เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 423-424
บทที่ 423 เถาวัลย์ดารามาร
“จะต้องมีน้ำผึ้งมากมายในรังที่ใหญ่เช่นนี้เป็นแน่”
ณใจกลางเกาะ, เจียงอี้เห็นรังที่อยู่บนต้นไม้ยักษ์ รังนั้นมีขนาดใหญ่โตพอๆกับพระราชวัง ดวงตาของเจียงอี้นั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แม้จะมีเสียงเตือนในใจแต่เจียงอี้ก็ไม่ได้สนใจมัน เขาได้สำรวจพื้นที่โดยรอบด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาแล้ว นอกจากนางพญาผึ้งแล้วก็ไม่มีผึ้งทมิฬตนอื่นอยู่เลย
นางพญาผึ้งนี้อ่อนแอกว่าผึ้งทมิฬเสียด้วยซ้ำมันไม่มีแรงกดดันเลย เจียงอี้กำลังจะตัดต้นไม้ทั้งต้นและโยนมันเข้าไปไว้ในพระราชวังจักรวาล
ฟั่บ!
เขาใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์สำรวจรอบๆก่อนที่จะพุ่งเข้าไปราวกับสุนัขจิ้งจอกมังกรเพลิงทั้งสองพุ่งออกมาจากดาบมังกรเพลิงและตรงไปยังลำต้นของต้นไม้ต้นนั้น
บูม!
มังกรเพลิงทั้งสองได้ทลายลำต้นของต้นไม้นั้นเป็นผุยผงอย่างง่ายดายต้นไม้ขนาดยักษ์ล้มลงด้วยเสียงที่ดังสนั่น เจียงอี้วาดดาบมังกรเพลิงของเขาอีกครั้งและทำลายลำต้นที่อยู่เหนือรังและพุ่งไปที่รังอย่างรวดเร็ว
“จี่จี่!”
รังนั้นแตกออกมานางพญาผึ้งบินออกมาและยิงพิษใส่เจียงอี้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ความเร็วของมันยังช้ากว่าผึ้งทมิฬอย่างเห็นได้ชัด เสียงร้องของนางพญานั้นร้องเรียกเหล่าผึ้งทมิฬจึงทำให้มีผึ้งทมิฬกลุ่มหนึ่งบินกลับมาอย่างรวดเร็ว
“ตาย!”
เจียงอี้หมุนร่างของเขาขึ้นไปกลางท้องฟ้าเพื่อหลีกเลี่ยงพิษเหล็กในเขาปลดปล่อยการโจมตีรูปแบบเต๋า ทันใดนั้นมังกรเพลิงนับล้านก็พุ่งไปหาเจียงอี้ ซึ่งให้ความรู้สึกราวกับว่ามันสามารถทำลายฟ้าดินได้เลย ดวงตาสีเหลืองที่เหมือนแก้วใสๆของนางพญาผึ้งเต็มไปด้วยความหวาดกลัว มันถอยกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมร้องออกมา อย่างไรเสียมันก็สายเกินไปแล้ว มันจะหนีการโจมตีของมังกรเพลิงขนาดเล็กที่อยู่ทั่วท้องฟ้าได้อย่างไรกัน?
“อันตราย!หนีไป!”
ขณะที่สัตว์อสูรหยาจื้อที่อยู่เบื้องหลังเจียงอี้คำรามออกมาความรู้สึกที่เหมือนจะเกิดวิกฤตร้ายแรงในใจของเจียงอี้ก็เอ่อล้นอีกครั้ง สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ร่างกายของเขาฉายแสงสีขาวอย่างไม่ลังเล เขากำลังจะย้ายร่างฉับพลัน!
บูม!
