เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 403 -404
บทที่ 403 ทำลายอนาคตตัวเอง
เจียงอี้นำศิลาสวรรค์มาด้วยมากกว่าร้อยยี่สิบก้อนเขาวางแผนไว้แล้วว่าจะสกัดกลั่นศิลาสวรรค์ที่นี่ ซึ่งวิธีนี้ จูเก๋อชิงหยุน, จักรพรรดินีสัตว์อสูรและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังคนอื่นๆจะไม่สามารถล่วงรู้ได้
เจียงอี้กลั่นศิลาสวรรค์เร็วมากเมื่อก่อนเขาจะต้องใช้เวลาห้าวันเพื่อสกัดกลั่นศิลาสวรรค์ก้อนเดียว แต่ตอนนี้เขาใช้เวลาสกัดกลั่นศิลาสวรรค์เพียงแค่สามวัน หลังจากที่เขาสกัดกลั่นมันไปได้สามก้อน เขาก็ยังรู้สึกว่ามันช้ามาก
บุฟ!
กล่องหยกปรากฏขึ้นบนมือเขาขณะที่ไข่มุกวิญญาณเพลิงส่องสว่างเขาเปิดกล่องขึ้นมาและข้างในนั้นเป็นสมุนไพรวิญญาณที่ดูเหมือนมังกรเขียวตัวเล็ก นี่เป็นสมุนไพรมังกรทินกรที่จอมเวทย์บอกให้เขาสกัดกลั่นมันแต่เขาไม่มีเวลาทำเช่นนั้น
มันต้องลับคมขวานก่อนที่จะตัดต้นไม้!
เหตุผลที่ทำไมการสกัดกลั่นศิลาสวรรค์ของเขาเชื่องช้านั้นเป็นเพราะว่าร่างกายของเขาอ่อนแอและเส้นปราณของเขาไม่แข็งแรงพอเขาไม่กล้าปล่อยให้พลังงานในศิลาสวรรค์รีบเข้าสู่ตันเทียนไวเกินไป และการสกัดกลั่นสมุนไพรมังกรทินกรนี้อาจใช้เวลาสองสัปดาห์ แต่เมื่อเส้นปราณของเขาแข็งแกร่งขึ้นมา ความเร็วในการสกัดกลั่นศิลาสวรรค์จะต้องเร็วขึ้นเป็นสองเท่าอย่างแน่นอน
เขาใช้แก่นแท้พลังสีดำห่อหุ้มไปรอบๆสมุนไพรมังกรทินกรและร่องรอยของพลังงานค่อยๆซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของเขาพลังงานนี้ค่อนข้างพิเศษซึ่งทำให้ร่างกายของเขารู้สึกร้อนราวกับกำลังถูกเผาไหม้ มันแปลกที่ไข่มุกวิญญาณเพลิงไม่ได้ถ่ายโอนพลังงานใดๆออกมาปกป้องเจ้าของ
ฟู่ฟู่….
เมื่อพลังงานที่เข้าไปเริ่มช้าลงเจียงอี้ก็รู้สึกอุ่นขึ้นราวกับว่าร่างกายทั้งหมดของเขานั้นกำลังค่อยๆถูกตุ๋นอย่างช้าๆ ความรู้สึกนั้นเหลือทนนัก แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากทนมัน
เขารู้อย่างชัดเจนว่าพลังงานนี้จะค่อยๆพัฒนาร่างกายของเขาเหมือนเหล็กกล้าที่ทนทานและแข็งแกร่งขึ้นเมื่อถูกตีอย่างไรก็ตาม…ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่ทรมานอย่างแท้จริงและเจียงอี้รู้สึกราวกับว่าเขาไม่สามารถหายใจได้ พลังงานของสมุนไพรมังกรทินกรนี้ยังคงไหลเวียนเข้าสู่ร่างกายของเขา แต่เขาก็หยุดมันไม่ได้ ไม่เช่นนั้นสมุนไพรวิญญาณอันล้ำค่านี้จะสูญเปล่า
“สงบจิตสงบใจ ปล่อยความคิดให้ว่างเปล่า!”
