เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 443-444
บทที่ 443 ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลัง
“เร็วเข้าเร็วเข้า!”
ทั้งเมืองหวังตกอยู่ในความวุ่นวายมีการระดมพลทหารนับหมื่นและแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญจากตระกูลใหญ่ทั้งหมดก็ออกมาเช่นกัน พวกเขาเริ่มขุดลงได้ใต้ดินเพื่อหาตัวหลิ่วอวี้ไปทั่วเมือง
ในตอนนี้ทั้งเมืองก็ยังไม่รู้ว่าเซี่ยถิงเวยเป็นตายร้ายดียังไง ขณะที่ขันทีหลินตายแล้วและเจียงเปี๋ยหลีได้รับบาดเจ็บสาหัส เรื่องนี้ทำให้ทุกคนหวาดผวา หากพวกเขาไม่สามารถหาตัวหลิ่วอวี้เจอภายในสามสิบนาทีได้ เมืองทั้งเมืองคงถูกล้างไปด้วยเลือด ในตอนนี้ยังมีใครที่สามารถหยุดเจียงอี้ได้ไหม?
ตระกูลจ่างซุน,ตระกูลหลง, ตระกูลอิงและตระกูลไท่สื่อต่างพากันอลหม่าน พวกเขาส่งผู้เชี่ยวชาญทั้งหมดออกไป พวกเขาไม่สนใจที่จะตรวจสอบว่าข้อมูลนั้นจริงหรือไม่และได้นำทัพออกค้นตามบ้านต่างๆ ตราบใดที่พบคนแปลกหน้าและไม่คุ้นเคยหรือดูน่าสงสัย พวกเขาก็จะลงมือก่อนเป็นอันดับแรก
แม้แต่ตระกูลจ้านและตระกูลเฉียนก็ลงแรงเช่นกันอย่างไรก็ตาม ประมุขทั้งสองตระกูลนี้ไม่ได้มุ่งหน้าออกไปตามหา พวกเขาติดตามเจียงอี้ไปในอาคารแห่งหนึ่งที่อยู่เหนือกำแพงเมืองตอนใต้แทน ในขณะที่เจียงอี้ยังคงนิ่งเงียบ ทั้งคู่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากออกมาเช่นกัน อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็มองไปที่เจียงอี้ในขณะที่ถอนหายใจอย่างอัศจรรย์ใจ
หนึ่งปีก่อน,ในช่วงเวลาแห่งฤดูใบไม้ร่วงดังเช่นครานี้…
หลังสงครามราชอาณาจักรสิ่งแรกที่เจียงอี้ทำคือการกลับมายังเมืองหวังนี้ ระหว่างช่วงเวลานั้น พ่อของจ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วน, จ้านอีหมิงและเฉียนกุ้ยต่างรู้สึกได้ว่าอนาคตของเจียงอี้นั้นไม่มีที่สิ้นสุด ในอนาคตเขาจะกลายเป็นบุคคลที่โดดเด่น และเขายังอาจจะทะลวงสู่ขอบเขตจินกังได้เช่นกัน
คาดไม่ถึงเลยว่าในเวลาเพียงปีเดียวเจียงอี้ก็เป็นเช่นนี้ แม้ว่าเซี่ยถิงเวยจะระเบิดพลังทั้งหมดของเขาออกมาแล้ว เขาก็ยังสามารถพลิกสถานการณ์และกำราบผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังทั้งสามของอาณาจักรเสินหวู่และยังสังหารขันทีหลินอีกด้วย!
พวกเขาไม่รู้ว่าความแข็งแกร่งของเจียงอี้นั้นอยู่ที่ระดับใดแต่พวกเขาก็รู้ว่าเจียงอี้ยังคงใช้ไฟในครั้งนี้ ไฟนั้นค่อนข้างคล้ายกับเพลิงโลกาแต่มันน่ากลัวกว่านั้นมาก ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังได้ แต่มันก็ยังไม่ได้รุนแรงเท่ากับเพลิงที่ถูกปล่อยออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิง เจียงอี้เป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้ไฟมาโดยตลอด ในความคิดของทุกคน พวกเขารู้สึกว่าเจียงอี้จะต้องได้เปลวเพลิงที่ทรงพลังมากมาแน่ๆ
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น….
