เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 433-434
บทที่ 433 ความลับอันน่าตกตะลึง
“อะไรนะ?ใต้เกาะมีจัตุรัสใต้น้ำอยู่? มีพิภพใต้จัตุรัสนั่นลงไปอีก และมันยังมีผีดิบนับไม่ถ้วน? เถาวัลย์ดารามารเหล่านั้นดูดซับและสร้างร่างกายขึ้นใหม่ได้จากบ่อเลือด? กลิ่นอายสีดำที่สามารถทำลายเนื้อหนังและทำให้มนุษย์กลายเป็นผีดิบ…?”
เรือได้แล่นกลับไปยังทวีปด้วยความเร็วสูงสุด…ณ ห้องในเรือลำนั้น, ผู้เชี่ยวชาญทั้งสี่ต่างก็แสดงความประหลาดใจออกมาหลังจากที่ได้ยินเรื่องราวของเจียงอี้ ส่วนจูเก๋อชิงหยุนที่เพิ่งฟื้นก็ฝืนทนกับอาการบาดเจ็บและเข้ามา หลังจากที่เขาได้ยินเรื่องราวนี้ เขาก็ลืมความเจ็บปวดไปพร้อมมีสีหน้าที่ตกตะลึง
“จะ…จะเป็นไปได้ไหมว่ามันคือแดนใต้พิภพจริงๆ?”แม่เฒ่าบุปผาสีเงินกระพริบตาและพูดออกมาด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก
จักรพรรดินีสัตว์อสูรมองไปยังแม่เฒ่าบุปผาสีเงินด้วยสายตาที่ดูแคลนส่วนสุ่ยโย่วหลานส่ายหัวพร้อมกับจู่เก๋อชิงหยุนที่ส่ายหัวมาตามๆกันและกล่าวว่า “ยัยเฒ่าฟั่นเฟือน เจ้าก็ถือว่ามีชื่อเสียงอยู่ไม่ใช่น้อย แต่เจ้ากลับมีสมองที่ฝ่อเช่นนี้ได้อย่างไร? หากนั่นเป็นแดนใต้พิภพจริงๆ เจียงอี้จะหนีออกมาได้หรือ? หยินและหยางนั้นแบ่งแยกกัน และหากมันเข้าสู่แดนใต้พิภพได้ง่ายเช่นนั้นจริงๆ เหล่าวิญญาณร้ายคงเพ่นพ่านไปทั่วพิภพแล้วกระมัง!”
“ตาเฒ่าเป๋เจ้ากล้าว่าข้างั้นหรอ? หากไม่ใช่เพราะข้า ตอนนี้เจ้าก็คงจะได้ไปอยู่แดนใต้พิภพแล้ว” แม่เฒ่าบุปผาสีเงินโกรธเกรี้ยวมากและกำลังจะลุกขึ้นยืนและออกไป แต่เมื่อนางเห็นจักรพรรดินีสัตว์อสูรจ้องมองมาที่นาง นางก็รีบกลับมานั่งลงในทันใด
เจียงอี้โบกมือราวกับจะบอกแม่เฒ่าบุปผาสีเงินว่าอย่าถือสาเลยเขาพูดว่า “พิภพด้านล่างนั้นมันคืออะไรกันแน่? ทวีปนี้มีพิภพเช่นนั้นอยู่ด้านล่างได้อย่างไรกัน? เป็นไปได้ไหมว่าด้านล่างนั้นอาจจะมีสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าอยู่ในนั้น? แล้วทำไมมันไม่โจมตีมนุษย์? ทำไมมันถึงได้มีผีดิบมากมายอยู่ข้างล่างนั่นกัน?”