โชคดีที่พลังของเจียงอี้ไม่ได้แย่นักเขาสลัดความคิดที่ทำให้เสียสมาธิและบังคับให้ลืมความเจ็บปวดทุกสิ่ง….ในขณะที่เขาก็พยายามเพิ่มความเร็วในการสกัดกลั่นสมุนไพรมังกรทินกร
นอกเหนือจากการทานอาหาร,ดื่มน้ำสะอาดและกลืนเม็ดยาเพิ่มพลังงานแล้ว เขาก็ปรับแต่งแต่สมุนไพรมังกรทินกรนี้มาตลอดสองอาทิตย์ เมื่อมาถึงช่วงสุดท้าย เขาก็มึนไปกับความเจ็บปวดและไม่รู้สึกอะไรเลย และเมื่อร่องรอยของพลังงานสายสุดท้ายเข้าสู่ร่างกายของเขาไปแล้ว เขาก็ไม่สามารถต้านทานสิ่งใดได้อีกต่อไปและหมดสติไปในทันที
เจียงอี้หลับไปเป็นเวลาสองวันเต็มๆเมื่อเขาตื่นขึ้นมาก็เห็นว่าร่างกายของเขามีกลิ่นสาปที่น่าสะอิดสะเอียนและเปื้อนไปด้วยสสารสีดำ เมื่อเขาเดินไปมารอบๆ เขาก็รู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขามีกำลังอย่างไร้ขีดจำกัด เขาใช้ขาข้างเดียวกระโดดไปและรู้ว่าเขาสามารถกระโดดได้ไกลถึงสามเมตรโดยไม่ต้องใช้แก่นแท้พลังเลย!
บุฟ!
ป้ายตราในมือเขาส่องสว่างซึ่งทำให้เขาย้ายไปสู่ทะเลที่ชั้นสองเขากระโดดลงไปในทะเลและชำระร่างกายของเขา
ฟึ่บ!ฟั่บ!
มีปีศาจทะเลมากมายและเนื่องจากพวกมันทั้งหมดเป็นปีศาจทะเลระดับต่ำพวกมันไม่มีสติปัญญาใดๆ เพราะฉะนั้นเมื่อพวกมันเห็นมนุษย์จึงรีบพุ่งเข้าหาอย่างไม่ทันคิด และด้วยความคิดของเจียงอี้ที่แล่นผ่านมา สายฟ้านับไม่ถ้วนก็กระหน่ำลงมาและได้ทำให้ปีศาจทะเลในระยะสิบกิโลมเตรทั้งหมดสลายไป
หลังจากที่เขาล้างร่างกายเขาก็สังเกตุเห็นว่าผิวของเขาขาวขึ้นและมีความมันวาว ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมมนุษย์ถึงต้องการฝึกฝนและกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ หากไม่พูดถึงเรื่องชื่อเสียงและสถานะแล้ว ก็จะมีเรื่องร่างกายที่ยิ่งแข็งแรงเท่าใดก็จะยิ่งอายุยืนยาวมากขึ้นเท่านั้น แค่ร่างกายที่แข็งแกร่งและอายุที่ยทนยาวก็เพียงพอที่จะดึงดูดมนุษย์มากมายให้เข้าสู่เส้นทางการฝึกเต๋าวรยุทธแล้ว
ร่างกายของเจียงอี้ส่องสว่างและย้ายไปในป่าของชั้นสามเขาจับสัตว์อสูรตัวเล็กๆและนำไปย่างกิน จากนั้นก็กลับไปยังชั้นบนสุดเพื่อทำการสกัดกลั่นศิลาสวรรค์ต่อ
