขื่นหนึ่งในนั้นถอนหายใจและพูดว่า
“ข้าคิดไว้แล้วว่าเรื่องนี้จะพังลงเพราะอารมณ์ของนางน่าเสียดายที่ท่านประมุขไม่อยู่และนางไม่ฟังที่เราพูด นี่เป็นความผิดพวกเราเอง หากพวกเรารู้ว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ เราทั้งสองคนหรือไม่ก็ท่านประมุขควรจะไปเจรจากับเจียงอี้เอง ดูสิว่าตอนนี้เป็นอย่างไร….การเจรจาล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์ เจียงอี้คงจะมีความรู้สึกต่อโถงวรยุทธแย่ยิ่งกว่าเดิม มันไม่มีหวังที่เจียงอี้จะเข้าร่วมกับโถงวรยุทธอีกต่อไป”
“ท่านผู้อาวุโสอย่าได้โทษตัวเองไป”
จีทิงยวี่หัวเราะเบาๆและพูดว่า“ข้าเคยเป็นสหายกับเจียงอี้และข้ารู้จักเขาดี แม้ว่าพี่เยี่ยนจะไม่ทำให้เขาขุ่นเคือง เขาก็จะไม่สวามิภักดิ์ต่อเรา เขานั้นเป็นหมาป่าเดียวดายที่ไม่ยอมเชื่อฟังและไม่สามารถเลี้ยงให้เชื่องได้ เขาเกลียดที่จะถูกคุมขัง เจียงอี้….จะต้องถูกสังหาร ไม่เช่นนั้น เขาจะกลายเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ของเรา”
“ถูกสังหาร?”
ดวงตาทั้งสองของผู้อาวุโสมีกลิ่นอายเย็นเยียบขณะที่จิตสังหารหลั่งไหลออกมาจากร่างกายหนึ่งในผู้อาวุโสพูดว่า “ท่านสตรีศักดิ์สิทธิ์จีกล่าวถูกแล้ว เราควรที่จะสังหารผู้ใดก็ตามที่ไม่โอนอ่อนตามเรา เจียงอี้นั้นมีสิทธิ์มากเกินไปและจะต้องถูกสังหารโดยเร็ว มิฉะนั้นอาจจะมีปัญหาใหญ่หลวงในภายหน้า”
“ไม่มีทาง!”
ผู้อาวุโสอีกคนส่ายหัวและกล่าว“เรื่องนี้มีความสำคัญยิ่ง เราต้องรอให้ท่านประมุขกลับมาตัดสินใจ”
จีทิงยวี่โบกมือแล้วพูดว่า“มันไม่สำคัญว่าเราจะสังหารเขาหรือไม่ แต่เราก็ยังคงต้องเตรียมการบ้างถูกต้องไหม? ข้ารู้ดีถึงจุดอ่อนของเจียงอี้ ตราบเท่าที่พวกท่านทั้งสองยินดีที่จะร่วมมือและจัดการบางอย่าง และเมื่อท่านประมุขกลับมาและสั่งการออกไป เจียงอี้จะต้องตายอย่างแน่นอน ว่าอย่างไรล่ะ?”
ดวงตาของผู้อาวุโสทั้งสองสว่างขึ้นความสามารถและเชาว์ปัญญาของจีทิงยวี่เป็นสิ่งที่แม้แต่ประมุขใหญ่โถงวรยุทธยังเชื่อใจ ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ทำลายข้อยกเว้นและเลื่อนตำแหน่งสถานะของนางเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ ในช่วงเวลานี้ จีทิงยวี่ได้พิสูจน์ความสามารถของนางแล้ว ตราบใดที่นางวางแผนการเอง มันจะไม่ล้มเหลว
ผู้อาวุโสทั้งสองตัดสินใจในทันทีหนึ่งในผู้อาวุโสพยักหน้าและพูดว่า “สตรีศักดิ์สิทธิ์จี ท่านห้ามแตะต้องเจียงอี้ก่อนสิ้นสัญญาสามปี อย่าเริ่มบาดหมางกับเขาอย่างเปิดเผย เราก็สามารถช่วยท่านได้ แต่หากว่าท่านประมุขกลับมาและไม่เห็นด้วย ท่านจะต้องยกเลิกทุกสิ่งในทันที”
“อยู่แล้ว!”