ทั้งสี่คนเงียบไปสิ่งที่เจียงอี้พูดออกมานั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน พวกเขาไม่กล้าที่จะไปสำรวจมันด้วย การที่มีเถาวัลย์ดารามารป้วนเปี้ยนอยู่รอบๆนั้น แม้แต่จักรพรรดินีสัตว์อสูรก็ต้องตายอยู่ที่นั่น นอกจากนี้ พิภพด้านล่างนั้นไร้ขอบเขตอย่างแท้จริง ในเมื่อมันสามารถฟูมฟักสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวอย่างเถาวัลย์ดารามารได้ เช่นนั้นก็คงต้องมีสิ่งมีชีวิตมากมายที่มีพลังมากกว่านี้แน่ๆ
ผู้เชี่ยวชาญทั้งสี่ล้วนมีความรู้มากมายแต่พวกเขาไม่เคยได้ยินเรื่องราวพวกนี้มาก่อน นั่นก็หมายความว่าไม่มีผู้ใดในทวีปรู้เรื่องนี้เลย? ทุกคนรู้สึกได้เลยว่าเลือดของพวกเขาในตอนนี้เย็นเยียบไปหมดเมื่อพวกเขานึกถึงแดนที่น่าสยดสยองใต้ทวีปนี้
เมื่อพวกเขานึกถึงความน่าสะพรึงที่จะพุ่งขึ้นมาจากด้านล่างและเปลี่ยนมนุษย์และสัตว์อสูรให้กลายเป็นผีดิบได้พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากรู้สึกหนาวสั่น
แต่มันก็เท่านั้นแหละ….
พวกเขาจะทำอะไรได้ล่ะ?แม้ว่าพวกเขาจะรวบรวมผู้เชี่ยวชาญที่เป็นมนุษย์ทั้งหมดและเสี่ยงลงไป แล้วพวกเขาจะสามารถทำสิ่งใดได้? จักรพรรดินีสัตว์อสูรยังอาจจะตายหากนางลงไป แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดจะลงไป พวกเขาทั้งหมดก็คงจะถูกฝังอยู่ด้านล่างนั้นเช่นกันนั่นแหละ
ดูเหมือนว่าโลกนี้จะมีความลับซ่อนอยู่จนนับไม่ถ้วน!
จักรพรรดินีสัตว์อสูรถอนหายใจนางกำลังจะออกไปจากสถานที่แห่งนี้และไม่อยากที่จะสนใจเรื่องราวทั้งหมดนี้ นางมองไปที่เจียงอี้และส่งข้อความว่า “เจ้าหนู อย่าออกไปที่ไหนอีก และบ่มเพาะพลังอยู่ในเมืองเซี่ยยวี่หรือไม่ก็ยอดเขาเทพธิดา ในเมื่อเจ้าขัดเกลาศิลาสวรรค์ไปแล้ว เช่นนั้นก็ทำมันต่อไปเถอะ แล้วก็ค่อยไปหาทรัพยากรในทวีปอื่นที่อาจจะสามารถเปลี่ยนผลข้างเคียงของศิลาสวรรค์ได้เอา! ข้าขอตัวก่อนแล้วข้าจะมาหาเจ้าก่อนที่ข้าจะออกจากทวีปนี้”
จากนั้นจักรพรรดินีสัตว์อสูรก็กลายเป็นร่างสีขาวและหายลับไปในขอบฟ้าอันไกลโพ้นสุ่ยโย่วหลานก็ลุกขึ้นยืนและพูดว่า “เจียงอี้ ข้าก็คงต้องขอตัวเช่นกัน จำเอาไว้นะ อย่าบอกผู้ใดถึงเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นในพิภพด้านล่างนั่น มิฉะนั้นมันอาจเป็นเรื่องราวใหญ่โตจนส่งผลร้ายแรงได้”
“อ้อใช่แล้ว!”
ทันใดนั้นสุ่ยโย่วหลานก็ส่งข้อความว่า“ตามที่ข้าคาดเอาไว้ เหตุการณ์ที่เจ้าถูกเถาวัลย์ดารามารจับไปอาจเนื่องมาจากโถงวรยุทธ เจ้าควรระวังสตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏอยู่ในโถงวรยุทธในช่วงนี้หน่อยนะ นางมีสติปัญญาที่เฉียบแหลมมากนักและเจ้าต้องระวังอย่าหลงกลแผนการของนางเข้าล่ะ”
หลังจากที่สุ่ยโย่วหลานจากไปเจียงอี้ก็ยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิม เหตุการณ์ในครั้งนี้ถูกวางแผนโดยโถงวรยุทธ? ใช่ตู๋กูเยี่ยนหรือเปล่า? มันคงจะ…ไม่ได้มีสตรีศักดิ์สิทธิ์อีกคน? ทำไมโถงวรยุทธต้องจัดฉากเพื่อสังหารเขา? หรือเป็นเพราะโถงวรยุทธจะสังหารผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมเข้าร่วมกับพวกเขา?