เสียงระเบิดดังขึ้นจนทำให้เกาะทั้งเกาะสนั่นสั่นไหวทันทีเถาวัลย์สีดำโบราณพุ่งออกมาราวกับหางของสัตว์อสูรโบราณ เมื่อเถาวัลย์สีดำออกมา พื้นที่เหนือเกาะทั้งหมดก็สั่นสะเทือนไปหมด ทำให้มังกรเพลิงตัวเล็กๆทั้งหมดระเบิดออกมา
เจียงอี้ที่กำลังจะย้ายร่างฉับพลันนั้นก็ย้ายร่างไม่ได้เนื่องจากการสั่นไหวของพื้นอากาศเถาวัลย์สีดำฟาดลงมาเหมือนสายฟ้า มันเข้าไปพันเจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อในทันที
ฟึ่บฟั่บ!
พื้นที่ราบมหึมาที่ใจกลางเกาะระเบิดออกมาก้อนหินมากมายปลิวออกไปทั่วท้องฟ้า คลื่นระเบิดขนาดยักษ์ก็แผ่ซ่านออกไปทั่วทั้งเกาะจนทำให้เรือทุกลำถูกพัดออกไป ผึ้งทมิฬทั้งหลายต่างพุ่งไปหานางพญาผึ้งอย่างร้อนรนและส่งเสียงแหลมออกมาไม่หยุดหย่อน
“น่ะ…นี่…”
“นี่มันอะไรกัน?ทำไมมันจึงได้มีกลิ่นอายและความเร็วที่น่ากลัวเช่นนี้”
“หืม?มีชายผู้หนึ่งยืนอยู่ใจกลางเกาะ….และสัตว์อสูรหรือ? ไม่สิ….สัตว์อสูรตนนั้นคือสัตว์อสูรหยาจื้อของเจียงอี้! เจียงอี้ลอบเข้าไปในเกาะ?”
“โอ้เถาวัลย์สีดำนี่มันอะไรกัน? มันสามารถแม้แต่จะจับสัตว์อสูรหยาจื้อไว้ได้ด้วย! ไม่ใช่ว่าสัตว์อสูรหยาจื้อนั้นเป็นราชันอสูรขั้นสูงสุดหรอกหรือ? พระเจ้า…นี่คือเถาวัลย์สีดำของหางจักรพรรดิสัตว์อสูรหรือเปล่า?”
“จักรพรรดิสัตว์อสูร?วิ่งเร็ว!”
ทุกคนต่างตกตะลึงโดยเฉพาะเหล่านายน้อยและคุณหนูถึงกระนั้นบางคนก็หายตกใจและวิ่งหนีไปพร้อมกับนายน้อยและคุณหนูทั้งหลาย
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเถาวัลย์สีดำนั่นคืออะไรแต่พวกเขารู้ว่าถ้าพวกเขาไม่หนีไปพวกเขาจะต้องตายแน่ๆ สัตว์อสูรที่อยู่ขั้นสูงสุดของเหล่าราชันสัตว์อสูรทั้งปวงยังไม่สามารถต้านทานได้ ฉะนั้น นอกเหนือจากจักรพรรดินีสัตว์อสูรแล้วจะมีผู้ใดที่จะสามารถมีโอกาสต่อต้านเถาวัลย์นี้ได้อีก?
“เถาวัลย์ดารามารนั้นทรงพลังจริงๆ!ฮ่าฮ่า เจียงอี้ถึงจุดจบแล้ว”
ทางด้านตะวันออกของทะเลจีทิงยวี่ที่อยู่ในชุดคลุมสีเหลืองยืนอยู่ข้างผู้อาวุโสโถงวรยุทธที่อยู่ในชุดคลุมสีดำด้านหลังเรืออับปาง มีรอยยิ้มแห่งชัยชนะปรากฏที่มุมปากของนาง
ผู้อาวุโสโถงวรยุทธจับไหล่ของจีทิงยวี่ด้วยมือเดียวเขามองไปยังเถาวัลย์ยักษ์และพยักหน้า “สตรีศักดิ์สิทธิ์นั้นช่างหลักแหลมและคิดได้อย่างเฉียบคมยิ่งนัก ข้าขอคารวะท่านจริงๆ ข้าเกรงว่าเจียงอี้จะไม่ได้รู้ว่าผึ้งทมิฬนั้นเป็นกับดักที่ท่านปล่อยออกมาตั้งแต่แรกจนกระทั่งเขาตาย”
“ฮ่าฮ่าไปกันเถอะ เมื่อเขาถูกเถาวัลย์ดารามารรัดไว้ แม้แต่จักรพรรดินีสัตว์อสูรก็ยังช่วยเขาไม่ได้!”