หลังจากที่ร่างกายของเขาแข็งแกร่งขึ้นความเร็วในการกลั่นศิลาสวรรค์ก็จะเร็วขึ้นตามธรรมชาติ ในตอนนี้เขาใช้เวลาเพียงหนึ่งวันในการกลั่นศิลาสวรรค์หนึ่งก้อน เส้นปราณของเขาแข็งแรงมากขึ้นและพลังงานจำนวนมหาศาลจากศิลาสวรรค์ก็ไม่ได้กดเส้นปราณเขามากมายอีกต่อไป
ห้าวันต่อมาเจียงอี้ก็ได้สกัดกลั่นศิลาสวรรค์เพิ่มขึ้นอีกสามก้อน เขาใช้วิสัยทัศน์ดูดาวดวงที่สองและสังเกตเห็นว่ามันมาถึงครึ่งหนึ่งแล้ว เขาประหลาดใจกับมันเพราะว่าดาวดวงที่สองนั้นต้องการแก่นแท้พลังมากกว่าดาวดวงแรกเกินสองเท่า ดูเหมือนว่าเขาจะยังต้องสกัดกลั่นศิลาสวรรค์อีกสามสี่ก้อน
ถ้าดาวดวงที่สองต้องใช้ศิลาสวรรค์สิบก้อนแล้วดาวดวงที่สามนั้นต้องใช้ศิลาสวรรค์กี่ก้อนกัน? เจียงอี้ไม่สามารถจินตนาการได้แต่สัญชาตญาณของเขารู้สึกว่ามันจะต้องใช้แก่นแท้พลังเยอะมากๆในดาวดวงต่อไป
เจียงอี้ยังคงกลั่นศิลาสวรรค์ต่อไปสามวันให้หลัง ดาวดวงที่สองก็เต็มไปด้วยแก่นแท้พลังและเจียงอี้คาดหวังไว้มากสำหรับการเปลี่ยนแปลงของดาวดวงที่สอง
เป็นอย่างที่เจียงอี้คาดดาวดวงที่สองนั้นเริ่มพองอย่างไม่หยุด และเมื่อมันพองตัวจนถึงขีดจำกัด ดาวทั้งเก้าดวงก็สว่างไสวขึ้นและแก่นแท้พลังจากดาวทั้งเจ็ดดวงนั้นก็พุ่งเข้าหาดาวดวงที่สอง ซึ่งดาวดวงแรกก็ยังคงสงบนิ่งอยู่
ในขณะเดียวกันลมและก้อนเมฆเหนือพื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์ก็เริ่มก่อตัวขึ้น พลังงานฟ้าดินต่างมารวมกัน ณ ที่แห่งนี้ ดาวดวงหนึ่งในสวรรค์เก้าชั้นฟ้าสว่างขึ้นในขณะที่สงศักดิ์สิทธิ์ถูกยิงลงมา มันถูกยิงผ่านสวรรค์เก้าชั้นฟ้าและผ่านเลยอาคมยับยั้งของพระราชวังจักรวาลและฝังเข้าไปในร่างของเจียงอี้
หลังจากที่ดาวดวงที่สองเกิดการเปลี่ยนแปลงความผิดปกติของฟ้าดินก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เจียงอี้ไม่รู้ว่ามันเกิดสิ่งนี้ขึ้นเพราะจิตของเขาทั้งหมดนั้นจดจ่ออยู่กับการเปลี่ยนแปลงของดวงดาวดวงที่สองในตันเทียนของเขาเขาไม่ได้ตระหนักถึงพลังของดาวสวรรค์ทั้งเก้าที่เข้ามาในดาวดวงที่สองอย่างเงียบๆและช่วยให้มันเปลี่ยนแปลง
เขานั้นไม่ทันได้รู้ตัวถึงเรื่องทั้งหมดนี้แต่มีความรู้สึกมหาศาลที่โลกภายนอก
ในประวัติศาสตร์ของทวีป…เมื่อใดก็ตามที่มีความผิดปกติของฟ้าดินนั้นคือตอนที่มีคนบุกทะลวงไปยังขอบเขตเทียนจุน(ราชันสวรรค์)
มันยากแค่ไหนกันที่จะทะลวงไปยังขอบเขตเทียนจุนได้?