แม่เฒ่าบุปผาสีเงินก็จากไปเช่นกันส่วนจูเก๋อชิงหยุนยังอยู่เนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ทั้งคู่ก็กำชับเจียงอี้ว่าไม่ต้องเปิดเผยเหตุการณ์นี้ ดังนั้นเรื่องที่เกิดขึ้นในพิภพด้านล่างนั้นจึงถูกเก็บไว้เป็นความลับ แม้กระทั่งซูรั่วเสวี่ย เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆก็ไม่รู้เรื่องนี้
ในทางเดียวกันเขาก็ไม่ได้อธิบายว่าสัตว์อสูรหยาจื้อและเจียงเสี่ยวนู๋อยู่ที่ไหน โดยเฉพาะเจียงเสี่ยวนู๋ สุ่ยโย่วหลานและจักรพรรดินีสัตว์อสูรต่างก็สงสัยในตัวเจียงเสี่ยวนู๋มากแต่เจียงอี้ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาบอกเพียงว่าเขาเข้าถึงหนึ่งในศาสตร์เวทย์ของจอมเวทย์และเปลวไฟที่น่ากลัวนั้นก็ช่วยให้เขาหนีมาได้
หลังจากที่เจียงอี้ดูแลจูเก๋อชิงหยุนเรียบร้อยแล้วเขาก็ไปคุยกับเฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆ เขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับพิภพด้านล่างและแค่บอกว่าตัวเองเข้าถึงศาสตร์เวทย์หนึ่งที่ช่วยให้เขาหนีมาได้ เขาทิ้งให้ทุกคนตกอยู่ในความประหลาดใจและเดินเข้าไปในห้องซูรั่วเสวี่ย
“ศาสตร์เวทย์?”
จ้านอู๋ซวงและหยุนเฟยมองหน้ากันด้วยความตกตะลึงศาสตร์เวทย์ที่สามารถจัดการกับเถาวัลย์ดารามารที่แม้แต่จักรพรรดินีสัตว์อสูรก็ยังไม่สามารถจัดการได้? เขาฝึกฝนศาสตร์เวทย์นี้ไปถึงขั้นไหนกัน?
“ทุกคนจงฟังให้ดีจะไม่มีผู้ใดเผยเหตุการณ์นี้ออกไปให้ใครรู้ หากผู้ใดกล้าขัดคำสั่งข้าแม้แต่เพียงนิดเดียว ข้า จ้านอู๋ซวงจะใช้อำนาจของตระกูลข้าสังหารพวกมันซะ!”
ดวงตาของจ้านอู๋ซวงแน่วแน่และสั่งการณ์ลงมาอย่างเด็ดขาดเฉียนว่านก้วนและหยุนเฟยต่างก็ทำเช่นเดียวกัน เจียงอี้มีศัตรูมากเกินไป หากผู้อื่นรู้เรื่องนี้ พวกเขาจะต้องเตรียมแผนการและสมคบคิดกันกำจัดเขาแน่นอน
…..
ความจริงแล้ว…!
ตอนที่เจียงอี้หนีออกมาจากจัตุรัสใต้บาดาลทางโถงวรยุทธก็รู้เรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว
ในห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่งในหุบเหวอเวจี,ผู้อาวุโสทั้งสอง, จีทิงยวี่และตู๋กูเยี่ยนนั่งอยู่ข้างๆลูกแก้วสีขาวที่มีภาพปรากฏอยู่ในนั้น มันแสดงภาพจัตุรัสใต้บาดาลที่กว้างใหญ่และไร้ขอบเขตที่เต็มไปด้วยกำแพงหินและไข่มุกส่องสว่างอยู่ที่มุมจัตุรัส เห็นได้ชัดว่านี่คือสถานที่ที่เจียงอี้เคยอยู่
ณด้านล่างของจัตุรัสใต้บาดาล, ร่างของเจียงอี้ก็ปรากฏขึ้นมา เขาสำรวจจัตุรัสและย้ายร่างฉับพลันขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว โดยที่ด้านหลังนั้นตามมาด้วยเถาวัลย์ดารามารขนาดยักษ์ที่พุ่งตามขึ้นมาจากด้านล่าง และหลังจากนั้นไม่นาน เถาวัลย์ดารามารก็ถอยกลับมาและดูเหมือนส่วนหนึ่งของมันดูเหมือนจะไหม้เกรียมและมีของเหลวสีดำไหลออกมา
“น่ะ…นี่…..”