ดวงตาที่งดงามของจีทิงยวี่เป็นประกายและเต็มไปด้วยความสุขนางพูดว่า “ข้าจะไม่แก้แค้นในเรื่องส่วนตัวของข้า หากท่านประมุขไม่เห็นด้วย ข้าก็จะไม่ลงมือ แต่หากท่านประมุขเห็นด้วย ข้ารับรองว่า…เจียงอี้จะต้องตายแน่นอน”
เมื่อทั้งสองเห็นรอยยิ้มของจีทิงยวี่พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความเย็นชาที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้ให้ความรู้สึกราวกับงูเขียวไผ่ มันจะเลือกว่าจะกัดหรือไม่กัด หากมันเลือกที่จะกัดก็มีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่
“เจียงอี้!”
จีทิงยวี่มองออกไปข้างนอกนางพึมพำกับตัวเอง “ทิงยวี่ยอมรับว่าตอนนั้นทิงยวี่ตัดสินเจ้าผิดพลาดไป หากข้าเลือกเจ้าตั้งแต่แรก ข้าอาจจะมีความสุขเหมือนซูรั่วเสวี่ยในตอนนี้ น่าเสียดายที่ชั่วชีวิตนี้เราคงไม่ได้อยู่ด้วยกัน ในเมื่อข้าไม่สามารถครอบครองได้ ข้าคงทำได้เพียง…..ใช้ความพยายามทั้งหมดของข้าเพื่อทำลายเจ้า!”
บทที่ 402 แจกันเขียวพิสุทธิ์ขนาดใหญ่
“สวรรค์สยบเพลิงอเวจี ช่างเป็นชื่อที่เย่อหยิ่งนัก แต่แท้จริงแล้วมันควรจะเรียกว่าศาสตร์ควบคุมไฟเสียมากกว่า”
“ต้องยอมรับเลยว่าศาสตร์วิชานี้ยากที่จะทำความเข้าใจ แม้ว่าข้าได้ใช้เวลาไปถึงครึ่งเดือน แต่ก็สำเร็จเพียงแค่ขั้นเริ่มต้นเท่านั้น อีกทั้งยังทำได้แค่ปลดปล่อยเปลวไฟที่อ่อนแอที่สุด…”
ในราชวังจักรวาล เจียงอี้มองดูเปลวไฟดวงเล็กๆที่มีขนาดเท่ากับไฟไม้ขีดด้วยสีหน้ามืดมน อย่าว่าแต่ผู้ที่เดินบนเส้นทางวรยุทธเลย ต่อให้เป็นคนธรรมดาก็สามารถเป่ามันให้ดับได้แล้ว!
ครึ่งเดือน!
เจียงอี้ใช้เวลาครึ่งเดือนสำหรับการฝึกฝนจนถึงขั้นเริ่มต้นของวิชาสวรรค์สยบเพลิงอเวจี แล้วเขาจำเป็นต้องใช้เวลากี่เดือนกี่ปีจนกว่าจะไปถึงขั้นบรรลุ?
