เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 417 -418
บทที่ 417 ถูกสังหารโดยเฉียนต้าเหยี่ย
ปัง!
เจียงอี้ใช้เท้าของเขาเหยียบไปที่หัวของคนผู้นี้เขาบดขยี้หัวและทำให้คนผู้นี้กลืนคำพูดกลับเข้าไปในท้องของเขา จากนั้นเขาก็บุกเข้าไปในโถงเรือ
ฟึ่บ!
เมื่อเขารีบเข้าไปในโถงเรือและเมื่อเจียงอี้มองไปมาก็ประหลาดใจเนื่องจากเตาจ้านไม่ได้ใช้จ้านหลินเอ๋อร์มาเป็นตัวประกันและมีผู้คุ้มครองของตระกูลจ้านวิ่งออกมาพร้อมกับจ้านหลินเอ๋อร์ขณะที่เตาจ้านและคนอื่นๆนั่งอยู่
“ท่านประมุขน้อย!ผู้อาวุโสหและคนอื่นๆถูกสังหารโดยเฉียนต้าเหยี่ยขอรับ!”
มีเสียงตะโกนออกมาจากด้านนอกเมื่อเจียงอี้ปลดปล่อยเจตจำนงสังหารออกมาเพื่อปกคลุมทั้งสามคนเอาไว้ เขาได้ถอนมันออกทันที คนเหล่านั้นยังคงมุ่งเป้าไปยังการต่อสู้อย่างดุเดือดกับเหล่าผึ้งทมิฬและรับรู้ได้ถึงจิตสังหาร แต่พวกเขาไม่ได้ถูกปกคลุมไปด้วยเจตจำนงสังหารและไม่ได้ระบุตัวตนเจียงอี้
“หืม?”
ด้วยเสียงตะโกนนี้ผู้คนกว่าสิบคนรับรู้พร้อมลุกขึ้นและเพ่งเล็งไปยังเจียงอี้ด้วยจิตสังหาร เตาจ้านตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น “เฉียนต้าเหยี่ย เจ้ากล้าสังหารคนของข้า? ใครก็ได้ ไปสังหารไอ้สารเลวนี่ซะ!”
ผู้คุ้มกันสองคนจากตระกูลจ้านต่างพากันประหลาดใจพวกเขาไม่รู้ว่าเจียงอี้จะถูกสังหารหรือไม่ แต่หากพวกเขามีส่วนร่วมในการต่อสู้อันวุ่นวายในครั้งนี้ พวกเขาทั้งสองและจ้านหลินเอ๋อร์อาจจะกลายเป็นเนื้อสับก็ได้
เห็นได้ชัดว่าเจียงอี้เข้าใจเรื่องนี้เขาพุ่งเข้าไปขณะที่ระเบิดกลิ่นอายออกมาและพูดว่า “ทุกคนหยุดลงมือ มิฉะนั้นข้าจะเสี่ยงชีวิตสังหารเตาจ้านเสีย!”
จ้านหลินเอ๋อร์และผู้คุ้มกันทั้งสองถอยมาอยู่ด้านหลังเจียงอี้อย่างรวดเร็วและรู้สึกกังวลอย่างมากผู้คนที่อยู่ฝั่งเตาจ้านลังเลขณะที่สายตาหดลง เจียงอี้สามารถสังหารเตาหงได้ในทันทีซึ่งเขาเป็นหนึ่งในนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขา หากเขาเสี่ยงชีวิต เตาจ้านอาจจะได้ตกตายไปจริงๆ
เตาจ้านเหลือบไปมองเจียงอี้ซึ่งเต็มไปด้วยจิตสังหารหัวใจของเขาสั่นเล็กน้อยขณะที่เขาถอยไปซ่อนอยู่หลังผู้เชี่ยวชาญตระกูลเตากว่าสิบคน ดวงตาของเขาสั่นไหวไม่กี่ครั้งก่อนที่จะกัดฟันออกคำสั่ง “ลงมือเลย ข้าไม่เชื่อว่ามันจะสามารถสู้กับคนมากมายได้ด้วยตัวคนเดียว ฆ่ามันซะ!”
