เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 407-408
บทที่ 407 มาทั้งหมดในคราวเดียวหรือจะมาทีละคน?
เฉียนว่านก้วนรู้สึกเจ็บปวดมากในวันนี้มันไม่ใช่แค่เขา แต่แม้แต่จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยก็รู้สึกอับอายเช่นกัน ผู้คนหลายคนในงานเลี้ยงแยกพวกเขาออกไปด้วยเหตุผลง่ายๆ เพียงเพราะพวกเขาเป็นสหายเจียงอี้
ชื่อเสียงของเจียงอี้ดังกระฉ่อนเร็วเกินไปเขามีอายุไล่เลี่ยกับนายน้อยและคุณหนูทั้งหลายในปัจจุบัน แต่ชื่อเสียงและพละกำลังของเขาเทียบได้กับบรรพบุรุษของเขา เผลอๆยังเกินกว่ารุ่นพ่อของพวกเขาหลายๆคน
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ…ไม่มีผู้ใดในงานเลี้ยงนี้มีคุณสมบัติที่จะสามารถเทียบกับเจียงอี้ได้เลยไม่แม้แต่องค์ชายหลิงเฟย, องค์หญิงหลิงเยว่หรือสุ่ยเชียนโหรว
เจียงอี้เคยเป็นที่รู้จักเพราะพ่อของเขาหลายคนอาจจะบอกว่าเขาเป็นบุตรนอกสมรสของเจียงเปี๋ยหลี แต่ในตอนนี้ เจียงอี้นั้นโด่งดังได้ด้วยตัวเองและไม่ต้องพึ่งพาชื่อเสียงของคนอื่นเลย
เขาเป็นอุปราชและราชาไร้มงกุฏของอาณาจักรต้าเซี่ย,จอมพลแห่งอาณาจักรเทียนเซวี่ยน,และผู้สืบทอดของจอมเวทย์ เขาเป็นผู้ที่สามารถทำให้หยุนฉิงเทียนและแม่เฒ่าบุปผาสีเงินโค้งคำนับให้เขาได้!
หลายคนแสดงความอิจฉา,ไม่พอใจและเกลียดขี้หน้าเจียงอี้ พวกเขาบอกว่าเขานั้นเพียงมีโชคและพึ่งพาจักรพรรดินีสัตว์อสูร, สุ่ยโย่วหลาย, จูเก๋อชิงหยุน และคนอื่นๆ อย่างไรก็ตามพวกเขาทุกคนก็รู้ดีอยู่ในก้นบึงหัวใจว่าพวกเขาไม่ได้ดีเท่าเจียงอี้ ซึ่งก็มีแต่จะทำให้พวกเขารู้สึกอิจฉาเจียงอี้และรู้สึกขมขื่นมากขึ้น
สำหรับหลิงเฟยและหลิงเยว่แล้วเจียงอี้เคยเป็นสุนัขรับใช้ของตระกูลหลิงของพวกเขา และตอนนี้สุนัขตัวนี้ได้หันมาต่อต้านพวกเขา ส่วนเซี่ยเฟยหยูนั้นเคยเป็นมิตรกับเจียงอี้ แต่มันก็เปลี่ยนไปเป็นความเกลียดชังในตอนที่เจียงอี้ก่อกบฏ เจียงอี้กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตของตระกูลเซี่ยไปหลังจากที่เขาสังหารเซี่ยอู๋หุ่ย
และไม่มีอะไรต้องพูดเกี่ยวกับความบาดหมางระหว่างสุ่ยเชียนโหรวกับเจียงอี้มากนักและในเดือนก่อน ตู๋กูเยี่ยนถูกเจียงอี้ฉีกหน้า ผู้ที่งดงามที่สุดของงานหลายคนมีประวัติที่ไม่ดีต่อเจียงอี้นัก ส่วนนายน้อยและคุณหนูจากอาณาจักรเซิ่งหลิง, อาณาจักรเสินหวู่, อาณาจักรเป่ยเหลียงและอาณาจักรเป่ยหมางมีความรู้สึกไม่ดีต่อเจียงอี้เพราะอาณาจักรของพวกเขา
ดังนั้น…
เมื่อสหายของเจียงอี้มาถึงงานเลี้ยงพวกเขาจะถูกเย้ยหยันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในท้ายที่สุด เพื่อเอาใจเหล่านายหญิงเหล่านั้น นายน้อยบางคนก็ถึงกับส่งคนไปท้าทายพวกเขาอย่างโจ่งแจ้ง จึงเป็นผลให้เฉียนกังบาดเจ็บสาหัส
“พี่อู๋ซวงอย่าบุ่มบ่ามไป….”