ใบหน้าของจีทิงยวี่ไร้ความยะโสโอหังนางยิ้งออกมาจางๆราวกับว่านางอยู่ในสถานการณ์ปกติ นางโบกมือ และผู้อาวุโสโถงวรยุทธก็พานางดำลงไปในทะเล ในไม่ช้าพวกเขาก็หายลับไปในทะเลที่ไร้เขตแดนนี้
ฟั่บฟั่บ!
เถาวัลย์ยักษ์ที่อยู่ใจกลางเกาะได้หุบเข้าไปในเกาะอย่างรวดเร็วโดยพาเจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อไปด้วยมันเหลือไว้เพียงหลุมที่ลึกและน่าเกลียดเอาไว้เท่านั้น
ถูกต้องแล้ว!
แผนการทั้งหมดนี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยจีทิงยวี่นางจงใจสั่งให้คนปล่อยผึ้งทมิฬพวกนี้ไปที่ทวีปเทียนชิงและในเมืองเทียนชิง นอกจากนี้นายน้อยและคุณหนูมากมายจำนวนมากจึงเข้าร่วมการล่าขุมทรัพย์เพราะการสนับสนุนของโถงวรยุทธอย่างลับๆ
มันมีเพียงเป้าหมายเดียว!
เพื่อพาเจียงอี้มาที่นี่และปล่อยให้เถาวัลย์ดารามารสังหารเขา
ทันทีที่เจียงอี้ออกจากพื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์คนของโถงวรยุทธที่ซุ่มอยู่ใกล้ๆก็ส่งข้อความกลับไปยังโถงวรยุทธ และโถงวรยุทธนั้นรู้อยู่แล้วว่ามีผึ้งทมิฬและเถาวัลย์ดารามารที่น่ากลัวอยู่บนเกาะแห่งนี้
จีทิงยวี่ให้คนไปจับผึ้งทมิฬไม่กี่ตัวและไปปล่อยพวกมันแถวๆเมืองซีหนิงหลังจากมีคนพบพวกมันแล้ว มันก็จะเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ในทวีปและบางตระกูลก็จะพากันออกมาล่าน้ำผึ้ง
ข่าวจึงแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วโถงวรยุทธนั้นได้ทำการปล่อยข่าวออกไป ตระกูลจ้านและตระกูลเฉียนก็ได้รับข่าวได้รับข้อมูลจากโถงวรยุทธเช่นกัน ซูรั่วเสวี่ยเองก็ไม่ได้ต้องการส่งคนไปล่าขุมทรัพย์ในตอนแรก แต่ถึงกระนั้นนางก็ได้ถูกเป่าหูโดยสายลับจากโถงวรยุทธและในที่สุดก็เลือกที่จะส่งแม่ทัพออกไป
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในแผนการของจีทิงยวี่นางรู้จักตัวตนของเฉียนต้าเหยี่ยมาโดยตลอดซึ่งมันเป็นความลับสำหรับคนนอก ในตอนนี้ที่เหล่าตระกูลที่เหลือรีบเข้าต่อสู้กับผึ้งทมิฬโดยไม่รอคนของตระกูลเฉียนและตระกูลจ้านนั้นเป็นเพราะตู๋กูเยี่ยนได้รวมคนและบรรลุข้อตกลงตามคำสั่งของจีทิงยวี่
เหตุใดกองทัพที่เหลือจึงไม่กังวลว่าทั้งสามตระกูลนั้นจะได้เปรียบน่ะหรือ?นั่นเป็นเพราะตู๋กูเยี่ยนได้สัญญากับพวกเขาว่าถ้าหากทั้งสามตระกูลนั้นกล้าที่จะมาช่วงชิงน้ำผึ้งไป พวกเขาจะไม่สามารถรอดชีวิตกลับไปได้อีก ดังนั้นตระกูลที่เหลือจึงเริ่มต่อสู้อย่างมั่นใจ
สติปัญญาของจีทิงยวี่นั้นน่ากลัวเกินไปนางได้วางแผนทุกอย่างเอาไว้แล้วและไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวเองก่อนที่เจียงอี้จะก้าวเข้าไปในกับดักของนางเองอย่างสมัครใจ นอกจากโถงวรยุทธแล้วก็ไม่มีมีผู้ใดรู้ว่าสิ่งนี้มีผู้บงการอยู่เบื้องหลัง
…
“เกิดอะไรขึ้น?”