“ในเมื่อพวกเจ้ารนหาที่ตายเช่นนั้นก็อย่ามาโทษข้าก็แล้วกัน!”
เจียงอี้เผยรอยยิ้มที่โหดร้ายออกมาขณะที่กลิ่นอายปรากฏขึ้นมามากกว่าเดิมตราบใดที่คนพวกนี้กล้าที่จะตุกติก คงไม่เป็นอะไรหากว่าเขาจะปลดปล่อยเจตจำนงสังหารออกมาฆ่าพวกมันทั้งหมด
ตระกูลเตานั้นเป็นหนึ่งในตระกูลที่ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรเป่ยหมางเตาจ้านนั้นยังเป็นศิษย์อันดับหนึ่งของสำนักมังกรเวหาอีกด้วย ย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เมืองเซี่ยยวี่ถูกล้อมไว้ ตระกูลเตาและสำนักมังกรเวหาต่างก็มาทั้งหมด ดังนั้นตระกูลเตาจึงเป็นศัตรูของเขาและเขาก็คงจะไม่รู้สึกรู้สาที่ได้ฆ่าคนเหล่านี้ทั้งหมด
บุฟ!
หลังจากเตาจ้านออกคำสั่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทุกคนก็หมุนเวียนแก่นแท้พลังไปในศาสตราวุธและเตรียมพร้อมที่จะจู่โจม ส่วนเจียงอี้ก็ยืนนิ่งเงียบและหยีตาลง รอยยิ้มของเขานั้นดูโหดร้ายและทำให้เขาดูน่ากลัวมากและทำให้จิตใจของผู้เชี่ยวชาญสั่นไหวเล็กน้อย
“หยุดก่อน!”
ในเวลาที่ทุกคนกัดฟันและเตรียมโจมตีจู่ๆผู้อาวุโสผมขาวข้างๆเตาจ้านก็ตะโกนออกมา “ปล่อยพวกนั้นไป เราค่อยชำระแค้นในภายภาคหน้า”
“ผู้อาวุโสข่ง!”
เตาจ้านตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงที่สับสนส่วนผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่เหลือต่างรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมากเนื่องจากพวกเขารู้ได้ถึงอันตรายร้ายแรงก่อนหน้านี้ พวกเขามีความรู้สึกที่ไม่รู้จะบอกออกมาอย่างไร รู้เพียงแค่ว่าพวกเขาทั้งหมดจะตายหากพวกเขากล้าที่จะโจมตีออกไป
“ปล่อยพวกนั้นไป!”
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสข่งนั้นเป็นที่นับหน้าถือตาในตระกูลเตาเป็นอย่างมากเมื่อเขาตะโกนมันออกมาอีกครั้ง เหล่าผู้เชี่ยวชาญด้านนอกที่กำลังจะเข้ามาก็พากันถอยกลับไปและจู่โจมผึ้งทมิฬต่อขณะที่พวกที่อยู่ข้างในนั้นก็กล้าบ้าบิ่นทำอะไรลงไป
เจียงอี้ปล่อยรอยยิ้มจางๆให้ผู้คุ้มกันทั้งสอง“ถอยกลับไปยังเรือของท่านประมุขน้อยของข้าก่อน ข้าจะพาคุณหนูหลินเอ๋อร์กลับไปภายหลัง”
“ก็ได้!”
สมาชิกตระกูลจ้านนั้นรู้ถึงตัวตนของเจียงอี้และทำให้พวกเขาเขาทั้งสองหมดห่วงไปพวกเขาทั้งสองทะยานเหินกลับไปยังเรือของตระกูลเฉียนที่ออกไปแล้ว
“คุณหนูพวกเราต้องไปแล้ว!”
เจียงอี้มองไปที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวที่อยู่ด้านหน้าและหลังจากที่ผู้คุ้มกันทั้งสองได้ล่าถอยไปแล้ว จากนั้นเขาก็คว้าจ้านหลินเอ๋อร์และพุ่งไปด้านหลัง
“ฮู่……”
สมาชิกตระกูลเตาไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาทั้งหมดปล่อยลมหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เตาจ้านมองผู้อาวุโสข่งด้วยทีท่าไม่พอใจและพูดว่า “ผู้อาวุโสข่ง ทำไมท่านไม่หยุดมัน? มันสามารถฆ่าข้าได้โดยที่ข้ามีผู้คนมากมายที่ปกป้องข้าอยู่น่ะหรือ?”