เขาทำความเข้าใจได้อย่างคร่าวๆว่าศาสตร์เวทย์ชนิดนี้มีความสามารถในการดูดซับอัคคีธาตุจากฟ้าดิน ยิ่งผู้ฝึกฝนสามารถตีความมันได้ลึกซึ้งเท่าไหร่ เปลวไฟก็จะยิ่งทรงพลังมากขึ้นเท่านั้น
มีข่าวลือว่าเมื่อสำเร็จขั้นบรรลุ นักสู้จะสามารถเรียกใช้ได้แม้กระทั่งเพลิงแท้จริงเก้าหยางซึ่งสามารถเผาทำลายยอดฝีมือขอบเขตจินกังหรือกระทั่งราชันสวรรค์ได้ และมันไม่ได้เกินจริงแม้แต่น้อยสำหรับการแผดเผากองทัพที่มีทหารนับล้านนายในเสี้ยวความคิด
อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งจอมเวทย์ในตำนานแห่งตระกูลหยุนก็ไม่สามารถไปถึงขั้นบรรลุของวิชานี้ได้ มันจึงเป็นข้อพิสูจน์อย่างดีว่าศาสตร์เวทย์นี้ฝึกฝนได้ยากเย็นขนาดไหน อันที่จริงเจียงอี้ก็ถือได้ว่ามีพรสวรรค์มากแล้วที่สามารถเข้าถึงขั้นเริ่มต้นได้ในเวลาเพียงครึ่งเดือน
“มันคงเป็นการดีกว่าหากว่าข้าออกค้นหาเปลวไฟธรรมชาติและปรับแต่งพวกมัน ด้วยพลังของไข่มุกวิญญาณเพลิงที่สามารถกักเก็บพวกมันไว้ได้ มันจึงกลายเป็นข้อได้เปรียบอันยิ่งใหญ่ของข้า”
เจียงอี้คิดกับตัวเองในใจ เขาไม่มีเวลามากพอที่จะฝึกวิชานี้จนถึงระดับสูงสุด ดังนั้นมันจึงจะดีกว่าหากว่าเขาออกตามหาเปลวไฟที่ทรงพลัง แล้วค่อยใช้วิชาสวรรค์สยบเพลิงอเวจีปรับแต่งมันเพื่อที่จะยกระดับพลังทำลายล้างและช่วยให้ความแข็งแกร่งโดยรวมของเขาทะยานขึ้นในเวลาอันสั้น
“เพลิงโลกา!”
เจียงอี้มีเพลิงโลกาอยู่เล็กน้อยภายในไข่มุกวิญญาณเพลิงและต้องการที่จะใช้มันทดสอบ ถึงอย่างนั้นเขากลับรู้สึกลังเลขึ้นมา เพลิงโลกาไม่ใช่ไฟธรรมดา หากว่าเขายกระดับจนมันมีพลังทำลายที่เกินขอบเขตการควบคุม แบบนี้เขาจะไม่ถูกมันคลอกตายหรือ?
“มันคือการเดิมพัน! ไข่มุกวิญญาณเพลิง ข้าต้องพึ่งเจ้าแล้ว!”
หลังจากที่ขจัดความลังเลทิ้งไป เขานำเพลิงโลกาออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงและใช้ฝ่ามือรองไว้ จากนั้นไม่นานมันก็หายเข้าไปในฝ่ามือของเขาโดยอาศัยการห่อหุ้มด้วยมวลแสงสีขาวก่อนที่จะเข้าสู่ร่างกาย
“ฮ่าฮ่า ข้ายังคงสบายดี! ไข่มุกวิญญาณเพลิงช่างเป็นสิ่งประดิษฐ์สายอัคคีธาตุอย่างแท้จริง!”