บนเกาะที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโลเมตรจากเกาะผึ้งทมิฬเฉียนว่านก้วนและคนของเขาก็เห็นผู้เชี่ยวชาญเหาะเหินอยู่บนผิวน้ำทะเล พวกเขาแล่นเรือไปอย่างรวดเร็วและพบกับสถานการณ์ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง เถาวัลย์ทมิฬปรากฏขึ้นบนเกาะและดึงทั้งเจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อลงไปสู่ก้นบึ้งของทะเล
“ลูกพี่!”
เฉียนว่านก้วนเริ่มกังวลขึ้นมาและสั่งให้คนแล่นเรือไปที่เกาะทันทีจ้านอู๋ซวงก็เช่นกัน ส่วนหยุนเฟยนั้นกังวลยิ่งกว่า เจียงอี้เป็นผู้สืบทอดของจอมเวทย์ ผู้พิทักษ์ในอนาคตของอาณาจักรเทียนเซวี่ยนจะมาตายแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
อย่างไรก็ตามนางยังคงแสดงความสงบได้ เมื่อเห็นตระกูลเฉียนกำลังหันทิศเรือนางก็ตะโกนอย่างรีบร้อนว่า “อย่าเพิ่งวู่วามไป เราจะเอาชีวิตไปทิ้งเฉยๆหากเราไปเช่นนี้ เจียงอี้มีพลังมากและสัตว์อสูรหยาจื้อก็อยู่ขั้นสูงสุดของราชันสัตว์อสูรแล้ว แม้แต่พวกเขาก็ยังไม่สามารถต้านทานเถาวัลย์พวกนั้นได้ แล้วมันจะไปมีประโยชน์อันใดที่เราจะไปที่นั่นกัน?”
เฉียนว่านก้วนมองไปที่นางอย่างเย็นชาและคำรามออกมา“เจ้ากำลังพูดจาไร้สาระอะไร? พวกเราจะมัวแต่ยืนดูลูกพี่ตายไปหรือไง? เมื่อเจ้ากลัวตายนัก งั้นข้าก็จะไปคนเดียว”
“เจ้ากำลังพูดอะไร?”
จ้านอู๋ซวงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเขาถลึงตาไปยังเฉียนว่านก้วนอย่างรุนแรงและตะโกนว่า “หยุนเฟยไม่ใช่คนแบบนั้น! เจ้าอยู่ที่ไหนกันตอนที่เราร่วมต่อสู้กับเจียงอี้ในป่าอาถรรพ์ หากเราสามารถช่วยเจียงอี้ได้ ข้าก็จะเป็นคนแรกที่เต็มใจสละชีวิต แต่ปัญหาก็คือ…หลังจากที่เราตายไป ใครจะสามารถช่วยเขาได้กันล่ะ?”
เฉียนว่านก้วนหดหัวกับเสียงตะโกนของจ้านอู๋ซวงในทันทีเขาทำได้เพียงพูดอย่างอับอายว่า “แล้วเราจะทำอย่างไรกันดี? เราคงนั่งอยู่ที่นี่เฉยๆและรอไม่ได้หรอกนะ”
หยุนเฟยไม่ได้ตำหนิเฉียนว่านก้วนนางหันมาสบตาและกล่าวว่า “ประการแรก ส่งข้อความไปหาจักรพรรดินีสัตว์อสูร, จูเก๋อชิงหยุนและแม่เฒ่าบุปผาสีเงิน ประการที่สอง ให้คนไปค้นหาตำราเกี่ยวกับผึ้งทมิฬและเถาวัลย์สีดำนั่นเพื่อหาทางทำลายพวกมัน ประการที่สาม จงวิงวอนต่อพระเจ้าและหวังว่าเจียงอี้จะสามารถแก้ปัญหาด้วยตัวเองให้ได้กันเถอะ……”
บทที่ 424 เสี่ยวนู๋ต้องไม่มาที่นี่
“ราชันอสูรนี่มันคืออะไรกัน? ทำไมข้าถึงย้ายร่างไม่ได้? แล้วทำไมเจ้าถึงขยับไม่ได้เหมือนกัน?”