“ไม่ใช่แค่ฆ่าเจ้า…..”
ผ้อาวุโสข่งเผยสีหน้าจริงจังขณะที่พูดว่า“หากใครก็ตามเคลื่อนไหวใดๆออกไป ทุกๆคนอาจจะตายกันหมด!”
“อะไรนะ?”
ดวงตาของเตาจ้านหดแคบลงขณะที่เขาร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ“เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกัง?”
“ข้าก็ไม่แน่ใจนักแต่คนคนนั้นทำให้ข้ารู้สึกถึงอันตรายอย่างผิดปกติ!”
ผู้อาวุโสข่งมีสีหน้าที่หดหู่ขณะที่เขาพูดว่า“เขาอาจจะอยู่กลางทางที่จะทะลวงสู่ขอบเขตจินกังหรือมีความสามารถที่น่ากลัว! อย่างไรเสีย…..มันจะเป็นการณ์ดีกว่าที่จะไม่ไปสะกิดคนผู้นั้น”
“ตระกูลเฉียนนั้นมีผู้ที่มีความสามารถที่น่าเหลือเชื่ออย่างนี้จริงๆหรือ?”
ผู้อาวุโสข่งนั้นมีสถานะที่น่านับถือเป็นอย่างมากและเตาจ้านเชื่อมั่นในทุกสิ่งที่เขาพูดมันออกมาดวงตาของเขาเปล่งประกายไปด้วยความโกรธและถามว่า “และเตาหงและคนอื่นๆก็ตายไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลยหรอ?”
“ข้าจะปล่อยให้พวกเขาตายไปโดยที่ไม่ทำอะไรเลยหรอ?เหอะๆ!”
ผู้อาวุโสข่งหัวเราะออกมาและพูดว่า“เนื่องจากผึ้งทมิฬพวกนี้ปรากฏออกมาแล้วแสดงว่ารังของพวกมันจะต้องอยู่แถวๆนี้ ตอนนี้เราจะถอยก่อน หลังจากที่ทุกคนคงที่แล้ว เราค่อยสังหารพวกมัน เมื่อเวลานั้นมาถึง….ตระกูลเฉียน, ตระกูลจ้านและตระกูลหยุนจะรวมตัวกันเพื่อฉกฉวยน้ำผึ้ง ตระกูลของพวกมันอาจจะมีพลัง แต่เราก็สามารถใช้โอกาสนี้ในการโน้มน้าวให้ตระกูลอื่นสังหารพวกมันก่อนและแบ่งน้ำผึ้งมาหลังจากนั้น มิฉะนั้นจะไม่มีผู้ใดได้รับน้ำผึ้งเลย”
“ก็ได้งั้นเราถอยไปยังที่ปลอดภัยก่อนเถอะ” เตาจ้านออกคำสั่งด้วยสายตาที่ไม่พอใจ เขามองไปบนท้องฟ้าที่มืดสนิทและพึมพำว่า “เฉียนต้าเหยี่ย หากข้าไม่ได้ฆ่าเจ้า ข้าจะไม่มีวันยกโทษให้ตัวเอง!”