ความผิดปกติของฟ้าดินคราวก่อนนั้นทุกๆคนต่างก็สงสัยในอดีต ทุกคนคิดว่ามันเป็นจักรพรรดินีสัตว์อสูร แต่อย่างไรก็ตาม ในครั้งนี้มันเกิดขึ้นในป่าอเวจี แต่จักรพรรดินีสัตว์อสูรอยู่ในหุบเขาสามหมื่นลี้มาตลอด ดังนั้นมันอาจจะเป็นราชันสัตว์อสูรที่พัฒนาเป็นจักรพรรดิอสูรโดยไม่ทันรู้ตัวหรือไม่ก็มีใครบางคนในป่าอเวจีที่กำลังบุกทะลวงสู่ขอบเขตเทียนจุนอยู่
มันเป็นเรื่องยากสำหรับราชันสัตว์อสูรที่จะบุกทะลวงเป็นจักรพรรดิมากกว่าเหล่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังบุกทะลวงไปยังขอบเขตเทียนจุนป่าอเวจีมีราชันสัตว์อสูรสองตน แต่ผู้เชี่ยวชาญมากมายในทวีปนี้รู้ดีว่าราชันสัตว์อสูรทั้งสองนั้นไม่น่าเกรงขามและพวกมันไม่ได้อยู่ในระดับที่จะสามารถพัฒนาเป็นจักรพรรดิสัตว์อสูรได้ หากไม่ใช่เพราะหลายศตวรรษและโชคประหลาด, มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกมันจะทะลวงขอบเขตเทียนจุนได้
นั่นก็หมายความว่าเรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาแม่เฒ่าบุปผาสีเงินแห่งอาณาจักรเทียนเซวี่ยนคงไม่มีวันทะลวงขอบเขตได้อีกแล้วในชีวิตนี้ แล้วผู้ใดกันที่จะสามารถบ่มเพาะพลังในป่าอเวจีได้?
ทันใดนั้นชื่อของคนผู้นั้นก็ผุดขึ้นมาในใจ!
เรื่องที่เจียงอี้ได้เป็นผู้สืบทอดจากจอมเวทย์คือข้อมูลที่ตระกูลต่างๆรับรู้สัตว์อสูรหยาจื้อนั้นโดดเด่นเกินไปและเมื่อพวกเขาได้ตรวจสอบข้อมูลก็พบว่าสัตว์อสูรหยาจื้อนั้นเป็นสัตว์วิญญาณของจอมเวทย์
ผู้คนส่วนใหญ่คิดย้อนกลับไปแล้วนึกถึงความผิดปกติของฟ้าดินที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ตอนที่เจียงอี้นั้นอยู่ในหุบเขาสามหมื่นลี้ครั้งแรกมันได้เกิดขึ้นที่หุบเขาอัคคีเมฆา หลังจากนั้น ไม่ใช่ว่าเจียงอี้ไปขัดขวางและเข่นฆ่ากองทัพอาณาจักรเสินหวู่ในหุบเขาทลายวิญญาณหรอกหรือ?
เมื่อข้อสันนิษฐานนี้ออกมาผู้เชี่ยวชาญหลายคนต่างก็ตกตะลึง หลังจากที่พวกเขาเชื่อมโยงมันในตอนที่ความแข็งแกร่งของเจียงอี้พุ่งทะยานขึ้นสูง ทุกคนก็รู้สึกเสียวสันหลังวาบ มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้พวกเขาหนาวสั่นแม้ว่าอากาศมันจะไม่ได้เย็นก็ตาม
จักรวรรดิมังกรเวหาและอาณาจักรทั้งสี่ส่งข้อมูลไปยังหน่วยสอดแนมที่ซ่อนเร้นอยู่ในเมืองเซี่ยยวี่พวกเขาจะต้องหาทางทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ทั้งหมดว่าเจียงอี้ที่อยู่ในเมืองนั้นเป็นตัวปลอมหรือตัวจริง
หากเป็นเจียงอี้ตัวปลอมเช่นนั้นสถานการณ์นี้ก็จะเริ่มจริงจัง!
หากเขาจะแข็งแกร่งเร็วขึ้นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ– ก่อนสิ้นสัญญาสามปี ความแข็งแกร่งของเขาคงจะท้าทายสวรรค์ เมื่อถึงตอนนั้นอาณาจักรทั้งสี่และจักรวรรดิมังกรเวหาก็คงจะถูกกำจัดโดยน้ำมือของเขาแต่เพียงผู้เดียว
สุดท้ายเด็กนั่นยังคงทำการสกัดกลั่นศิลาสวรรค์เขากำลังทำลายอนาคตตัวเอง…..
จักรพรรดินีสัตว์อสูร,จูเก๋อชิงหยุนและสุ่ยโย่วหลานตระหนักถึงมันได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างก็ถอนหายใจและแสดงสีหน้าเวทนาออกมา นี่คือช่วงเวลาที่พวกเขาได้รู้เห็นการเกิดและการดับไปของอัจฉริยะรุ่นนี้…..