การที่ร่างกายของเขาถูกลากลงไปอย่างรวดเร็วนั้นทำให้เจียงอี้แปลกใจเป็นอย่างมากสิ่งนี้สามารถมัดราชันอสูรได้อยู่หมัดเลยหรือ? มันเป็นหางของจักรพรรดิสัตว์อสูรจริงๆหรอ? แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงกลิ่นอายของสัตว์อสูรบนเถาวัลย์สีดำนี้เลย
“เจ้าหนูคราวนี้เราคงเจอปัญหาร้ายแรงแล้วล่ะ นี่คือเถาวัลย์ดารามาร!”
ราชันอสูรคำรามออกมาอย่างเศร้าสร้อยในขณะที่ร่างมหึมาของมันก็ถูกรัดโดยเถาวัลย์มันไม่ได้ปลดปล่อยเวทย์มนตร์หรือขยับร่างกายของมันด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่ามันนั้นไม่ได้มีความตั้งใจที่จะสู้กลับเลยแม้แต่น้อย
“เถาวัลย์ดารามาร?มันคือสิ่งใดกัน?”
เมื่อเห็นการแสดงออกของสัตว์อสูรหยาจื้อแล้วเจียงอี้ก็ตกใจมาก ราชันอสูรนั้นอธิบายอย่างเฉื่อยชา “นี่ไม่ใช่อสูรธรรมดาแต่เป็นก็อบลินที่น่าเกรงขามที่สุดในทวีปเทียนชิง นายท่านก็เคยติดอยู่แบบนี้เช่นกันในตอนนั้น แต่ในขณะที่ท่านกำลังจะตาย นายท่านก็ได้บังเอิญเข้าใจถึงรูปแบบเต๋าระดับกลางที่ทรงพลังเป็นอย่างมากและถึงขั้นสูงสุดของขอบเขตเทียนจุน แต่เขาก็ยังได้รับบาดเจ็บจากเถาวัลย์ดารามารนี้และหนีไปได้”
“มันก็เป็นเช่นนั้นแหละ…..นายท่านถูกโจมตีโดยเถาวัลย์ดารามารในทะเลตะวันออกข้าไม่รู้ว่ามันมีเถาวัลย์ดารามารอยู่ในแถบตะวันตกด้วยเช่นกัน! เถาวัลย์บ้านี่น่าจะเป็นสิ่งที่ทนทานที่สุดในทวีปนี้แล้ว การโจมตีของข้าไม่สามารถทำลายมันได้ และในขณะเดียวกัน มันสามารถแทรกแซงพลังปราณในร่างกายของเจ้าให้แปรปรวนได้ ดังนั้น เจ้ากับข้าคงไม่สามารถหนีออกไปได้ เราคงต้องรอให้มันกลืนกินเราไปเมื่อถึงวันที่มันหิวขึ้นมาในวันใดวันหนึ่ง….”