ในห้องโดยสารของเรือลำใหญ่ที่สุ่ยเชียนโหรวอยู่,เฉียนว่านก้วนดึงจ้านอู๋ซวงที่กำลังโกรธจัดและเกลี้ยกล่อมให้เขาเย็นลงอย่างเงียบๆ ในตอนนี้เฉียนกังก็ถูกแบกออกไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่มีร่องรอยของความโกรธบนใบหน้าของเขา เขากลับยิ้มออกมาแทน ด้านจ้านอู๋ซวงนั้นเป็นไปในทางตรงกันข้าม ใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาบิดเบี้ยวไปเพราะความเดือดดาล
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
นายน้อยผู้สวมชุดสีม่วงผู้ที่นั่งตรงข้ามกับพวกเขามองไปที่จ้านอู๋ซวงด้วยความดูถูกและพูดว่า“อะไรนะ? นายน้อยจ้านมีโทสะหรือ? คนของเราเพียงหยอกล้อเล่นเอง! มันไม่สมควรแก่ความโกรธของเจ้าเลย หากเจ้ารู้สึกอึดอัก ทำไมไม่ขอให้คนของเจ้ามาสนุกบ้างล่ะ?”
“พี่อู๋ซวงอย่าบุ่มบ่าม!”
หยุนเฟยผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆเขาหยุดจ้านอู๋ซวงไว้ทุกคนมุ่งเป้าไปที่พวกเขาทั้งสาม หากมีสิ่งใดผิดพลาด ผู้ใต้บัญชาของพวกเขาทั้งสามอาจถูกหามออกไปหมดเหมือนกับเฉียนกัง นอกจากนี้ มันจะไม่ดีต่อตระกูลจ้านในภายภาคหน้าหากพวกเขาบาดหมางกับคนมากมายเหล่านี้
“ฮึ่ม!”
จ้านอู๋ซวงลุกขึ้นอย่างภาคภูมิใจและใบหน้าของเขานั้นกลับสงบนิ่งเขามองไปยังนายน้อยอันดับหนึ่งของตระกูลเซียว เซียวเทียนหู และเขาก็เย้ยหยัน “การให้ผู้ใต้บัญชาออกมาสู้มันมีอะไรน่าสนุก? ทำไมเจ้าไม่มาร่วมสนุกกับข้าล่ะ? เซียวเทียนหู ว่ากันว่าเจ้าเป็นผู้ที่มีกำลังมากที่สุดของรุ่นตระกูลเจ้า ท่านจอมพลเซียวหลงหวางดูปลื้มเจ้านัก อู๋ซวงก็อยากจะเป็นสักขีพยานถึงพลังที่ไม่มีผู้ใดเทียบเท่าของนายน้อยอันดับหนึ่งของอาณาจักรเป่ยหมางดูบ้าง!”
“เอ่อ….”