ขันทีหลินก็สูญสิ้นไปแล้วทุกคนได้ยินเสียงร้องโหยหวนและน่าสังเวชของเขา นี่เป็นเรื่องจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้ว เซี่ยถิงเวยที่อยู่ขอบเขตจินกังขั้นที่ห้าก็ยังถูกไฟคลอกขาท่อนล่างของเขาเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหรือว่าเจียงอี้จะจัดการกับมันอย่างไรนั้น อย่างน้อยๆเขาก็ยังทำมันได้ หรือจะให้กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เขามีพลังที่สามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่ห้าได้!
เด็กน้อยผู้ที่ยังอายุไม่ถึงสิบแปดปีสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญที่เลื่องชื่อไปทั่วทวีปได้
สิ่งนี้ทำให้จ้านอีหมิงและเฉียนกุ้ยรู้สึกประหลาดใจหัวใจของขานั้นเต็มไปด้วยความปิติยินดี สัญญาสามปียังมาไม่ถึง หากเจียงอี้ยังก้าวหน้าด้วยความเร็วที่น่ากลัวเช่นนี้ต่อไป เมื่อเวลานั้นมาถึง ไม่ใช่ว่าเขาจะเป็นผู้ไร้เทียมทานหรือ?!
จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนเป็นพี่น้องร่วมสาบานของเจียงอี้หากเจียงอี้รวมทวีปและสร้างอาณาจักรของตนเอง พวกเขาทั้งสองตระกูลก็จะสูงส่งมากขึ้นและกลายเป็นตระกูลชั้นยอดของทวีปเพราะเจียงอี้ และมันก็จะทำให้พวกเขาเจริญรุ่งเรืองเป็นเวลานับหมื่นปี
การตัดสินใจของเฉียนว่านก้วนนั้นทรงพลังจริงๆวิธีที่เขาตัดสินผู้คนนั้นเฉียบขาดอย่างแท้จริง!
เฉียนกุ้ยเผยสีหน้าที่ภาคภูมิใจขึ้นมาเฉียนว่านก้วนสนับสนุนเจียงอี้มาโดยตลอดและเฉียนกุ้ยเลือกที่จะเชื่อการตัดสินใจบุตรของตนเอง ซึ่งจ้านอีหมิงพยักหน้าเห็นด้วยขณะที่เขามองไปที่เจียงอี้ด้วยสายตาที่มีร่องรอยของความนับถือ เหล่าผู้เชี่ยวชาญนั้นมักจะทำให้ผู้อื่นรู้สึกนับถืออยู่ภายในใจเสมอ
“ท่านลุงทั้งสอง!”
เจียงอี้กำลังครุ่นคิดว่าเซี่ยถิงเวยจะไปอยู่ที่ไหนได้บ้างทำให้เขาเกิดฟุ้งซ่านรูปแบบเต๋าของเขาคืออะไร? มันทำให้เขาหายไปในห้วงอากาศได้จริงๆ? และเมื่อเขาตื่นจากห้วงความคิดของเขา เขาก็ทักทายลุงทั้งสองด้วยความเคารพ “พวกท่านคิดไหมว่าการตายของเจ้าสำนักจูเก๋อเป็นเซี่ยถิงเวยที่ลงมือ?”
เมื่อเจียงอี้เรียกพวกเขาว่าท่านลุงมันก็ทำให้จ้านอีหมิงและเฉียนกุ้ยยิ้มแย้มทันทีเฉียนกุ้ยพึมพำกับตัวเองก่อนจะตอบกลับอย่างเคร่งเครียดว่า “ในความคิดของข้า ข้าก็สงสัยมากเช่นกัน ตามสติปัญญาของข้า ผู้ที่ขัดขวางกลุ่มของรองเจ้าสำนักฉีนั้นไม่ใช่คนของเสินหวู่ แน่นอนว่าเป็นไปได้ที่พวกมันจะเป็นหน่วยลับ ข้ารู้สึกว่าหากเซี่ย….องค์ราชาไม่ได้โง่เขลา เขาจะไม่มีวันปล่อยให้หลิ่วอวี้เข้ามาในเมืองหวัง เพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งนี้จะทำให้อาณาจักรเสินหวู่ถูกหมายหัว ซึ่งมันจะไม่เกิดประโยชน์อันใด”
จ้านอีหมิงพยักหน้าเห็นด้วย“ข้าก็คิดเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าหลิ่วอวี้เป็นแค่ตัวหมากในกระดาน หากมันเป็นการกระทำขององค์ราชา หลิ่วอวี้จะยังได้มีชีวิตอยุ่หรือ? เขาคงจะต้องตายอยู่ในหุบเขาจิตอสูรไปนานแล้ว มีเพียงคนตายเท่านั้นที่พูดไม่ได้”
“ก็จริง..”