ตู๋กูเยี่ยนมีสีหน้าตกตะลึงและพูดอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองว่า“เจียง..อี้ เจียงอี้หนีออกมาได้จริงๆ? เป็นไปได้ยังไงกัน? เขาหนีออกมาได้ยังไง? แม้แต่เถาวัลย์ดารามารก็ยังสังหารเขาไม่ได้?”
ผู้อาวุโสทั้งสองต่างมีสีหน้าที่เคร่งเครียดหากเถาวัลย์ดารามารยังไม่สามารถสังหารเจียงอี้ได้ แล้วจะมีใครในโลกนี้ที่ทำได้อีก? เป็นไปได้ไหมว่าเขาจะบรรลุไปถึงขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดแล้ว?
“เป็นไปไม่ได้!”
หนึ่งในผู้อาวุโสเอ่ยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน!
หากเจียงอี้สามารถบรรลุขอบเขตเทียนจุนขั้นสูงสุดได้ภายในสองวันโลกนี้ก็คงจะเกลื่อนไปด้วยผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนไปหมดแล้ว ไม่ว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะเพียงใดมันก็คงไม่สามารถเพิ่มพลังให้ตัวเองได้เร็วขนาดนี้หรอกใช่ไหม?
“ฮึฮึ!”
จีทิงยวี่หัวเราะเบาๆขณะที่ดวงตาที่งดงามของนางหรี่ลงพร้อมพูดว่า“เจียงอี้ไม่น่าเป็นผู้ที่น่าเหลือเชื่อเช่นนั้นได้ เขาคงจะต้องพึ่งพาหินที่สามารถปลดปล่อยเปลวไฟออกมาได้ อย่าไปคิดว่าเขาเป็นตัวตนที่ดีเลิศเลย ความสามารถของเขาอาจจะเรียกว่ามีพรสวรรค์อยู่บ้าง แต่ก็คงไม่ได้อยู่ในระดับที่ท้าทายสวรรค์หรอก”
“ใช่แล้วใช่แล้ว! เขามันก็แค่ไอเด็กมีโชค!”
ตู๋กูเยี่ยนพยักหน้าเห็นด้วยนางดูเหมือนกำลังปลอบใจตัวเอง “หากไม่ใช่เพราะว่าเขาได้รับสิ่งประดิษฐ์บางอย่างที่อยู่ในสุสานราชันสวรรค์และในพื้นที่ต้องห้ามของจอมเวทย์มา ก็คงจะไม่มีอะไรคุ้มกะลาหัวเขาได้หรอก เหอะๆ!”
“อย่ากล่าวเช่นนั้นเลย”
ผู้อาวุโสผู้หนึ่งพูด“หากมันเป็นแค่เหตุการณ์เดียวก็คงเรียกว่าโชคดี แต่ถ้าหากมันมีคราที่สอง สาม สี่ มันก็คงไม่ได้มีเพียงโชคอีกต่อไป มีสุดยอดผู้เชี่ยวชาญคนใดในประวัติศาสตร์ที่อาศัยสิ่งประดิษฐ์บ้าง? เจียงอี้จะต้องมีความลับอันน่าตะลึงซ่อนอยู่ในร่างกายของเขาเป็นแน่…”
บทที่ 434 ข่าวอันน่าสลด
“มันไม่สำคัญว่าเขาซ่อนความลับอะไรเอาไว้แต่ตอนนี้พวกเราตกที่นั่งลำบากแล้วล่ะ เราต้องรายงานเรื่องนี้ต่อท่านประมุขใหญ่โถงวรยุทธ เจียงอี้ต้องตาย!”
คำพูดของจีทิงยวี่ทำให้คนอื่นๆยิ่งดูคิดหนักมากขึ้นตู๋กูเยี่ยนพยักหน้าอย่างจริงจังและกล่าวว่า “ใช่ ส่งข้อความถึงท่านพ่อข้าเดี๋ยวนี้และบอกให้เขารีบกลับมาโดยเร็วที่สุด เจียงอี้จะต้องถูกสังหาร คนคนนี้ไม่สามารถจะมีชีวิตอยู่ได้!”
“ไม่ใช่แค่เจียงอี้!”