ความเงียบงันเกิดขึ้นดูเหมือนว่าสถานการณ์จะบานปลาย? มันเป็นเรื่องธรรมดาของนายน้อยและคุณหนูที่จะให้คนของพวกเขาต่อสู้กันในนามของพวกเขาในงานเลี้ยงเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม ปกติแล้วเหล่านายน้อยนั้นจะไม่ออกมาต่อสู้เอง เหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาก็ยังคงมีสถานะที่สูงส่ง หากใครได้รับบาดเจ็บมันก็จะไม่จบลงด้วยดีและผู้ที่เกี่ยวข้องกับทั้งสองตระกูลนั้นก็อาจจะหันมาห้ำกั่นกันและกันได้
รอยยิ้มของเซียวเทียนหูเยือกเย็นเขาเผยสายตาที่ดูน่ากลัวในดวงตาที่ไม่เบิกบานใจ ตระกูลจ้านนั้นทรงพลังอย่างไม่ต้องสงสัย อาจดูเหมือนว่าพลังของจ้านอู๋ซวงนั้นต่ำกว่าเขาแต่ตระกูลจ้านเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษ จึงทำให้พลังของจ้านอู๋ซวงเทียบได้พอๆกับเขา หากว่าพวกเขาทั้งสองสู้กันมันก็มีโอกาสสูงที่จะไม่มีผู้ชนะ
ปัญหาก็คือ….ในโอกาสเช่นนี้ที่ซึ่งบรรดานายน้อยและคุณหนูผู้มีชื่อเสียงทั่วพิภพมารวมตัวกันเขาจะถอยจากการต่อสู้ได้อย่างไร? ดังนั้น เขาเลยยิ้มอย่างอวดดี “นายน้อยจ้าน เจ้าแน่ใจนะว่าต้องการที่จะสนุก? เช่นนั้นก็อย่าหวังจะได้ความเมตตาจากข้า!”
บุฟ!
หลังพูดจบแหวนของเซียวเทียนหูก็ส่องประกายและง้าวสีทองก็ได้ปรากฏขึ้น ง้าวนั้นเปล่งประกายด้วยแสงสีทอง มันดูเหมือนมังกรที่กำลังว่ายเวียนอยู่ และเมื่อเวียนแก่นแท้พลังเข้าไปยังง้าว แสงสีทองกสว่างขึ้นทันทีและเผยกลิ่นอายที่น่ากลัวออกมา
“สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์!”
ใบหน้าของเฉียนว่านก้วนมืดมนลงไปทันที,ม่ายตาของหยุนเฟยก็หดลงและผู้ใต้บัญชาของทั้งสามตระกูลก็ได้เผยความน่ากลัวออกมาจากดวงตาของพวกเขา พวกเขาทั้งหมดรู้ว่าพลังของจ้านอู๋ซวงนั้นเท่ากันกับเซียวเทียนหู อย่างไรเสีย เซียวเทียนหูนั้นมีสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถูกขัดเกลาโดยสมบูรณ์แล้ว! สิ่งนี้ได้พลิกสถานการณ์ไปโดยสมบูรณ์ คราวนี้มันเป็นไปได้มากที่จ้านอู๋ซวงอาจจะพิการทั้งแขนขา
“ฮึฮึการมีสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์นับเป็นเรื่องใหญ่โตขนาดนั้นเชียวหรือ? คนตระกูลจ้านไม่เคยใช้อาวุธ พวกเราพึ่งพาเพียงกำปั้นในการสร้างชื่อเสียงให้แก่พวกเรา เซียวเทียนหู…”
สำหรับความกลัวที่ใหญ่ที่สุดของเฉียนว่านก้วนและหยุนเฟยคือการที่จ้านอู๋ซวงรับคำท้าอย่างกล้าหาญอย่างที่คาดนิสัยของเขาเป็นเช่นนี้ เขากล้าหาญและไม่เคยหันหลังให้กับการต่อสู้ เมื่อเขาได้ตัดสินใจแล้วก็ไม่มีใครหยุดเขาได้เลย
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ก่อนที่จ้านอู๋ซวงจะพูดจบเสียงหัวเราะจากด้านนอกก็ดังกลบคำพูดของจ้านอู๋ซวงไปโดยสมบูรณ์ ผู้คนสี่คนเรียงแถวกันมา หัวหน้านั้นเป็นชายหนุ่มเย็นชาที่ดูเหมือนจะอยู่ในวัยสามสิบ กลิ่นอายของเขาเทียบได้กับขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุด และคนสามคนที่ติดตามคนผู้นั้นมาก็ดูคุ้นเคยซึ่งพวกเขาก็คือลูกน้องตระกูลเฉียนนั่นเอง
ผู้ที่ปล่อยเสียงหัวเราะออกมานั้นคือชายหนุ่มที่สวมชุดตระกูลเฉียนหลังจากที่เขาฝ่าฝูงชนเข้ามา เขาก็มองไปที่ห้องโดยสารโดยไม่สนใจ ดวงตาของเขาดำมือดราวกับงูพิษซึ่งทำให้คุณหนูทั้งหลายพากันหวาดกลัว
“นายน้อยอู๋ซวงเราจะขอให้ท่านปกป้องศักดิ์ศรีของตระกูลเฉียนได้อย่างไรกัน? ไม่อย่างนั้น ทุกคนคงจะหัวเราะเยาะตระกูลเฉียนของเราเพราะไม่มีผู้มีความสามารถ ท่านนั่งเถิด พวกเราทั้งสี่จะต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของเราเอง!”