บทที่ 404 พวกเขากำลังจะทำอะไรกันแน่?
ตัวปลอมของเจียงอี้ที่อยู่ในเมืองเซี่ยยวี่ถูกพบอย่างรวดเร็ว
อาณาจักรต้าเซี่ยกำลังจะประสบกับมหันตภัยครั้งใหญ่ อีกทั้งผู้กุมบัลลังก์ในตอนนี้ยังเป็นเพียงอิสตรี ดังนั้นขุนนางส่วนใหญ่จึงไม่คาดหวังว่าอาณาจักรจะฟื้นฟูกลับมาดังเดิม
ด้วยเหตุนี้ ขั้วอำนาจที่เหลือจึงได้ลอบส่งสายลับเข้ามา อันที่จริงเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับซูอวี่และซูเหิงล้วนแต่มีผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น ขุนนางหนึ่งในสามของอาณาจักรถูกซื้อตัวไปแล้ว กระทั่งขันทีและสาวใช้ในวังก็ยังถูกติดสินบน
หน้ากากหนังมนุษย์ที่ซูรั่วเสวี่ยสั่งให้ทำขึ้นมีคุณภาพค่อนข้างดีและคนที่แสดงเป็นเจียงอี้เองก็มีรูปร่างคล้ายตัวจริงอยู่หลายส่วน
อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งและบุคลิกนั้นเป็นเรื่องยากที่จะลอกเลียนแบบ ตราบเท่าที่มีคนทุกเทเวลาเฝ้าสังเกตอย่างรอบครอบ ต่อให้เป็นหน่วยสอดแนมมือใหม่ก็ย่อมละแคะระคายเมื่อเวลาผ่านไปไม่ได้นาน
ในตอนนี้หลายฝ่ายยืนยันได้แล้วว่าเจียงอี้และอสูรหยาจื้อไม่ได้อยู่ในเมืองเซี่ยยวี่อีกต่อไป ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกเขาได้กลับไปยังพื้นที่ต้องห้ามแล้ว ดังนั้นทุกฝ่ายจึงสามารถสรุปได้ว่าบุคคลที่ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดินวิปลาสก็คือเจียงอี้อย่างแน่นอน
…….
“สตรีศักดิ์สิทธิ์จี!”
สองผู้อาวุโสแห่งโถงวรยุทธหลักโผล่ปรากฏตัวอย่างรวดเร็ว การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมขณะที่หนึ่งในนั้นกล่าวด้วยน้ำจริงจัง
“พวกเราได้รับข่าวสำคัญมา มีใครบางคนที่อยู่ในป่าอเวจีทำให้เกิดปรากฏการณ์ฟ้าดินวิปลาสและได้รับพลังจากเก้าดาราสวรรค์ จากแหล่งข่าวที่ได้รับมา มีความเป็นไปได้มากว่าคนผู้นั้นคือเจียงอี้!”
“ดังนั้นปรากฏการณ์สองครั้งก่อนหน้านี้ก็ควรจะเป็นฝีมือของเขาด้วยเช่นกัน ดังนั้นพวกเราจึงเห็นควรว่าจะดำเนินแผนการของท่านทันทีหลังจากที่ท่านประมุขกลับมา หากท่านประมุขเห็นชอบด้วย พวกเราก็จะลงมือกำจัดเจียงอี้โดยเร็ว”
“ฟ้าดินวิปลาส?”
ดวงตาอันงดงามของจีทิงยวี่สั่นไหนพร้อมกับเผยให้เห็นความเสียใจและเสียดายอย่างสุดซึ้งออกมาแวบหนึ่ง แต่พริบตาต่อมามันก็เลือนหายไปและถูกแทนที่ด้วยความเย็นชา
“พวกเราจะเริ่มแผนการทันทีหลังจากที่ท่านประมุขกลับมา แต่ก่อนที่จะถึงตอนนั้น พวกเราสมควรที่จะเตรียมตัวสักเล็กน้อย”
……
“หืม? ดาวดวงที่สองไม่ได้เปลี่ยนเป็นสีแดง?”