เจียงอี้ก็สงสัยเช่นกันเซี่ยถิงเวยเป็นองค์ราชาที่มีความสามารถ เขาคงไม่โง่เช่นนี้แน่นอน ดังนั้นเจียงอี้จึงขมวดคิ้วและถามว่า “หากไม่ใช่เซี่ยถิงเวย พวกท่านจะอธิบายเกี่ยวกับใต้เท้า เจ้าเมืองเสินปิงว่าอย่างไร? แล้วพวกบุคคลลึกลับเหล่านั้นล่ะ? แล้วไหนจะผู้บัญชาการทหารประจำประตูทางใต้ของเมืองที่ฆ่าตัวตายอีก? หากไม่ใช่อาณาจักรเสินหวู่ แล้วใครจะสามารถวางแผนการที่แยบยลเช่นนี้ขึ้นมาได้?”
ดวงตาของเฉียนกุ้ยกวาดตามองไปรอบๆขณะที่มองออกไปข้างนอกอย่างกังวลเจียงอี้จึงสำรวจที่นั่นด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่จะกวักมือของเขา “ลุงเฉียน ไม่มีใครอยู่ที่นี่ การมีราชันสัตว์อสูรอยู่ข้างนอกนั่น ไม่มีผู้ใดเข้ามาใกล้เราได้ ท่านสามารถพูดสิ่งที่ท่านคิดอยู่ได้เลย”
เฉียนกุ้ยมีสีหน้าที่ผ่อนคลายลงใบหน้าที่อวบอิ่มของเขาสั่นสะท้านชั่วครู่ก่อนที่จะตอบว่า “หลานชาย หากเจ้าเชื่อข้า ข้าจะบอกสิ่งที่ข้าคิดอยู่!”
เจียงอี้พยักหน้า“เชิญเลยท่านลุง”
“ข้าสามารถสรุปผลได้ว่าเรื่องนี้ไม่ใช่การลงมือของเซ่ยถิงเวย”
เฉียนกุ้ยพูดอย่างมั่นใจว่า“มันควรจะเป็นผู้ที่พยายามวางกรอบอาณาจักรเสินหวู่ เป้าหมายของพวกมันคือให้เจ้า, เซี่ยถิงเวย, ขันทีหลิน และพ่ะ….จอมพลกองทัพทหารตะวันตกนั้นสู้กัน จากนั้นพวกเขาจะได้ประโยชน์จากผลลัพธ์นั้น ดังนั้น นอกเหนือจากอาณาจักรต้าเซ่ยและอาณาจักรเทียนเซวี่ยนแล้ว อ๊ณาจักรอื่นๆจึงน่าสงสัยหมด ส่วนคนของอาณาจักรเซิ่งหลิงลดลงอย่างมากดังนั้นพวกเขาจึงไม่น่าจะไม่มีทางรุกรานผู้อื่น ดังนั้นจึงสามารถตัดออกจากรายชื่อผู้ต้องสงสัยได้”
“อาณาจักรเป่ยเหลียงและเป่ยหมางนั้นไม่ชอบการใช้อุบายและการต่อสู้ที่รุนแรงหลิ่วอวี้ได้แฝงตัวมาสามสิบปีและในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา ทั้งสองอาณาจักรก็ไม่มีที่ปรึกษาที่ทรงพลัง ทั้งสองอาณาจักรจึงสามารถตัดออกไปได้เช่นกัน ส่วนหอดาราสุ่ยเยว่, อารามเซน, และสำนักทั้งสาม พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ ดังนั้นจึงเหลือเพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่น่าสงสัย….”
“จักรวรรดิมังกรเวหา?”
ร่างของเจียงอี้สั่นเทาดวงตาของเขากระพริบด้วยความเย็นชา จักรวรรดิมังกรเวหานิยมใช้กลอุบายที่ทำให้ทั้งหกอาณาจักรขัดขวางซึ่งกันและกันในขณะที่พวกเขาได้สร้างขยายตัวอย่างเงียบๆ พวกเขาจึงได้วางแผนการขึ้น ทำให้เจียงอี้และอาณาจักรเสินหวู่ต้องต่อสู้กันเอง ไม่ว่าฝ่ายดจะชนะ มันก็ยังเป็นสิ่งที่ดีต่อพวกเขา
อูฐผอมแห้งยังตัวใหญ่กว่าม้า!