…
เจียงอี้และคนอื่นๆรีบตามเรือของเฉียนว่านก้วนทันเจียงอี้นั้นก็ต้องปวดหัวเมื่อเขาเห็นว่าจ้านหลินเอ๋อร์มองเขาอย่างหลงใหลแต่ก็ต้องแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งสิ้น
กองเรือครึ่งหนึ่งยังคงอยู่ที่เดิมขณะที่กองเรืออื่นๆต่างพากันแยกย้ายหนีไปผึ้งทมิฬนั้นได้ทำลายผู้คนไปกว่าสิบสองกลุ่มและคอยไล่ล่า เรือทุกลำเปิดเกราะป้องกันในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวจะหลั่งไหลมาคอยเติมพลังงานให้แก่เกราะป้องกัน ส่วนผู้เชี่ยวชาญที่เหลือก็จะออกไปเป็นกลุ่มและใช้แก่นแท้พลังโจมตีเพื่อกำจัดผึ้งทมิฬ
ผึ้งทมิฬนั้นเป็นสัตว์อสูรระดับสามขั้นสูงสุดพวกมันมีความเร็วที่รวดเร็ว, มีการโจมตีที่รุนแรง,และมีเหล็กในซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิต มันน่าเสียดายที่มันไม่ได้มีการป้องกันที่แข็งแกร่ง การโจมตีด้วยแก่นแท้พลังธรรมดานั้นก็สามารถกำจัดผึ้งทมิฬได้หลายตัวหรือไม่ก็สังหารมันได้โดยตรงเลย
อย่างไรก็ตามมีผึ้งทมิฬมากเกินไปและดูเหมือนว่าตระกูลทั้งหมดจะต้องกลายเป็นสงครามยืดเยื้อ หากจะเป็นไปไม่ได้ที่จะกำจัดผึ้งทมฬทั้งหมดออกไปในวันสองวัน
“มีอะไรให้ฆ่า?เฉียนว่านก้วน บอกให้พวกเขาหยุดสังหารและออกไปจากที่นี่ก่อนเถอะ จากนั้นค่อยหาที่เงียบสงบแล้วข้าจะจัดการกับผึ้งทมิฬพวกนี้”
เจียงอี้เห็นว่าทั้งสามตระกูลผลัดกันเพื่อสังหารผึ้งทมิฬแต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลง เขารู้สึกว่าไม่มีอะไรจะพูดและไปพูดคุยกับเฉียนว่านก้วน ดวงตาของเจ้าอ้วนนั้นก็สว่างขึ้นทันทีขณะที่เขาหัวเราะอย่างซุกซนและพูดว่า “ลูกพี่ เจ้าควรพูดมันเร็วกว่านี้ ด้วยการที่เจ้าลงมือแล้ว ทุกคนก็จะไม่ต้องทำงานหนักกันอีกต่อไป ครั้งหน้าเมื่อมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก เจ้าต้องเสนอตัวนะ ตกลงไหม?”
“ไสหัวไปซะ!”
เจียงอี้เตะเฉียนว่านก้วนแล้วพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองว่า“ข้ามาหาเจ้าเพื่อเริงสำราญ ข้าไม่ได้คิดว่าเจ้าจะน่าสมเพชเช่นนี้ แล้วข้ายังต้องมาคอยตามเช็ดก้นเจ้าไปเรื่อยๆอีก หากข้าอยู่อย่างนี้นะ ข้าคงไม่มาหรอก”
“ฮิฮิ!”
เฉียนว่านก้วนถูกเตะต่อหน้าคนใช้ของเขาแต่ก็ยังไม่รู้สึกอับอายเขายิ้มและพูดว่า “ยิ่งมีความสามารถก็ยิ่งมีงานมากใช่ไหม? มันเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับลูกพี่สินะ เมื่อเรากลับไปเมื่อไหร่ ข้าจะให้เจ้าได้ร่วมรักสามสหายเลย”
ป้าบ!
ครั้งนี้มันเป็นจ้านหลินเอ๋อร์ที่โกรธแทนนางตบไปที่หัวของเฉียนว่านก้วน “เจ้าอ้วนชั่ว อย่าพาพี่ใหญ่เจียงอี้ออกนอกลู่นอกทางเชียว….”
บทที่ 418 มาหาถึงที่
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวเหล่านั้นล้มเลิกความคิดที่จะต่อต้านผึ้งทมิฬและทุ่มเทพลังทั้งหมดในการป้องกันพร้อมกับขับเคลื่อนเรือเพื่อหลบหนี
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เรือของพวกเจียงอี้ก็แล่นออกไปได้หลายกิโลเมตร เมื่อกวาดตามองรอบด้านก็พบเพียงท้องทะเลอันว่างเปล่าและไร้ซึ่งเงาของผู้คน
“เอาล่ะ พวกเจ้าเข้าไปข้างในได้แล้ว”
เจียงอี้แผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีกองเรืออื่นอยู่รอบๆ จากนั้นเขาก็นำดาบมังกรเพลิงขึ้นมา ในขณะเดียวกันตัวดาบก็เปล่งแสงพร้อมกับปลดปล่อยมังกรเพลิงตัวจิ๋วจำนวนนับไม่ถ้วน
“เจตจำนงสังหาร!”