เจียงอี้รับรู้ถึงพลังงานที่ไข่มุกวิญญาณเพลิงส่งเข้ามาในร่างกายของเขาซึ่งทำให้เขาไม่ได้รับความเสียหายจากความร้อนของเพลิงโลกา ด้วยความสามารถอันขี้โกงนี้เอง เขาจึงเริ่มการปรับแต่งเปลวไฟตามขั้นตอนที่ระบุไว้ในเนื้อหาของวิชาสวรรค์สยบเพลิงอเวจี
แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือ…
เมื่อเพลิงโลกาเข้าสู่ร่างกายของเจียงอี้ มันก็ไม่ได้อยู่ในรูปลักษณ์ของเปลวไฟอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นงูตัวหนึ่งที่มีสีแดงเพลิง กระทั่งขนาดของมันก็หดลงนับหมื่นเท่า จนมีลักษณะคล้ายกับแก่นแท้พลังสีแดงเพลิงหนึ่งเส้นที่อยู่ในดาวดวงแรกภายในตันเทียนของเขา
เจียงอี้ชี้นำเพลิงโลกาให้เข้าไปในบริเวณตันเทียน จากนั้นก็ทำการบีบอัดและดูดซับอัคคีธาตุเพื่อใช้พัฒนาเพลิงโลกา
น่าเสียดายที่ความเข้าใจของเจียงอี้ที่มีต่อศาสตร์เวทย์นี้มีน้อยเกินไป เมื่อเพลิงโลกาถูกนำเข้ามาสู่ตันเทียนของเขาแล้ว มันก็สูญหายไปในทันที กระทั่งเจียงอี้เพ่งสมาธิค้นหา แต่ก็ไม่อาจหามันเจอราวกับว่าจู่ๆมันก็อันตรธานหายไปในอากาศ
“บ้าจริง!”
แต่ในขณะที่เจียงอี้กำลังจะทำการค้นหาอีกครั้ง จู่ๆห้องโถงที่เขากำลังนั่งสมาธิอยู่ก็บังเกิดแสงสว่างขึ้นมาก่อนจะกลายเป็นร่างโปร่งแสงของจอมเวทย์ที่ปรากฏตัวต่อหน้าของเขาพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ
“เจ้าหนู พลังวิญญาณของชายชราผู้นี้หมดลงโดยสมบูรณ์แล้ว ข้ากำลังจะหายไป แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ตลอดเวลาที่ผ่านมาข้าตระหนักได้ว่าเจ้ามีพรสวรรค์ไม่ด้อยไปกว่าข้าในปีนั้นเลยแม้แต่น้อย อนาคตของเจ้าจะรุ่งโรจน์”
“แต่เจ้าก็จะต้องฝึกฝนให้หนัก และข้าขอเตือนอีกครั้ง จงหยุดความคิดที่จะขัดเกลาศิลาสวรรค์เสีย มิฉะนั้นมันจะเป็นการทำลายอนาคตของตัวเอง!”
“สุดท้ายนี้… ถ้าเป็นไปได้ ข้าอยากขอให้เจ้าช่วยปกป้องลูกหลานตระกูลหยุนของข้าทีนะ”
“ท่านจอมเวทย์…”
เจียงอี้รู้อยู่แล้วว่าเวลานี้ต้องมาถึงสักวัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้ จอมเวทย์ผู้นี้ได้มอบศาสตร์เวทย์อันทรงพลังให้กับเขาและเขาก็มองคนผู้นี้ในฐานะอาจารย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ยอดฝีมือในตำนานผู้นี้คือบุคคลที่ไม่แสวงหาชื่อเสียงและความมั่งคั่ง จวบจนปัจจุบัน มีน้อยคนนักที่รู้ว่าเขาได้ก้าวมาถึงจุดสูงสุดขอบเขตเทียนจุนแล้ว หากในปีนั้นเขาเลือกที่จะเผยตัวต่อโลกหล้า เขาจะกลายเป็นผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวของทวีปและยืนอยู่เหนือผู้คนหลายล้านชีวิต!