เจียงอี้ค้นพบว่าการเปลี่ยนแปลงของดาวดวงที่สองไม่ได้เหมือนกับที่เขาคิดเอาไว้ ในครั้งนี้มันได้แปรสภาพเป็นดวงดาวสีส้มแทน ที่ด้านบนของมันยังมีชั้นแสงส้มที่คอยวนเวียนอยู่รอบๆ แต่เมื่อสังเกตให้ดีก็จะพบว่าทั้งดาวดวงแรกและดาวดวงที่สองต่างก็กำลังเกื้อกูลกันด้วยความสัมพันธ์พิเศษบางอย่าง
“นี่ข้าครอบครองแก่นแท้พลังสีส้มจริงๆ? มันเท่ากับว่าตอนนี้ข้ามีแก่นแท้พลังสามชนิดภายในร่าง นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับข้ากันแน่?”
เจียงอี้อดที่จะรู้สึกกังวลไม่ได้ คนทั่วไปจะมีแก่นแท้พลังเพียงชนิดเดียวเท่านั้น แต่นับตั้งแต่ที่เขาบ่มเพาะศาสตร์นิรนามเป็นต้นมา เขาก็ได้รับแก่นแท้พลังสีดำมา จากนั้นก็ตามมาด้วยแก่นแท้พลังสีแดงเพลิง คราวนี้เป็นแก่นแท้พลังสีส้ม…
“ใครคือคนที่ทิ้งศาสตร์นิรนามไว้ให้กับข้ากันแน่? ท่านแม่กล่าวว่าท่านไม่ใช่คนที่ปิดผนึกตันเทียนของข้า เช่นนั้นนางก็ไม่ใช่น่าจะใช่คนที่ทิ้งศาสตร์นิรนามไว้ แล้วถ้าหากดวงดาวทั้งเก้าแปรสภาพ หลังจากนั้นจะเป็นเช่นไรต่อไป?”
เจียงอี้เต็มไปด้วยความคาดหวังและกังวลใจในเวลาเดียวกัน ศาสตร์นิรนามเปลี่ยนชีวิตเขาจากเศษขยะไร้ค่าสู่ยอดอัจฉริยะสะเทือนพิภพ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้ร่างกายของเขาผิดแผกไปจากมนุษย์ธรรมดามากขึ้นเรื่อยๆ
“แก่นแท้พลังชนิดใหม่นี้ค่อนข้างดุร้ายนัก ข้าอยากจะรู้จริงมันมันจะทรงพลังขนาดไหน?”
หลังจากที่ทำการตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงในร่างกาย เจียงอี้ก็ทดลองโคจรแก่นแท้พลังสีส้มและปลดปล่อยการโจมตีไปที่กำแพง แม้ว่ากำแพงยังคงไร้ซึ่งรอยขีดข่วนเนื่องจากพลังของอาคมยับยั้ง แต่เขาก็ตระหนักได้ว่ามันทรงพลังขึ้นอย่างน้อยสองเท่าเลยทีเดียว
“ไม่เลว! หากว่าทำการขัดเกลาศิลาสวรรค์ต่อไปจนสามารถแปรสภาพดาวดวงที่สามได้ พลังของข้าก็จะเทียบได้กับยอดฝีมือขอบเขตจินกัง เมื่อถึงตอนนั้นพลังของวายุคณานับก็จะถูกยกระดับขึ้นอีกหลายเท่า!”
เจียงอี้รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขาบรรลุรูปแบบเต๋าระดับกลางซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ยากที่สุดของการทะลวงสู่ขอบเขตจินกังแล้ว ตราบเท่าที่เขาหาทรัพยากรได้มากพอ การทะลวงขอบเขตก็แทบจะเป็นเรื่องที่แน่นอน
ด้วยความกระหายในพลัง เขาไม่ลังเลที่จะขัดเกลาศิลาสวรรค์แม้ว่าจะต้องจ่ายด้วยการทำลายอนาคตของตัวเองก็ตาม
หลังจากที่ทานอาหารและนอนหลับพักผ่อน เจียงอี้ก็ทำการขัดเกลาศิลาสวรรค์ต่อไป แต่หลังจากที่ดูดซับพลังของมันไปหนึ่งก้อน ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความตกใจ
หลังจากที่เจียงอี้ขัดเกลาศิลาสวรรค์ไปหนึ่งก้อน ดาวดวงที่สามกลับปราศจากการตอบสนอง เดิมทีเขาคิดว่าการแปรสภาพมันคงจะใช้พลังงานสองถึงสามเท่าของดาวดวงที่สอง แต่หลังจากที่ตรวจสอบจนแน่ใจแล้ว เขาก็พบว่ามันต้องการพลังงานมากกว่านั้นถึงยี่สิบเท่า!