“เอ่อ…”
จ้านอู๋ซวงเหลือไปมองชายหนุ่มที่เย็นชาอย่างสงสัยและไม่คุ้นหน้าเขาเขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินเกี่ยวกับคนผู้นี้มาก่อน
หยุนเฟยก็แอบมองไปที่ชายหนุ่มเย็นชาด้วยความสงสัยคนของตระกูลเฉียนเป็นนักการค้าที่ดีมาโดยตลอด พวกเขาให้ความสำคัญกับความปรองดองและกฏเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้เฉียนว่านก้วนยกธงขาวแล้วและจะไม่ส่งคนมาเพิ่ม ลูกน้องตระกูลเฉียนผู้นี้ยังกล้าที่จะแสดงความคิดเห็นและตกปากรับคำที่จะต่อสู้อีก!
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เฉียนว่านก้วนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาร่างกายที่อวบอ้วนของเขาสั่นไหวขณะที่เขาหัวเราะ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยพลังงานและความกล้าหาญ และดวงตาที่เขาจ้องมองก็ได้เปลี่ยนจากคนขี้คลาดในตอนนี้ไปอย่างสิ้นเชิง
ทันใดนั้นเขาก็กระแทกโต๊ะและลุกขึ้นยืนเขาพูดออกมาอย่างกล้าหาญ “ถูกต้องแล้ว พี่อู๋ซวง เจ้านั่งลงเถอะ! นี่ควรเป็นการปกป้องศักดิ์ศรีของคนตระกูลเฉียนของเรา เซียวเทียนหู ข้าจะขอสนุกกับเจ้าในวันนี้ ตระกูลของเราส่งคนมาสี่คน และเราขอท้าคนของตระกูลเซียวทั้งหมดของเจ้า จะมาทั้งหมดในคราวเดียวหรือมาทีละคน ก็ตามแต่เจ้าต้องการเลย!”
“ฮือฮา!”
ผู้ชมทั้งหลายพากันอยู่ในความโกลาหลสิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงที่สุด….ไม่ใช่ความจริงที่ว่าตระกูลเฉียนส่งคนสี่คนมาท้าลูกน้องกว่าสิบคนของเซียวเทียนหู แต่มันเป็นทัศนคติที่เฉียนว่านก้วนได้แสดงออกมา!
ชายตัวเล็กและอ้วนผู้นี้ที่ยิ้มอยู่เสมอผู้ที่ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้าผู้ใด,และผู้ที่ยังไม่กล้าแม้แต่จะมีกิริยาตอบโต้กลับก่อนหน้านี้ที่เซียวเทียนหูเพิ่งเข้ามาดูถูกเขา จะกลายเป็นผู้ที่ยืนหยัดขึ้นมาในทันใดได้อย่างไรกัน? ตระกูลเฉียนนั้นให้ความสำคัญกับความมั่งคั่งจากความปรองดองเสมอ ครั้งนี้พวกเขาจะหยุดการปรองดองจริงหรือ?
จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยก็ตกตะลึงเช่นกัน!