ย้อนกลับไปในตอนที่เขาเป็นรัชทายาทแห่งอาณาจักรเทียนเซวี่ยน เวลานั้นเขาเกือบจะได้ขึ้นเป็นราชา แต่น่าเสียดายที่ถูกผู้เป็นพี่ชายเข้ายึดอำนาจจนทำให้เขาต้องหลบหนีไปที่ป่าอเวจีและต้องเก็บตัวอยู่ในนั้นเป็นเวลาสามสิบปีก่อนที่จะกลับมาแก้แค้น
เขาได้ทำการสังหารผู้เป็นพี่ชายต่อหน้าผู้พิทักษ์อาณาจักรในเวลานั้น แต่ก็ไม่ได้ยึดบัลลังก์คืนแต่อย่างใดและเลือกที่จะเร้นกายอยู่ในเงามืดแทน
อันที่จริงก็กล่าวได้ว่าท่านจอมเวทย์ถูกตระกูลหยุนทอดทิ้ง ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงเป็นห่วงตระกูลอย่างเห็นได้ชัด
ดูอย่างตอนที่หยุนลู่เข้ามาในพื้นที่ต้องห้าม จอมเวทย์ได้มอบป้ายที่อนุญาตให้เขาไปถึงชั้นบนสุดได้อย่างง่ายดาย และกระทั่งก่อนที่เขาจะสูญสลายไป เขาก็ยังขอให้เจียงอี้ช่วยปกป้องตระกูลหยุน
“อย่าได้โศกเศร้าไป งานเลี้ยงย่อมมีวันต้องเลิกรา ความจริงข้าสมควรต้องตายไปตั้งแต่สองพันปีก่อนแล้ว แต่เพราะข้าฝืนลิขิตสวรรค์จนทำให้ข้าอยู่มานานพอจนได้พบผู้สืบทอดที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์เช่นเจ้า ข้าก็พอใจมากแล้ว”
“ข้าเพียงแค่หวังว่าถ้าวันใดวันหนึ่ง เจ้าสามารถบรรจบเส้นทางเต๋าและก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดที่แท้จริง เจ้าจะจุดธูปสามดอกเพื่อบอกกล่าวแก่ข้า มันคงจะช่วยเติมเต็มความปรารถนาและชดเชยความเสียใจตลอดหลายปีที่ผ่านมาของข้าได้…”
เมื่อกล่าวจบ ร่างโปร่งแสงของจอมเวทย์ก็แตกสลายและจางหายไปในความว่างเปล่าอย่างสมบูรณ์
เจียงอี้ยังคงอยู่ตรงนั้นด้วยความเศร้า เขาคุกเข่าลงและหมอบกราบต่อหน้าโครงกระดูกผู้ซึ่งเขานับถือเป็นอาจารย์ไปชั่วชีวิต!
“โฮกกกกก!”
ในขณะเดียวกัน ชั้นที่สี่ของราชวังจักรวาลก็บังเกิดเสียงคำรามที่เต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย เสียงนั้นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่าราชันอสูรหยาจื้อต้องการที่จะแผดเสียงคำรามเพื่อส่งเจ้านายคนก่อนขึ้นสู่สรวงสวรรค์เช่นกัน
วิ้งงง!
ทันใดนั้นราชวังจักรวาลก็ปลดปล่อยแสงสว่างออกมา รวมไปถึงที่ที่เจียงอี้อยู่ในปัจจุบัน ขณะเดียวกันเขาก็สัมผัสได้ถึงการเชื่อมต่อระหว่างราชวังที่เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
ก่อนหน้านี้ เขาได้รับป้ายที่อนุญาตให้เขาใช้ค่ายกลในราชวังได้อย่างอิสระ แต่หลังจากที่เศษเสี้ยววิญญาณของจอมเวทย์สูญสลายไป ราชวังแห่งนี้ก็ยอมรับเขาเป็นเจ้านายที่แท้จริงของมัน
“หืม? แท้จริงแล้วมันไม่ใช่วังแต่เป็นสิ่งประดิษฐ์?” หลังจากที่เจียงอี้เชื่อมต่อกับราชวังจักรวาลอย่างสมบูรณ์ เขาก็ต้องตกตะลึงกับข้อมูลที่เพิ่งได้รับมา
ราชวังจักรวาลแห่งนี้คือสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ชิ้นหนึ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง… เขาสามารถนำมันติดตัวไปด้วยได้เนื่องจากมันมีความสามารถในการหดหรือขยายขนาดของตัวเอง!