ถูกต้องแล้ว มันไม่ใช่แค่สองหรือสามเท่า! แต่เป็นยี่สิบเท่า!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง… หากว่าเจียงอี้ต้องการจะแปรสภาพดาวดวงที่สาม เขาจำเป็นต้องใช้ศิลาสวรรค์ถึงสองร้อยก้อน!
“ศิลาสวรรค์สองร้อยก้อน… ด้วยจำนวนขนาดนี้ มันสมควรสร้างผู้เชี่ยวชาญจุดสูงสุดขอบเขตเสินโหยวได้ถึงสิบคนเลยไม่ใช่หรือ?”
หัวใจของเจียงอี้ดำดิ่งลงเหว เป็นที่รู้กันดีว่าศิลาสวรรค์นั้นหายากเกินไป หากไม่ใช่เพราะอาณาจักรต้าเซี่ยขุดเจอสายแร่ศักดิ์สิทธิ์โดยบังเอิญ เขาจะไปหาทรัพยากรจำนวนมากขนาดนี้มาจากไหน?
หากเขาต้องบ่มเพาะพลังด้วยตัวเอง เขาต้องใช้อาจจะต้องใช้เวลาสิบหรือยี่สิบปีในการสั่งสมแก่นแท้พลังเพื่อแปรสภาพดาวดวงที่สาม แต่มีหรือที่เหล่าศัตรูในเงามืดจะปล่อยให้เขามีเวลาขนาดนั้น?
“การสร้างผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดผู้หนึ่งต้องใช้ศิลาสวรรค์สิบถึงยี่สิบก้อน แต่ข้ากลับต้องการมากกว่านั้นถึงสิบเท่า! เป็นไปได้ไหมว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูรจะติดสินผิด ไม่ใช่เพราะศิลาสวรรค์หรอก แต่อาจเป็นเพราะศาสตร์บ่มเพาะของข้านี่แหละที่จะทำลายอนาคตของตัวข้าเอง ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้หัวเราะเย้ยหยันตัวเอง เขาตระหนักได้แล้วว่าจักรพรรดินีสัตว์อสูร, สุ่ยโย่วหลานและคนอื่นๆล้วนคิดผิด แม้ว่าเขาจะไม่ขัดเกลาศิลาสวรรค์ แต่อนาคตของเขาก็แทบจะถูกปิดตายไปเรียบร้อยแล้ว
ในเมื่อดาวดวงที่สามยังต้องการทรัพยากรมากขนาดนี้ แล้วสำหรับดวงที่สี่และดวงที่ห้าล่ะ? เกี่ยวกับเรื่องนี้เจียงอี้หวาดกลัวเกินไปที่จะจินตนาการถึงมัน
หากต้องพึ่งพาเพียงการบ่มเพาะพลังด้วยตัวเอง เขาก็ไม่มั่นใจว่าตัวเองจะสามารถแปรสภาพดาวดวงที่สี่ได้ก่อนที่เขาจะตายเพราะความแก่ชราหรือไม่?
“ช่างมัน ในตอนนี้ข้าควรที่จะจดจ่ออยู่กับการขัดเกลาศิลาสวรรค์เท่านั้น ส่วนเรื่องอนาคตก็คงต้องปล่อยให้เป็นลิขิตของสวรรค์”
เจียงอี้ส่ายหัวและขจัดความคิดกวนใจทั้งหมด จากนั้นก็มุ่งมั่นอยู่กับการขัดเกลาศิลาสวรรค์ต่อไป
ทุกครั้งที่ดูดซับพลังของศิลาสวรรค์ห้าก้อน เขาจะพักผ่อนหนึ่งวัน เขาทำเช่นนี้เรื่อยไปจนกว่าจะขัดเกลาได้ครบทั้งหนึ่งร้อยยี่สิบก้อน
หลังจากที่ฝึกฝนอยู่ในราชวังจักรวาลครบสี่เดือน ในที่สุดศิลาสวรรค์ก็ถูกใช้ไปจนหมด เวลานี้ครึ่งหนึ่งของดาวดวงที่สามเต็มไปด้วยแก่นแท้พลัง หากเจียงอี้ต้องการที่จะบ่มเพาะต่อ เขาจำเป็นต้องกลับไปยังเมืองเซี่ยยวี่
“นี่ก็ปาเข้าไปสี่เดือนแล้ว ได้ฤกษ์เดินทางกลับเสียที!”