หากว่าเขาเพิ่งเคยเห็นเฉียนว่านก้วนครั้งแรกพวกเขาก็คงคิดว่าเขายิ่งใหญ่ และเมื่อพวกเขาได้ได้เห็นลูกน้องตระกูลเฉียนแสดงกิริยาท่าทางเฉพาะนี้ออกมา ร่างกายของพวกเขาก็สั่นเทาและดวงตาของพวกเขาก็สว่างขึ้น
ในที่สุดพวกเขาก็รู้แล้วว่าทำไมเฉียนว่านก้วนกลายเป็นเช่นนี้มันเป็นเพราะว่า….ผู้สนับสนุนของเขากลับมาแล้ว ชายหนุ่มที่เย็นชาผู้นี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจาก เจียงอี้!
บทที่ 408 สู้แบบหวู่? สู้แบบเหวิน
“ทั้งหมดในคราวเดียว? ทีละคน?”
ม่านตาของเซียวเทียนหูหดแคบลงพร้อมกับกวักมือเรียกลูกน้องคนหนึ่ง “เซียวเหมิง ในเมื่อตระกูลเฉียนรนหาที่ตายนัก เช่นนั้นเจ้าก็ไปเล่นกับพวกมันหน่อย… เอาเป็นสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งแล้วกัน ผู้คนจะได้ไม่หัวเราะเยาะพวกเราทีหลัง!”
เหล่าทายาทตระกูลใหญ่ต่างจับจ้องฉากตรงหน้าด้วยความตื่นเต้น พวกเขาไม่สนใจแม้กระทั่งว่าทำไมจู่ๆเฉียนว่านก้วนถึงกล้าหาญขึ้นมาอย่างกะทันหัน ตราบเท่าที่มีการต่อสู้ให้พวกเขาได้รับชมอย่างเพลิดเพลิน แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
อันที่จริงมีกระทั่งคุณชายบางคนที่อยากให้เรื่องนี้บานปลายจนถึงขั้นเกิดเป็นศึกระหว่างตระกูล เพราะอย่างไรเสียความบาดหมางของผู้อื่นก็ไม่เกี่ยวกับพวกเขาอยู่แล้ว
เจียงอี้เหลือบมองไปยังคนทั้งสามที่อยู่ด้านหลังพร้อมกับเอ่ย
“พวกเจ้าจะออกไปก่อน หรือจะให้ข้าเป็นคนเปิดดี?”
“ข้าเอง!”
ทันใดนั้นผู้อาวุโสที่มีผมสีเทาก็เอ่ยขึ้น ด้วยการสนับสนุนจากเจียงอี้ ตระกูลเฉียนก็ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวผู้ใดอีกต่อไป กำลังใจของพวกเขากลับคืนมาอีกครั้ง
ความจริงแล้ว หากว่าไม่เกรงกลัวปัญหา พวกเขาอยากขอให้เจียงอี้กวาดล้างคนของตระกูลเซียวให้หมดเสียด้วยซ้ำ ด้วยความแข็งแกร่งของชายผู้นี้ ถ้าไม่นับยอดฝีมือขอบเขตจินกัง เขาก็คือราชาไร้พ่ายของเหล่าผู้ฝึกยุทธอย่างไม่ต้องสงสัย!
“ระวังตัวด้วย”
เจียงอี้กล่าวด้วยรอยยิ้มก่อนที่จะนำสองคนที่เหลือกลับไปนั่งที่ด้านหลังเฉียนว่านก้วนและรับชมการต่อสู้อย่างสบายใจ
“ชายผู้นี้…”
มีดวงตาหลายคู่จับจ้องมาที่ร่างของเจียงอี้ไม่ว่าจะเป็น สุ่ยเชียนโหรว, ตู๋กูเยี่ยน, เซี่ยเฟยหยูและเจียงนี่หลิว คนเหล่านี้ล้วนแต่มองไปยังแผ่นหลังของเขาด้วยความสงสัย
แม้ว่าเขาจะใช้หน้ากากปลอมตัวและตั้งใจดัดเสียง แต่สรีระร่างกายของเขายังคงเดิม มันจึงทำให้เหล่าผู้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กันมาก่อนเกิดความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด
โชคดีที่เฉียนว่านก้วน, จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยต่างก็รู้งานและทำตัวเป็นนักแสดงที่ดี พวกเขาเพียงแค่กวาดตามองชั่วครู่และละความสนใจไป มีเพียงแค่เจ้าอ้วนเฉียนที่ใช้มือตบไหล่เจียงอี้และแสร้งทำเป็นให้กำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อลบล้างความสงสัยของฝูงชน
“แม่ทัพสังกัดกองกำลังเหล็กแห่งตระกูลเฉียน! เฉียนซวี!”