เจียงอี้ตกตะลึงอย่างสิ้นเชิงหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของสัตว์อสูรหยาจื้อแม้แต่จอมเวทย์นั้นยังบรรลุขั้นสูงสุดของขอบเขตเทียนจุนก่อนที่เขาจะสามารถโจมตีเถาวัลย์ดารามารได้
ใบหน้าของเจียงอี้อึมครึมและถามว่า“ก็อบลิน? มันคืออะไร? มันมีอยู่ในทะเลตะวันออกหรือ? ทะเลนั้นช่างอันตรายจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่แม้แต่จอมเวทย์ก็ยังไม่กล้าเข้าไปในส่วนลึกของทะเล”
ราชันอสูรถอนใจอย่างหนักและพูดด้วยน้ำเสียงที่สุขุม“สัตว์อสูรสามารถดูดซับพลังงานฟ้าดินได้และวิวัฒนาการเป็นสัตว์อสูรที่ทรงพลังและสำแดงฤทธิ์หลังจากนั้น ทั่วพิภพนี้ มีวิญญาณพฤกษาที่สามารถบ่มเพาะพลังได้เช่นกัน วิญญาณพฤกษาเหล่านี้ถูกขนานนามว่าก็อบลิน ส่วนลึกของทะเลนั้นเต็มไปด้วยสิ่งที่น่ากลัว นายท่านบอกกับข้าว่านี่เป็นโลกที่กว้างใหญ่….ที่มีสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลังมากมายนับไม่ถ้วนเกินกว่าที่ท่านเองจะจินตนาการได้ ถึงแม้ว่าท่านจะมีพละกำลังในช่วงวันที่เขาแข็งแกร่งที่สุด แต่ก็อาจตายได้หากไปไหนมาไหนโดยไม่ระมัดระวัง นับประสาอะไรกับความแข็งแกร่งของข้ากัน”
เอ่ออ….ไม่น่าแปลกใจเลยที่จักรพรรดินีสัตว์อสูรจะไม่กล้าพาจิ้งจอกน้อยไปด้วยเมื่อนางกำลังจะออกจากทวีปเทียนชิงเป็นเพราะนางกลัวว่านางจะไม่สามารถปกป้องเสี่ยวเฟยได้ในยามที่อันตรายมาเยือน
เจียงอี้ถอนหายใจลึกๆในไม่ช้าเขาก็รู้ว่านี่ไม่ใช่เวลามานั่งนึกคิดอะไรแบบนี้ เขากับราชันอสูรสามารถตายได้ทุกเมื่อ ในตอนนี้เขาควรคิดที่จะหาวิธีแก้วิกฤตในครั้งนี้ก่อน
สมองของเขาแล่นไปมาอย่างรวดเร็วแต่ก็ตระหนักได้เพียงว่าเขาไม่มีทางแก้ไขสถานการณ์นี้ได้เลย หากเขามีหินวิญญาณเพลิงอยู่ เขาอาจจะยังมีหวัง
หินวิญญาณเพลิง?เอ้อ…..ใช่แล้ว! ทะเลมรณะและศพหญิงสาวภายใต้ทะเลนั่น! ไม่ใช่ว่าใต้นั้นก็มีหวายลึกลับอยู่ข้างใต้โรงศพโบราณหรือ? ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยถูกหวายรัดพันตัวไปหมดและไม่สามารถขยับเขยื้อนได้และพลังปราณก็ถูกแทรกแซง หวายนั้นทนทานมากแต่เถาวัลย์ดารามารนี้ทนทานกว่าหวายนั้นมากนัก
จู่ๆสิ่งหนึ่งก็แล่นผ่านมาในใจเจียงอี้เมื่อเขาบุกเข้าไปในทะเลมรณะโดยไม่ได้ตั้งใจเขาก็ได้พบกับเถาวัลย์สีดำ และในท้ายที่สุดเสี่ยวนู๋ก็เป็นคนที่ทำลายเถาวัลย์นั้นและช่วยเขากับผู้อาวุโสเฮ่อเอาไว้ได้
เสี่ยวนู๋!หากเสี่ยวนู๋มา นางจะสามารถตัดเถาวัลย์ดารามารได้หรือไม่กันนะ?
ร่องรอยแห่งความหวังผุดขึ้นในใจของเจียงอี้ก่อนที่เขาจะส่ายหัวทันทีไม่ได้ นางมาไม่ได้! เสี่ยวนู๋จะต้องไม่มาที่นี่! เถาวัลย์ดารามารนั้นเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าหวายทะเลนั้นสิบเท่า แน่นอนว่ามันก็จะมีพลังมากกว่าสิบเท่า เสี่ยวนู๋จะเข้ามาตายหากนางมาที่นี่….