เจียงอี้เก็บข้าวของทั้งหมด จากนั้นก็ควบคุมอาคมยับยั้งและส่งตัวเองออกไปนอกหน้าผา
“กลับมา!”
เขายืนอยู่บนขอบหน้าผาและตะโกน จากนั้นราชวังจักรวาลเบื้องล่างก็ส่องแสงก่อนที่จะค่อยๆย่อขนาดลงและบินเข้ามาอยู่ในมือของเขา
“อสูรหยาจื้อ จงออกมา!”
ราชวังจักรวาลหลังน้อยส่องแสงอีกครั้ง จากนั้นมันก็ปลดปล่อยสิ่งมีชีวิตขนาดยักษ์ออกมา เจียงอี้กระโดดขึ้นไปบนหลังของอสูรหยาจื้อและบินตรงไปยังอาณาจักรต้าเซี่ยทันที
ใช้เวลาเพียงหนึ่งวัน เจียงอี้ก็มาถึงชายแดนของอาณาจักรต้าเซี่ยแล้ว แต่เขาก็สั่งให้อสูรหยาจื้อมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเล็กๆซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลเฉียนเพื่อรับข่าวสารใหม่ๆในช่วงที่เขาไม่อยู่
“คารวะท่านอุปราช! ตอนนี้สถานการณ์โดยรวมนับว่าเงียบสงบมาก ไม่มีเหตุการณ์สำคัญอันใดขอรับ!”
เมื่อเจียงอี้เดินเข้ามาในหมู่บ้าน ผู้ดูแลจากตระกูลเฉียนก็รีบออกมาต้อนรับเขาทันที พวกเขาพูดคุยกันไปได้สักพัก แต่ไม่นานนักผู้ดูแลก็คล้ายกับนึกบางสิ่งขึ้นมาได้และกล่าวขึ้นมา
“ท่านอุปราช อันที่จริงก่อนหน้านี้ได้มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น แต่ด้วยตำแหน่งของข้า ข้าจึงไม่ทราบรายละเอียดมากนัก”
“พูด” เจียงอี้กล่าวอย่างเรียบเฉย
ผู้ดูแลคนนั้นนำแผนที่ขึ้นมาและชี้ไปยังเมืองๆหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาจักรเทียนเซวี่ยน
“เมื่อไม่นานมานี้ จักรวรรดิมังกรเวหา, หอดาราสุ่วเยว่, อารามเซน, สามสำนักใหญ่รวมไปถึงทุกอาณาจักรต่างก็ส่งคนเข้าไปแทรกซึมอยู่ในเมืองซีหนิง”
“เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังเตรียมที่จะมุ่งหน้าไปยังทะเล ความจริงแม้กระทั่งนายน้อยอู๋ซวงและประมุขน้อยของข้าก็กำลังจะเดินทางไปที่นั่นเช่นกัน”
“หากท่านอุปราชต้องการที่จะทราบข้อมูลมากกว่านี้ ข้าน้อยสามารถส่งคนไปหาท่านประมุขน้อยได้นะขอรับ”
“มีผู้คนมากมายมุ่งหน้าไปที่นั่น? แม้กระทั่งอู๋ซวงและว่านก้วนก็จะไปด้วย?”
คิ้วของเจียงอี้ขมวดเข้าหากัน ขณะที่ดวงตาของเขาเผยให้เห็นความสงสัย เนื่องจากช่วงนี้เมืองเซี่ยนยวี่ยังคงปลอดภัย ดังนั้นจึงไม่สำคัญหากว่าเขาจะกลับช้ากว่าเดิมสักเล็กน้อย เขาโบกมือและเอ่ยต่อ
“ส่งข้อความไปหาว่านก้วน ถามไปว่าพวกเขากำลังจะทำอะไรกันแน่?”