จีทิงยวี่โบกมือและเดินไปรอบโถงพร้อมกล่าวว่า“ทุกๆคนที่อยู่ฝ่ายเขาจะต้องตายทั้งหมด จักรพรรดินีสัตว์อสูร, แม่เฒ่าบุปผาสีเงิน, สุ่ยโย่วหลาน, จูเก๋อชิงหยุน ตระกูลหยุน, ตระกูลจ้าน, ตระกูลเฉียนและตระกูลซูทั้งหมดต้องตาย! ไม่เช่นนั้น…ท่านคงจะรู้ถึงผลที่ตามมา”
“นี่!”
หนึ่งในผู้อาวุโสที่มีผมหงอกเลิกคิ้วขึ้นและพูดว่า“ตระกูลหยุน, ตระกูลจ้าน, ตระกูลเฉียนและตระกูลซูนั้นกำจัดได้ไม่ยากเท่าไหร่ แต่เราจะสังหารแม่เฒ่าบุปผาสีเงิน, จูเก๋อชิงหยุน, สุ่ยโย่วหลานและ…จักรพรรดินีสัตว์อสูรได้อย่างไร? และแม้ว่าเราจะสันนิษฐานว่าเราสามารถทำได้ แต่หากพวกเขาทั้งหมดถูกสังหารไป ผู้มีอิทธิพลทั่วพิภพนั้นจะต้องปั่นป่วนอย่างหนัก และเมื่อท่านประมุขกลับมา เราจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน”
“ลงโทษอะไรกัน?”
จีทิงยวี่นั้นยังอ่อนเยาว์มากนักและนางได้เข้ามาอยู่ในโถงวรยุทธไม่นานแต่นางก็มีกลิ่นอายที่น่าเกรงขามราวกับว่าเป็นผู้นำของทั้งสี่คน นางพูดว่า “หากเหตุการณ์นี้รั่วไหลออกไป มันอาจจะเป็นหายนะ แต่หากท่านประมุขอยู่ที่นี่ เขาจะเห็นด้วยและไม่ลงโทษเรา! นอกจากนี้…. เราจะยังไม่เคลื่อนไหวอะไรในตอนนี้เพราะเราไม่ได้มีกำลังขนาดนั้น ข้าวมันต้องกินทีละคำ…เราจะกำจัดสี่ตระกูลนั้นก่อน ส่วนจูเก๋อชิงหยุนกำลังได้รับบาดเจ็บสาหัสในครั้งนี้ และมันเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเราที่จะกำจัดตาเฒ่าง่อยนั่น และหากเราทำมันไม่สำเร็จ เราก็แค่ต้องรอท่านประมุขกลับมาก็เท่านั้น”
“อืมสตรีศักดิ์สิทธิ์จีกล่าวถูกต้องแล้ว”
ผู้อาวุโสผมขาวผู้ที่ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาจนถึงตอนนี้ก็ผงกศีรษะและกล่าวว่า“เหตุการณ์นี้ยังไม่อาจคาดเดาได้ แม้ว่าเจียงอี้จะไม่ได้เปิดเผยข้อมูลกับพวกเขาก็ตาม ยังไงเสียเราก็ควรจะสังหารพวกมันดีกว่าปล่อยพวกมันเอาไว้! ตอนนี้เวลากระชั้นชิดแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็คงจะกำลังกลับมา เราต้องเตรียมการทันทีและกำจัดทั้งสี่ตระกูลนั่นก่อน”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์จีท่านไปจัดการเรื่องนี้เลย ข้าจะส่งข้อความไปยังท่านประมุข”
ผู้อาวุโสอีกคนพยักหน้าและเดินออกไปอย่างรีบร้อนส่วนตู๋กูเยี่ยนรู้สึกตื่นเต้นมากขณะที่จีทิงยวี่ยิ้มจางๆ นางพยักหน้าเบาๆแล้วเดินออกจากห้องโถงไปก่อนที่จะมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วพึมพำ “เจียงอี้ เจียงอี้… เจ้าเป็นสุดยอดอัจฉริยะเสียจริง และเจ้าก็ได้ท้าทายสวรรค์อีกครั้งแล้ว แต่เจ้าคิดหรือว่าเจ้าจะสามารถต้านทานโถงวรยุทธทั้งหมดด้วยตัวเองได้?”