ฟึ่บฟั่บ!
เถาวัลย์ดารามารยังคงกลับลงสู่ด้านล่างตอนนี้มันลงมาใต้ทะเลได้กว่าสามสิบกิโลเมตรแล้ว ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเถาวัลย์ดารามารจะนำพาเขาและสัตว์อสูรหยาจื้อไปที่ใด บางทีเถาวัลย์ดารามารนั้นอาจจะมาจากอเวจีและกำลังจะดึงเจียงอี้และราชันอสูรไปที่อเวจีโดยตรงก็ได้
…
“เถาวัลย์สีดำ?เถาวัลย์สีดำที่สามารถรัดอสูรหยาจื้อได้?”
ภายในศาลาฟ้ากระจ่างบนเกาะดาวตก สุ่ยโย่วหลานเป็นคนแรกที่ได้รับข่าวสาร แม้ว่าสุ่ยเชียนโหรวจะชังขี้หน้าเจียงอี้ แต่ผู้คุมทั้งหมดของศาลาฟ้ากระจ่างก็รู้ดีว่าสุ่ยโย่วหลานเทิดทูนเจียงอี้เพียงใด ดังนั้นพวกเขาจึงส่งข้อความกลับไปยังเกาะดาวตกโดยใช้รูปแบบสารลับโดยไม่รีรอ
“ตู๋กูเยี่ยนรวมฝูงชนไปโจมตีผึ้งทมิฬ?”
หลังจากอ่านข้อความอย่างถี่ถ้วนแล้วสุ่ยโย่วหลานก็กลอกตาของนางและเย้ยหยัน “ข้าเกรงว่าผึ้งทมิฬนั้นจะเป็นกลอุบายของโถงวรยุทธที่วางกับดักเจียงอี้ ตาเฒ่าตู๋กูยังไม่กลับมา ทำไมตาเฒ่าทั้งสองนั้นถึงได้ปล่อยให้ตู๋กูเยี่ยนเพ่นพ่านไปทั่วเช่นนี้? แถมแผนการยังแนบเนียนมากจนสามารถลวงทุกคนได้ด้วยซ้ำ!”
“เถาวัลย์ดารามารครานี้มันยากลำบากจริงๆ มันคงต้องขึ้นอยู่กับผู้ที่อยู่บนหุบเขาสามหมื่นลี้แล้ว หากนางไม่สามารถหาทางออกใดๆได้ เจียงอี้ก็คงจะต้องช่วยเหลือตัวเองเสียแล้ว! เฮ้อ….”
สุ่ยโย่วหลานถอนหายใจเบาๆและหายลับไปจากศาลาฟ้ากระจ่างทันทีและทิ้งไว้เพียงเสียงถอนใจเอาไว้
“เจียงอี้ถูกพันด้วยเถาวัลย์สีดำไปพร้อมกับสัตว์อสูรหยาจื้อ?”
จูเก๋อชิงหยุนได้รับข้อมูลในไม่ช้าเมืองจิตอสูรได้ส่งรองเจ้าสำนักไปในครั้งนี้ หลังจากที่ได้เห็นสัตว์อสูรหยาจื้อแล้วเขาก็รู้ได้ในทันทีว่าคนผู้นั้นจะต้องเป็นเจียงอี้ เขาจึงรีบกลับมายังเมืองซีหนิงและใช้การส่งสารลับเพื่อส่งข้อมูลกลับไปให้จูเก๋อชิงหยุน
“รองเจ้าสำนักฉีเจ้าคอยดูแลสำนักแทนข้าด้วย ข้าจะออกไปเอง”
หลังจากครุ่นคิดเพียงสั้นๆจูเก๋อชิงหยุนก็ส่งข้อความบอกรองเจ้าสำนักฉีเครื่องรางสัตว์วิญญาณในมือเขาส่องสว่างขึ้นในขณะที่มังกรทองยักษ์ส่งเสียงออกมา เขาสะบัดแขนเสื้อของเขาและเคลื่อนย้ายรถเข็นและร่อนลงไปบนหลังมังกรทอง มันบินวนไปมาเหนือท้องฟ้าก่อนที่จะส่งเสียงคำรามและพุ่งไปทางทิศตะวันตก
“มังกรทอง?เกิดอะไรขึ้น? ท่านเจ้าสำนักจะออกไปข้างนอก?”