ผู้อาวุโสตระกูลเฉียนเดินไปที่ใจกลางสนามประลอง เมื่อเห็นเช่นนั้นตัวแทนของตระกูลเซียวก็แสยะยิ้มและตะโกนออกมาด้วยท่าทียียวน
“ข้า เซียวเหมิง ผู้คุ้มกันลับของตระกูลเซียว! สหายจากตระกูลเฉียน เจ้าต้องการต่อสู้แบบหวู่หรือเหวิน?”
“สู้แบบหวู่? สู้แบบเหวิน?”
เมื่อเห็นว่าเจียงอี้มึนงง ผู้เชี่ยวชาญตระกูลเฉียนที่นั่งข้างๆก็รีบเอ่ยอธิบาย “กติกาการต่อสู้มีสองแบบขอรับ สู้แบบหวู่หมายถึงทั้งสองฝ่ายสามารถใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดออกมาได้ ส่วนสู้แบบเหวินนั้นจะไม่อนุญาตให้ใช้แก่นแท้พลังขอรับ”
“อ่อ…”
เจียงอี้เข้าใจอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่อยู่ที่นี่ล้วนแต่เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดทั้งสิ้น พวกเขาต่างก็ครอบครองความแข็งแกร่งที่แทบจะเท่าเทียมกัน ดังนั้นการสร้างข้อได้เปรียบมีเพียงแค่ต้องมีทักษะด้านวิทยายุทธ, เคล็ดวิชาหรือมีความสามารถในการตีความรูปแบบเต๋าที่สูงกว่าอีกฝ่ายเท่านั้น
“สู้แบบเหวิน!”
คำตอบของเฉียนซวีไม่ได้เหนือความคาดหมาย อันที่จริงการต่อสู้แบบเหวินนั้นอันตรายมากเพราะมันเป็นการต่อสู้มีโอกาสสัมผัสร่างกายของฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายมากที่แขนหรือขาของผู้เข้าต่อสู้จะถูกตัดขาดระหว่างการประลอง
ยกตัวการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เฉียนกังได้เข้าต่อสู้อย่างดุเดือดแต่ก็พลาดท่าจนทำให้หน้าอกของเขาถูกแทงทะลุ ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องอันตรายของการต่อสู้รูปแบบนี้ แต่ในขณะเดียวกันเฉียนซวีก็เลือกการต่อสู้แบบเหวินเพื่อเพิ่มชื่อเสียงให้กับตระกูลเฉียนและยังสามารถทำให้เซียวเหมิงได้รับบาดเจ็บสาหัสได้
เรือของสุ่ยเชียนโหรวมีขนาดใหญ่มาก ห้องโถงที่ทุกคนกำลังยืนอยู่ในตอนนี้มีเส้นผ่านศูนย์กลางหลายเมตรและใหญ่พอที่จะทำให้กลายเป็นลานประลองได้อย่างสบายๆ
ฟึ่บ!
เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้น เฉียนซวีก็ทะยานเข้าหาเซียวเหมิงโดยตรงและไร้ซึ่งอาวุธราวกับต้องการที่จะฉีกร่างของฝ่ายตรงข้ามด้วยมือเปล่า!
ฟึ่บ! ฟึ่บ! ฟึ่บ!
เหล่าผู้คุ้มกันของแต่ละตระกูลต่างก็ลุกขึ้นยืนและเตรียมความพร้อมอยู่ข้างกายของเหล่าเจ้านายเพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นระหว่างการต่อสู้
“เหอะ!”