…
“รั่วเสวี่ยข้าต้องทำให้เจ้าเป็นห่วง! ครั้งนี้ ข้าเพียงอยากไปนำน้ำผึ้งมาให้เจ้า…”
ณห้องโดยสารบนเรือ, เจียงอี้และซูรั่วเสวี่ยนั่งกอดกันอยู่ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดเพราะนางถึงกับเดินทางมาเป็นนับพันกิโลเมตรและทิ้งอาณาจักรต้าเซี่ยมา ซึ่งมันก็พอจะบอกได้แล้วว่านางนั้นเป็นกังวลมากเพียงใด
“นี่เราจำเป็นต้องพูดเรื่องพวกนี้กันด้วยหรือ?”
ซูรั่วเสวี่ยมองไปยังเจียงอี้ก่อนที่นางจะจุมพิตเขาอย่างเร่าร้อนนางเปลี่ยนความปรารถนาและความกังวลในใจให้กลายเป็นจุมพิตนี้และพวกเขาก็อยู่กันอย่างนั้นนานกว่าสิบห้านาที จากนั้นนางก็ผลักมือของเจียงอี้ที่กำลังจะทำเรื่องมิดีมิร้ายออกไปและจัดชุดที่ยุ่งเหยิงของนาง ทันใดนั้นนางก็นึกบางอย่างขึ้นได้และถามว่า “แล้วน้องสาวเสี่ยวนู๋ล่ะ?”
เจียงอี้อธิบายว่า“นางสบายดี ข้าให้นางพักผ่อนอยู่ในราชวังจักรวาล ตอนนี้นางอ่อนเพลียเกินไปและต้องการพักผ่อนไปสักสองสามวัน”
“ทำไมไม่ปล่อยนางออกมากัน?เจียงอี้!”
ซูรั่วเสวี่ยรีบลุกขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงกังวลใจเจียงอี้จึงนำวังหยกขาวเล็กๆออกมาและมันส่องแสงสีขาวขณะที่เจียงเสี่ยวนู๋ปรากฏออกมา นางดูซีดเซียวและกำลังหลับใหลอยู่บนเตียงแต่การหายใจของนางยังคงปกติอยู่
“โอน้องสาวเสี่ยวนู๋ของข้า!”
ซูรั่วเสวี่ยรู้สึกทุกข์ใจเป็นอย่างมากและเมินเจียงอี้ไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อนางเห็นว่าเสื้อผ้าของเจียงเสี่ยวนู๋ขาดวิ่นเพียงใด นางจึงขอให้แม่เฒ่านำถังน้ำอุ่นมาให้และจะไปช่วยเช็ดตัวและเปลี่ยนชุดสะอาดให้แก่เสี่ยวนู๋
“เจ้าจะยืนอยู่ตรงนั้นอีกทำไมกัน?”
นางจ้องเจียงอี้ที่กำลังยืนเขินอายอยู่ข้างๆนางจึงพูดต่อว่า “รีบออกไปเลยนะ ข้าจะไปช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นาง หรือว่าเจ้าจะยืนอยู่ที่นี่และมองนาง?”
“เอ่อ..”
เจียงอี้ถูจมูกและรีบเดินออกไปเขารักซูรั่วเสวี่ยสุดหัวใจ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเจียงเสี่ยวนู๋ก็รักเขา แต่นางก็ไม่มีความหึงหวงใดๆและปฏิบัติต่อเจียงเสี่ยวนู๋ด้วยความรักอย่างจริงใจ นางเต็มใจที่จะแบ่งปันชายผู้เป็นที่รักของนางให้ผู้หญิงคนอื่น ผู้ใดกันที่จะหาผู้หญิงที่ใจกว้างเช่นนางได้?
แต่อันที่จริงแล้วนี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ชาญฉลาดของซูรั่วเสวี่ย เจียงเสี่ยวนู๋นั้นเป็นผู้ที่สำคัญต่อเจียงอี้มาก แทนที่นางจะดิ้นรนร้องขอความสนใจเพื่อให้ได้เป็นที่โปรดปราน ทำไมนางไม่ควรถอยสักก้าวแทนล่ะ? ผู้หญิงเช่นนี้จะได้รับความรักจากผู้ชายได้อย่างง่ายดาย
เจียงอี้ออกจากห้องไปและไปที่ดาดฟ้าก่อนที่จะปล่อยสัตว์อสูรหยาจื้อออกมาและเมื่อสัตว์อสูรออกมามันก็ก่นด่าสาปแช่งเขาทันที “เจ้าคนสารเลว หากเจ้ายังไม่ช่วยอีก ราชันผู้นี้คงได้กลายเป็นผีดิบอสูรแน่แล้ว เร็ว รีบช่วยข้าเอากลิ่นอายสีดำนี่ออกไปซะ!”