“เดี๋ยวสิ…”
ทันใดนั้น ความคิดสายหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในหัวซึ่งทำให้จิตใจของเขาสั่นสะท้าน เป็นที่รู้กันดีว่าราชวังจักรวาลมีอาคมยับยั้งที่สามารถสังหารอสูรหยาจื้อได้อย่างง่ายดาย แล้วจะเกิดอะไรขึ้นหากว่าเขานำมันกลับไปยังเมืองเซี่ยยวี่?
ในอนาคต ถ้าศัตรูบุกมาและถูกล่อลวงให้เข้าสู่ราชวังจักรวาล ไม่ใช่ว่าเจียงอี้จะสามารถบดขยี้พวกมันได้ตามใจปรารถนาหรือ?
“ไม่สิ นี่ไม่ถูกต้อง!”
เจียงอี้ส่ายหัวอย่างรวดเร็ว มีผู้เชี่ยวชาญคนใดบ้างที่จะไม่ตระหนักว่ามันคือสิ่งประดิษฐ์? แน่นอนว่าพวกเขาคงจะไม่เดินเข้ามาในกับดักโดยง่าย
นอกเสียจากว่าเจียงอี้สามารถจัดวางค่ายกลลวงตาระดับสูงไว้ด้านนอกเมืองเซี่ยยวี่เหมือนกับที่จอมเวทย์ได้สร้างหมอกหนาไว้ด้านนอกพื้นที่ต้องห้ามและทำให้ศัตรูหลงเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
แต่เขาจะสามารถสร้างค่ายกลเช่นนั้นได้หรือ?
แน่นอนว่าไม่! ดังนั้นประโยชน์เพียงข้อเดียวที่ราชวังจักรวาลเหลืออยู่ นั้นก็คือใช้มันเป็นแจกันเขียวพิสุทธิ์ขนาดใหญ่!
“แจกันเขียวพิสุทธิ์? นั่นก็ไม่เลวนัก! อย่างน้อยในเวลาความเป็นความตาย เขาก็สามารถพาคนจำนวนมากหลบหนีไปพร้อมกันได้”
เจียงอี้พยักหน้ากับตัวเองอย่างเงียบๆ จากนั้นเขาก็หยิบไข่มุกวิญญาณเพลิงขึ้นมาอีกครั้งและนำศิลาสวรรค์ก้อนหนึ่งมาไว้ในมือพร้อมกับจ้องมองด้วยความหลงใหล
ในเมื่อวิญญาณเสี้ยวสุดท้ายของจอมเวทย์ได้จากไปแล้ว เจียงอี้ก็เตรียมการขัดเกลาศิลาสวรรค์ทันที แม้ว่าจะถูกเตือนว่าห้ามใช้ แต่สถานการณ์ของเขาในตอนนี้ทำให้เขาไม่สามารถถอยกลับได้แล้ว
เส้นทางอนาคตอาจจะมีความสำคัญก็จริง แต่เจียงอี้ห่วงความปลอดภัยของซูรั่วเสวี่ยมากกว่า เนื่องจากนางไม่ยอมละทิ้งอาณาจักรต้าเซี่ย ดังนั้นเขาจึงถูกกำหนดให้ต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือจำนวนมากของทวีป
เมื่อครบกำหนดสามปี จักรพรรดินีสัตว์อสูรจะจากไป ในขณะที่สุ่ยโห่วหลานและผู้สนับสนุนคนอื่นๆจะไม่สามารถยื่นมือมาช่วยเขาได้อีกต่อไป
ถึงตอนนั้น เจียงอี้ทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น มีเพียงการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งโดยเร็วที่สุดจึงจะทำให้เขามีชีวิตรอดต่อไปได้
……