เซียวเหมิงแสยะยิ้ม เขานำดาบยักษ์ออกมาจากด้านหลังและชี้ไปด้านหน้าพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา
เมื่ออยู่ห่างจากเฉียนซวีเพียงแค่สิบเมตร เขาก็กระโจนขึ้นไปบนอากาศและตีลังกาในขณะที่ควงดาบในมือหมายจะฟันศีรษะของฝ่ายตรงข้าม
ควับ! ควับ! ควับ!
ดาบกวัดแกว่งอยู่กลางอากาศและกลายเป็นภาพมายานับสิบ พวกมันทั้งหมดมุ่งเป้าไปที่ศีรษะของเฉียนซวีอย่างต่อเนื่อง
“หืม?”
อย่างไรก็ตาม เจียงอี้ไม่ได้สนใจคนตระกูลเซียวผู้นั้น แต่กลับจดจ่ออยู่กับเฉียนซวีแทน เมื่อผู้เชี่ยวชาญที่นั่งอยู่ข้างกายเห็นดังนั้น เขาจึงเอ่ยขึ้นมา
“นี่คือรูปแบบเต๋าวารีธาตุ—พันคลื่น! ฮ่าฮ่า พี่ซวีหยั่งรู้รูปแบบเต๋าอัคคีธาตุ ซึ่งทั้งสองนับว่าเป็นศัตรูกันตามธรรมชาติ ดูเหมือนว่าเซียวเหมิงคงต้องลำบากแล้ว”
เจียงอี้พยักหน้าและไม่พูดอะไรต่อ อีกด้านหนึ่ง เฉียนซวีก็วาดฝ่ามือ วินาทีต่อมากริชเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น เขาไม่ได้หลบเลี่ยงการโจมตีที่พุ่งเข้ามาแต่อย่างใด แต่กลับใช้กริชในมือเข้าต้านรับดาบยักษ์ตรงหน้า
เช้ง! เช้ง! เช้ง!
เสียงโลหะกระทบกันหลายระลอก กริชของเฉียนซวีสามารถต้านทานฝ่ายตรงดาบยักษ์ข้ามได้อย่างสูสี
อย่างไรก็ตาม ร่างของเฉียนซวีก็ถูกบังคับให้ต้องถอยร่นไปเรื่อยๆ ดูเหมือนว่าแท้จริงแล้วเซียวเหมิงจะมีฝีมือสูงกว่าและสะกดข่มอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์ ด้วยความผิดพลาดเพียงครั้งเดียว เฉียนซวีอาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ก็เป็นได้
เพียงแค่ประกายไฟก็อาจทำให้ทุ่งหญ้ามอดไหม้ได้!
เฉียนซวีเผยรอยยิ้มและยังคงรับการโจมตีจากเซียวเหมิงอย่างไม่ทุกข์ร้อน เขาไม่ได้แสดงความกังวลออกมาแต่กลับตวัดกริชในมือให้รวดเร็วยิ่งขึ้นและก่อเกิดประกายไฟชุดใหญ่ มันรวดเร็วจนถึงขั้นที่ดวงตาของผู้ชมแทบจะมองตามไม่ทัน!
เซียวเหมิงยังคงโจมตีอย่างต่อเนื่อง แต่ความได้เปรียบของเขาก็เริ่มหายไป อีกฝั่งหนึ่ง การโจมตีของเฉียนซวีกลับให้ความรู้สึกที่ลื่นไหลมากกว่า
เมื่อการต่อสู้ดำเนินไปในลักษณะนี้ แขนของเซียวเหมิงจึงได้รับบาดเจ็บเนื่องจากไม่สามารถใช้แก่นแท้พลังมาคอยค้ำจุน หลังจากที่กระหน่ำโจมตีไปกว่าร้อยครั้ง เขาก็ไม่อาจรักษาสมดุลร่างกายให้อยู่กลางอากาศได้อีกต่อไปและไม่มีทางเลือกนอกจากต้องลงมาอยู่บนพื้นแทน
ฟึ่บ!