จิตสังหารอันท่วมท้นถูกกระตุ้นและแผ่ขยายออกไปซึ่งทำให้ฝูงผึ้งทมิฬหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ
ปัง! ปัง! ปัง!
ทันใดนั้น มังกรจิ๋วนับพันนับหมื่นก็เข้าจู่โจมฝูงผึ้งทมิฬอย่างโหดเหี้ยม ทุกการบ่อนทำลายก่อให้เกิดประกายแสงส่องสว่างไปทั่วทั้งท้องฟ้าในค่ำคืนที่มืดมิด ฉากดังกล่าวนี้ทำให้ผู้คนที่พบเห็นต้องอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
หลังจากการกวาดล้างครั้งใหญ่ภายใต้เงื้อมมือของเจียงอี้ ทำให้ฝูงผึ้งทมิฬจำนวนนับไม่ถ้วนก่อนหน้านี้หลงเหลืออยู่เพียงแค่สามพันตัวเท่านั้น!
ประกายแสงสีแดงเลือนหายไปจากดวงตาของเจียงอี้ ขณะเดียวกันกลิ่นอายสังหารของเขาก็ถูกถอนกลับไป บรรดาผู้คนที่อยู่รอบข้างจึงสามารถกลับมาหายใจได้สะดวกอีกครั้ง
หึ่ง! หึ่ง!
ดวงตาสีเหลืองของเหล่าผึ้งทมิฬที่เหลือรอดกำลังจดจ้องมายังร่างของชายหนุ่มด้วยความหวาดกลัว พวกมันทั้งหมดล้วนแต่เป็นสัตว์อสูรระดับสามขั้นสูงสุด ดังนั้นจึงมีสติปัญญาในระดับหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าเจตจำนงสังหารของเจียงอี้ทรงพลังเกินไปและทำให้พวกพ้องของพวกมันตกตายอย่างง่ายดาย พวกมันจึงไม่กล้าดันทุรังโจมตีต่อและแยกย้ายกันหลบหนีทันที
“ข้าเหนื่อย ขอกลับไปนอนก่อนนะ”
เจียงอี้โบกมือลาโดยไม่สนใจสายตาที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงของผู้คนพวกนี้ จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในห้องโดยสารและตรงไปยังห้องพักของตัวเองทันที
อีกด้านหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวทั้งหมดของทั้งสามตระกูลต่างก็เป็นพยานต่อการสังหารหมู่อันโหดเหี้ยมของเจียงอี้
หากเป็นในยามปกติ พวกเขาจำเป็นต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองถึงสามวันในการกวาดล้างฝูงผึ้งทมิฬจำนวนเท่านี้ แต่ไม่น่าเชื่อเลยว่าเจียงอี้จะใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น!
“ฮ่าฮ่า! ลำบากพวกเจ้ามามากแล้ว แยกย้ายกันไปพักผ่อนเถิด เฉียนซวี ไปเตรียมห้องพักให้คุณหนูหลินเอ๋อร์ด้วย”
เมื่อกล่าวจบ เฉียนว่านก้วนก็เหลือบไปมองจ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็กล่าวต่อ
“พี่ใหญ่อู๋ซวง ต้องขออภัยด้วย แต่ดูเหมือนว่าเรือของข้าจะไม่มีห้องเพียงพอเสียแล้ว… ทำไมพวกเจ้าจึงไม่พักอยู่ห้องเดียวกันเสียล่ะ?”
ขวับ!
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของหยุนเฟยก็เปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ นางกระทืบเท้าด้วยความเขินอายพร้อมกับตะโกน “เจ้าอ้วน! เจ้าก็ไปนอนบนพื้นสิ!”
อีกด้านหนึ่ง จ้านอู๋ซวงก็พยักหน้าอย่างจริงจังและกล่าว
“อืม เรื่องนี้ค่อนข้างยาก เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะไปนอนห้องเจ้า ส่วนเจ้าก็ไปนอนห้องโถงใหญ่ เจ้าว่ายังไง?”