เสียงร้องของมังกรทองนั้นทำให้คนทั้งสำนักพากันตกใจศิษย์หลายคนรีบออกมาจากตำหนักและรวมตัวกัน ดวงตาของพวกเขาต่างเต็มไปด้วยความกังวล
“จอมพลสูงสุดตกอยู่ในอันตรายรึ?”
ณเมืองเซวี่ยนเทียน, แม่เฒ่าบุปผาสีเงินไม่มีความลังเลใดๆหลังจากที่รับข่าวนี้มา ร่างของนางลอยขึ้นไปกลางอากาศและบินไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ความเร็วของนางรวดเร็วมากซึ่งคนปกติมองเห็นได้เพียงเงาที่ผ่านแวบไปในเมืองเท่านั้น
“อะไรนะ?เจียงอี้กำลังตกอยู่ในอันตราย?”
ณพระราชวังหลวงเมืองเซี่ยยวี่ เมื่อซูรั่วเสวี่ยได้รับข่าวสารนี้มา ถ้วยน้ำชาในมือของนางก็ตกลงไปที่พื้นและแตกเป็นเสี่ยงๆ นางตกอยู่ในภวังค์อยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะฟังข้อมูลอีกครั้ง จากนั้นนางก็ลุกขึ้นอย่างร้อนรนและตรงไปที่วังหิมะเลื่อนลอย
หลังจากนั้นไม่นานจิ้งจอกน้อยก็พุ่งออกจากเมืองไปทางทิศเหนือภายใต้การคุ้มครองของผู้เชี่ยวชาญทั้งสองคน นางไปพบราชันสัตว์อสูรทั้งสองตนและตรงกลับไปยังหุบเขาสามหมื่นลี้โดยเร็วที่สุด
ในเวลาเดียวกันซูรั่วเสวี่ยก็ได้นำกลุ่มผู้เชี่ยวชาญขี่สัตว์วิญญาณประเภทปีกบินไปทางทิศตะวันตกอย่างรวดเร็ว ส่วนเหล่าขุนนางและแม่ทัพที่อยู่ด้านล่างก็ต่างตื่นตระหนกแทบตาย
องค์ราชินีของอาณาจักรเพิ่งจากไปโดยไม่แจ้งข่าวคราวให้ทราบล่วงหน้าจึงก่อให้เกิดความอลหม่านขึ้นเมื่อเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป ทั่วทั้งอาณาจักรต้าเซี่ยอาจตกอยู่ในความวุ่นวายได้
“เสี่ยวนู๋เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าสามารถช่วยเจียงอี้ได้?”
สัตว์อสูรที่อยู่บนท้องฟ้านั้นเป็นเพียงนกกระเรียนขาวธรรมดาที่ไม่ได้เคลื่อนที่เร็วมากมายนักแต่ถึงกระนั้นก็ยังดีกว่าสัตว์วิญญาณระดับสามตนอื่นที่สุดแล้ว เสื้อคลุมและผมของซูรั่วเสวี่ยปลิวไสวด้วยแรงลมที่ตีเข้ามาแต่นางก็ไม่ได้สนใจ นางจ้องไปที่เจียงเสี่ยวนู๋ที่อยู่ข้างๆนางและถามอย่างจริงจัง
“ข้าแน่ใจเจ้าค่ะ!”
เจียงเสี่ยวนู๋มองไปยังทิศตะวันตกและขยับริมฝีปากของนางนางพึมพำด้วยเสียงที่มีเพียงนางเท่านั้นที่จะได้ยิน “นายน้อย รอเสี่ยวนู๋ก่อนนะเจ้าคะ ข้าจะไปพาท่านออกมาแม้ว่าจะต้องสละชีวิตของข้าก็ตาม…..”