เมื่อเซียวเหมิงเสียจังหวะโจมตีไปแล้ว คราวนี้ก็เฉียนซวีก็เป็นฝ่ายรุกบ้าง ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันและเข้าโจมตีอีกฝ่ายจากทุกทิศทางด้วยความเร็วสูงสุดพร้อมกับประกายไฟที่ลุกท่วมไปทั่วทั้งบริเวณ
รูปแบบเต๋าเพลิงดาราช่างทรงพลังนัก! เซียวเหมิงจบเห่แล้ว!
เจียงอี้ลอบพยักหน้าด้วยความชื่นชม เขาดูดซับสมุนไพรมังกรทินกรซึ่งทำให้กายเนื้อของเขาทรงพลังยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสามารถในการมองเห็น และเมื่อผสานกับพลังของแก่นแท้พลังสีดำ ทัศนวิสัยของเขาในตอนนี้ก็ได้ถูกยกระดับให้อยู่ในขั้นที่น่าตกตะลึงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเขาจึงสามารถบอกได้เลยว่าเซียวเหมิงกำลังจะพ่ายแพ้ในเวลาอีกไม่นาน!
เป็นไปตามคาด!
เพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจต่อมา เซียวเหมิงก็เกิดพลาดท่าจนทำให้ถูกแทงโดยกริชของเฉียนซวี ผู้อาวุโสตระกูลเฉียนผู้นี้ช่างไร้ปรานียิ่งนัก เขากรีดร่างของอีกฝ่ายเป็นแนวยาวจนเกือบจะตัดร่างของอีกฝ่ายเป็นสองส่วน
ปัง!
อย่างไรก็ตาม เฉียนซวีไม่ได้ลงมือสังหารอีกฝ่ายจริงๆ เขาเตะร่างเซียวเหมิงไปทางฝั่งตระกูลเซียวและทำให้อีกฝ่ายกระแทกใส่พื้นอย่างรุนแรงก่อนที่จะหมดสติไป
“ไร้ประโยชน์! พามันออกไปให้พ้นหน้าข้า!”
ใบหน้าของเซียวเทียนหูบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด จากนั้นก็เหลือบไปมองชายวัยกลางคนร่างเล็กที่อยู่ด้านหลังพร้อมกับเอ่ยอย่างเย็นชา
“เซียวหมิง เจ้าออกไปเล่นกับเจ้าพวกตระกูลเฉียนหน่อยและอย่าให้พวกมันกำเริบเสิบสานไปมากกว่านี้!”
“ขอรับ!”
ชายวัยกลางคนร่างเล็กผู้นี้มีชื่อว่าเซียวหมิงและมีแผลเป็นตั้งแต่มุมปากลากยาวไปถึงใบหู เมื่อเขาเปิดปากพูด แผลเป็นเหล่านั้นก็จะขยับไปมาคล้ายกับตะขาบซึ่งทำให้เขาดูชั่วร้ายและน่ากลัวอย่างมาก
เซียวหมิงเดินไปที่ลานประลอง จากนั้นก็หยิบตะขอเหล็กออกมาจากใต้แขนเสื้อขณะที่จ้องมองเฉียนซวีด้วยความดุร้าย
“เจ้าแก่ตระกูลเฉียน รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้! มิฉะนั้นอย่าได้หาว่าข้าใจร้าย”
“ส่วนเจ้า ถ้าแน่จริงก็ขึ้นมาเล่นกับข้าหน่อยเป็นอย่างไร? เมื่อครู่เจ้าหยิ่งยโสมากเลยไม่ใช่รึ? เช่นนั้นก็รีบมาสู้กับข้า!”
เซียวหมิงใช้ตะขอเหล็กชี้ไปทางเฉียนว่านก้วน อันที่จริงต้องบอกว่าชี้ไปที่ด้านหลังของเขาน่าจะเหมาะกว่า… แน่นอนว่าผู้ที่เขากำลังท้าทายอยู่ตอนนี้จะ
เป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากเจียงอี้!