“แล้วทำไมข้าถึงกลายเป็นผู้รับเคราะห์อยู่เรื่อยเลยเนี่ย?”
เฉียนว่านก้วนแสร้งทำเป็นกล่าวด้วยความขมขื่น จากนั้นเขาก็เบือนหน้าไปทางจ้านหลินเอ๋อร์พร้อมกับกล่าวด้วยท่าทีน่าสงสาร
“น้องสาวหลินเอ๋อร์ เจ้าคงจะไม่ใจร้ายกับข้าใช่หรือไม่?”
“ไสหัวไป!”
แม้ว่าจ้านหลินเอ๋อร์ยังคงสวมผ้าคลุมหน้าไว้อยู่ แต่ดวงตาของนางก็เผยให้เห็นความเย็นยะเยือก
“หากว่าเจ้ากล้าก้าวเข้ามาในห้องข้าแม้แต่ก้าวเดียว ข้าจะเปลี่ยนเจ้าให้กลายเป็นเจ้าขันทีเฉียน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉียนว่านก้วนก็สะดุ้งโหยงและใช้มือกุมเป้าทันที เขามั่นใจเต็มสิบส่วนว่าสาวน้อยใจกล้าผู้นี้จะทำในสิ่งที่นางพูดแน่ ดังนั้นเขาจึงลบความคิดอกุศลทั้งหมดทิ้งไปทันที
ดูเหมือนว่าเขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องนอนด้านนอกจริงๆเสียแล้ว เจ้าอ้วนพ่นลมหายใจออกมาอย่างอมทุกข์และขอให้ลูกน้องผู้หนึ่งจัดเตรียมที่นอนไว้ให้ในมุมๆหนึ่งของห้องโดยสาร
ยามค่ำคืนผ่านพ้นไปอย่างสงบสุข
เมื่อรุ่งสางมาถึง ความสงบสุขดังกล่าวก็ถูกทำลายลง เรือลำใหญ่ลำหนึ่งแล่นตรงมายังทิศทางที่พวกเขาอยู่ ดวงตาของผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากบนเรือลำนั้นแดงก่ำและปลดปล่อยการโจมตีออกไปอย่างต่อเนื่องเพื่อทำลายกลุ่มผึ้งทมิฬที่ไล่หลังมา
“พี่น้องตระกูลเฉียน ช่วยพวกเราด้วยเถิด! พวกเราแทบจะทนไม่ไหวแล้ว!”
เมื่อเรือลำดังกล่าวเห็นว่าบริเวณที่เรือของตระกูลเฉียนไร้ซึ่งฝูงผึ้งทมิฬ พวกเขาก็รีบมุ่งหน้ามาพร้อมกับตะโกน
เฉียนว่านก้วนมีปฏิกิริยาที่รวดเร็วมาก เขารีบหันกลับไปมองและสังเกตเห็นธงที่ถูกเขียนไว้ว่า ‘ทั่วป๋า’
“ไป รีบไปเร็วเข้า! พวกมันคือชาวเป่ยเหลียง ข้าไม่สนใจว่าพวกมันจะอยู่หรือตาย!”
ผู้เชี่ยวชาญตระกูลเฉียนวิ่งกันให้วุ่น พวกเขาปลดปล่อยแก่นแท้พลังเพื่อบังคับให้เรือแล่นไปด้านหน้าด้วยความเร็วสูงสุดพร้อมกับสาปแช่งตระกูลทั่วป๋าที่อยู่ด้านหลัง
“หือ?”
แต่หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมง เฉียนซวีก็มองเห็นบางอย่างและตะโกนออกมา “ประมุขน้อย ตรงนั้นยังมีเรืออีกลำ… ดูเหมือนว่าจะเป็นขององค์หญิงเฟยหยูขอรับ ท่านต้องการจะช่วยพวกนางหรือไม่?”
“บัดซบ! ข้ามีทางเลือกหรือไง?!”