“ก็ได้!เจ้าจะด่าข้าทำไมนัก?”
เจียงอี้ปล่อยเพลิงโลกาออกมาและเมื่อมันพยายามปกป้องเจ้าของเขาก็ย้ายพลังงานนั้นไปที่สัตว์อสูรหยาจื้อและทำให้กลิ่นอายสีดำถูกขับออกมาทั้งหมด นี่น่าจะเป็นกลิ่นอายของผีดิบซึ่งอาจทำให้สิ่งมีชีวิตเสียหายและกลายเป็นพวกมันได้
แดนใต้พิภพ!
เจียงอี้รู้สึกเศร้าโศกอีกครั้งสถานที่แห่งนั้นเป็นเหมือนระเบิดเวลาและผีดิบพวกนั้นอาจจะออกมาได้ทุกเมื่อ และพวกมันก็จะเปลี่ยนทวีปนี้ให้กลายเป็นอเวจีและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดก็จะกลายเป็นผีดิบ
เพียงแค่นึกถึงสิ่งเหล่านั้นก็ทำให้เขาตัวสั่นแต่เขาก็สลัดความคิดนั้นออกไปทันที เขาไม่ใช่ผู้กอบกู้ทวีปและไม่ได้เป็นผู้ปกครองทวีป เรื่องนี้ควรจะปล่อยให้สุ่ยโย่วหลานและคนอื่นๆไปคิดกันเอาเอง ความแข็งแกร่งของเขาอ่อนแอเกินไป ขนาดปกป้องตัวเองยังยากเลย ฉะนั้นเขาควรจะหาทางรอดเรื่องสัญญาสามปีก่อนดีกว่า
สามวันต่อมาเรือได้มาถึงเมืองซีหนิงซึ่งพวกเขาทั้งหมดกำลังจะแยกย้ายกัน
เมืองซีหนิงนั้นอยู่ในเขตแดนของอาณาจักรเทียนเซวี่ยนและพวกเขาจึงไม่มีความกังวลเรื่องความปลอดภัยดังนั้นหลังจากที่พักในเมืองซีหนิงสักพักแล้ว หยุนเฟยและคนอื่นๆจึงขอตัวกลับไปยังเมืองเซวี่ยนเทียน
หลังจากที่จูเก๋อชิงหยุนฟื้นพลังขึ้นมาเล็กน้อยแล้วเขาก็อำลาทุกคนและขี่มังกรทองกลับไปส่วนเจียงอี้และคนอื่นๆได้ตัดสินใจว่าจะไปพร้อมกันเนื่องจากเฉียนว่านก้วนต้องผ่านเมืองเซี่ยยวี่เพื่อที่จะกลับไปยังอาณาจักรเสินหวู่อยู่แล้ว
และการเดินทางเป็นกลุ่มใหญ่ๆนั้นจะทำให้การเดินทางช้าลงไม่มากก็น้อยเจียงอี้ไม่ต้องการที่จะเสียเวลาใดๆ ดังนั้นเขาจึงนำทุกคนเข้าไปอยู่ในพระราชวังจักรวาลและขี่สัตว์อสูรหยาจื้อเพื่อตรงไปยังเมืองเซี่ยยวี่เลย
สัตว์อสูรหยาจื้อนั้นเร็วมากเมื่อมันบินไปนับหมื่นกิโลเมตรและใช้เวลาเพียงไม่กี่วันก็มาถึงเมื่อเซี่ยยวี่แล้ว
เมื่อสัตว์อสูรร่อนลงมายังวังหลวงเหล่าขุนนางทั้งหลายต่างพากันโล่งใจ และเจียงอี้ก็ได้ปล่อยทุกคนออกมาและตัวเขาก็ตรงไปยังวังหิมะเลื่อนลอย และเขาก็ได้รับข่าวที่ไม่สามารถยอมรับได้
จูเก๋อชิงหยุนถูกโจมตีในทันทีที่เขาถึงสำนักจิตอสูรเมื่อคืนนี้และผลก็คือ….เขาถูกสังหาร! ส่วนมังกรทองของเขาซึ่งเป็นสัตว์วิญญาณก็ตายไปพร้อมกับเขา ในตอนนี้ทั่วทั้งสำนักจิตอสูรต่างเกิดความวุ่นวายพร้อมกับพากันตามหาตัวมือสังหารอยู่….