เฉียนว่านก้วนกล่าวด้วยความหงุดหงิด “รีบวนกลับไป! ไม่สิ เดี๋ยวก่อน… ชักธงลงเร็วเข้า เราจะปล่อยให้พวกนั้นเห็นไม่ได้”
“ขอรับ!”
เฉียนซวีเข้าใจสิ่งที่เฉียนว่านก้วนต้องการจะทำ ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งไปดึงธงประจำเรือลงทันที
แต่น่าเสียดาย…
เขาช้าไปก้าวหนึ่ง ในจังหวะนั้น มีคนตาดีบางคนบนเรือของเซี่ยเฟยหยูมองมาที่เรือของพวกเขาพอดีและตะโกนมาจากระยะไกล
“เฉียนว่านก้วน องค์หญิงทรงประทับอยู่ที่นี่ ท่านรีบส่งคนมาช่วยนางเร็วเข้า!”
“แม่งเอ้ย! รีบไปช่วยนาง!”
เฉียนว่านก้วนรู้สึกเสียใจมาก หากเขาชักธงลงเร็วกว่านี้ พวกมันก็คงจะไม่สังเกตเห็นและเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปช่วยเหลือฝั่งนั้นแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามเมื่อตัวตนของตระกูลเฉียนถูกเปิดเผย พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอีกต่อไป เพราะอย่างไรเสียตระกูลเฉียนก็ยังคงเป็นตระกูลขุนนางของอาณาจักรเสินหวู่อยู่วันยังค่ำ
ถ้าเขาเลือกที่จะเมินเฉยต่อเซี่ยเฟยหยู และนางเกิดรอดชีวิตกลับไปยังเมืองหลวงได้ ตระกูลเฉียนของเขาจะตกที่นั่งลำบากทันที
“รีบพาคนของตระกูลจ้านกับตระกูลหยุนไปซ่อนตัวก่อน จากนั้นก็ส่งคนไปช่วยเหลือพวกนั้นด้วย”
“อืม!”
เฉียนซวีพยักหน้ารับคำสั่ง เขารีบจอดเรือและคำผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดแปดคนมุ่งหน้าไปยังเรือของเซี่ยเฟยหยูเพื่อช่วยเหลือพวกเขาในการต่อสู้กับเหล่าผึ้งทมิฬ
ผึ้งทมิฬฝูงนี้มีถึงหนึ่งหมื่นตัว ต่อให้ใช้เวลาทั้งวันทั้งคืน มันก็ยังคงเป็นเรื่องยากที่จะสังหารพวกมันได้ทั้งหมด
อีกด้านหนึ่ง จ้านอู๋ซวง, หยุนเฟย, จ้านหลินเอ๋อร์และเจียงอี้ต่างก็รับรู้เรื่องที่เกิดขึ้นนานแล้ว แต่พวกเขาไม่มีความคิดที่จะช่วยเหลือองค์หญิงผู้นี้แต่อย่างใด
โดยเฉพาะเจียงอี้ ตระกูลเซี่ยกับเขาถือว่าเป็นศัตรูที่ไม่มีวันอยู่ร่วมโลกกันได้ อันที่จริงการที่เขาไม่ฉวยโอกาสกำจัดพวกมันในตอนนี้ก็นับว่าเมตตามากแล้ว
หึ่ง! หึ่ง!
แม้ว่าเรือของตระกูลเฉียนจะอยู่ห่างออกไปไกล แต่ก็ยังทำให้ฝูงผึ้งทมิฬครึ่งหนึ่งแยกตัวออกมาและมุ่งหน้าไปทางนั้น
ภาพที่เกิดขึ้นทำให้ เฉียนว่านก้วน, จ้านอู๋ซวงและคนอื่นๆถึงกับหลั่งเหงื่อ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเตรียมตัวต่อสู้เท่านั้น
“หยุดก่อน ให้ข้ารับมือเอง!”
เจียงอี้กล่าวออกมาจากภายในห้องด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในขณะนั้นทุกคนต่างก็คิดว่าเขาจะโผล่ออกมาและทำการกำราบฝูงผึ้งทมิฬด้วยตัวเอง
แต่แท้จริงแล้ว เขากลับใช้วิธีปลดปล่อยเจตจำนงสังหารออกมาเสี้ยววิ อย่างไรก็ตาม ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเพียงพอที่จะทำให้ฝูงผึ้งทมิฬหลบหนีกลับไปด้วยความกลัวได้
“พี่ใหญ่เจียงอี้สุดยอดไปเลย!”
ดวงตาอันงดงามของจ้านหลินเอ๋อร์เป็นประกาย กระทั่งเฉียนว่านก้วน, จ้านอู๋ซวง, หยุนเฟยและคนที่เหลือเองก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน
เพียงแค่กลิ่นอายที่เขาปลดปล่อยออกมากลับสามารถทำให้ฝูงสัตว์อสูรระดับสามขั้นสูงสุดล่าถอยกลับไปได้แล้วอย่างนั้นหรือ?
“ฮ่าฮ่า”
เจียงอี้เผยรอยยิ้มจางๆ เขารู้อยู่แล้วว่าผึ้งทมิฬเป็นสัตว์อสูรที่มีสติปัญญา เขาหวนรำลึกไปถึงผึ้งทมิฬสองสามพันตัวที่หลบหนีไปจากการกวาดล้างของเขาเมื่อวันก่อน แน่นอนว่าพวกมันย่อมกลับไปรวมตัวกับกลุ่มที่เหลือ
ดังนั้นเมื่อเขาปลดปล่อยกลิ่นอายของเจตจำนงสังหารออกมา พวกมันบางตัวก็สมควรที่จะจดจำเขาได้และรีบแจ้งเตือนให้สหายของพวกมันถอยร่นกลับไปทันที อีกด้านหนึ่ง กลุ่มของเฉียนซวีก็เตรียมที่จะล่าถอยหลังจากที่ต่อสู้มาได้พักหนึ่ง สำหรับพวกเขาแล้ว แค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ตระกูลเฉียนไม่ถูกตั้งข้อครหา ต่อให้เป็นเซี่ยหยูเฟยก็ทำได้เพียงสาปแช่งในใจแต่ก็ไม่อาจที่จะเอ่ยสิ่งใดออกมาได้
ฟึ่บ!
แต่ไม่มีใครคาดคิดเลยว่าจู่ๆ สองผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดสองคนก็ทะยานเข้ามาใกล้เรือของตระกูลเฉียนด้วยความเร็วสูงพร้อมกับแบกหญิงสาวผู้หนึ่งมาด้วย
แต่น่าเสียดายที่หนึ่งในนั้นถูกเหล็กในพิษของผึ้งทมิฬแทงทะลุกลางอากาศและตกลงสู่ทะเลในที่สุด
แน่นอนว่าหญิงสาวที่ถูกผู้เชี่ยวชาญทั้งสองพามานั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากองค์หญิงเซี่ยเฟยหยู!
เมื่อนางมาเรือของตระกูลเฉียน นางก็กวาดตาของพวกเขาพร้อมกับเอ่ย “นายน้อยเฉียนว่านก้วน ไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนที่ใจบุญสุนทานหรือ? ข้าต้องขออภัยที่ขึ้นมาบนเรือของเจ้าอย่างอุกอาจเช่นนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ขับไล่ข้าออกไปใช่หรือไม่?”
“ฝ่าบาทอย่าได้คิดเช่นนั้นสิพะยะค่ะ!”
ใบหน้าของเจ้าอ้วนเฉียนเผยรอยยิ้มประจบสอพลอ จากนั้นก็ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
“ฝ่าบาทอย่าทรงเข้าใจกระหม่อมผิด อันที่จริงข้าตั้งใจจะส่งคนไปเชิญท่านมาที่นี่อยู่แล้ว แต่ไม่นึกเลยว่าฝ่าบาทจะทรงมาหากระหม่อมถึง ‘เตียง[1]’ เร็วถึงเพียงนี้… ว่านก้วนปลื้มปิติเหลือเกินพะยะค่ะ”
[1] ในภาษาจีน คำว่า ‘เรือ’ และ ‘เตียง’ ออกเสียงใกล้กันมาก เฉียนว่านก้วนจึงตั้งใจพูดโดยเน้นเสียงที่คำนี้