จักรวรรดิมังกรเวหานั้นฟื้นตัวมาเป็นเวลานับหมื่นปีไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาปกปิดความแข็งแกร่งของพวกเขาไว้มากเท่าใด มีเพียงหลิงเสวี่ยเท่านั้นที่รู้ว่ามีตระกูลกี่ตระกูลเป็นเงาของพวกเขา เจียงอี้เคยได้สัมผัสมาด้วยตัวเองบ้างแล้วว่าหลิงเสวี่ยทรงพลังเพียงใด หากนางวางแผนเรื่องนี้ขึ้นมาจริงๆ ทุกอย่างก็เริ่มสมเหตุสมผล
“อืม!”
เฉียนกุ้ยพยักหน้าอย่างไรก็ตามก็ยังเห็นความโศกเศร้าที่มุมปากของเขาได้ “หลานชาย จักรวรรดิมังกรเวหานั้นน่าสงสัยที่สุด แต่….เจ้าก็ยังลืมกลุ่มที่มีอิทธิพลอย่างมากไปนะ!”
“กลุ่มที่มีอิทธิพลมาก?”
เจียงอี้เริ่มงุนงงเฉียนกุ้ยไม่ได้ตัดพวกที่แข็งแกร่งออกไปทั้งหมดแล้วหรอ? ยังเหลือฝ่ายใดอีก? ดวงตาของเขากระพริบไปมาและทันใดนั้นก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “โถงวรยุทธ!”
“ใช่แล้ว!”
เฉียนกุ้ยพยักหน้า“หากจะมีฝ่ายที่เป็นอันดับหนึ่งในทวีปนี้ มันก็คงไม่ใช่จักรวรรดิมังกรเวหาหรืออาณาจักรทั้งหกหรอก แต่มันคือโถงวรยุทธ สองปีที่ผ่านมา ข้าได้ยินมาว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์จีได้ปรากฏขึ้นในโถงวรยุทธ นางเป็นผู้ที่สามารถคำนวณความเป็นเป็นได้ทุกรูปแบบและมีสติปัญญาราวกับปีศาจ หากนางวางแผนและสมาชิกโถงวรยุทธออกมาดำเนินการตามแผน ทุกๆอย่างจะดูเหมือนมีเหตุผลมาก”
“สตรีศักดิ์สิทธิ์จี?”
เจียงอี้ใจสั่นเมื่อนึกถึงครอบครัวแซ่จีใบหน้าที่งดงามและรูปร่างที่หยดย้อยปรากฏขึ้นในใจเขา เขารีบถามออกมาว่า “ท่านลุง ชื่อเต็มของสตรีศักดิ์สิทธิ์จีนั้นนามว่าอะไร?”
“เราก็ไม่แน่ใจ…”
เฉียนกุ้ยส่ายหัว“คนนอกไม่สามารถเข้าไปยังหุบเหวอเวจีได้ ผู้เก็บข้อมูลของตระกูลเรานั้นเป็นเพียงประมุขสาขาโถงวรยุทธขั้นหนึ่งเท่านั้น เขารู้เพียงว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์จีนั้นทรงพลังมาก แม้แต่ตู๋กูเยี่ยนก็ยังฟังนางเช่นกัน”
เจียงอี้ยิ่งเกิดความสงสัยมากขึ้นขณะที่เขาถามต่อว่า“หุบเหวอเวจีอยู่ที่ไหน?”
“หุบเหวอเวจีนั้นเป็นสำนักใหญ่ของโถงวรยุทธหลายๆตระกูลจะรู้เรื่องนี้ดี แต่ที่ตั้งของมันนั้น อย่าว่าแต่พวกเราเลย แม้แต่เซี่ยถิงเวยเองก็ยังไม่รู้”
เฉียนกุ้ยอธิบายอย่างจริงจังจากนั้นเขาก็มองเจียงอี้ด้วยความกังวลว่า “หลานชาย เจ้าต้องระวังโถงวรยุทธให้ดี โถงวรยุทธนั้นไม่ได้ดูปกติอย่างที่เห็น….”
บทที่ 444 ถูกสังหารโดยไม่มีข้อยกเว้น
จริงๆเฉียนกุ้ยไม่จำเป็นต้องเตือนเขาเจียงอี้ก็ระแวงโถงวรยุทธอยู่แล้ว เขารู้ว่าโถงวรยุทธไม่ได้ดูเหมือนอย่างที่มันเป็นอยู่แล้ว เขารู้อยู่แล้ว เมื่อย้อนกลับไปตอนที่กองทัพทั้งหกอาณาจักรอยู่พร้อมหน้ากันนอกเมืองเทียนชิง คำพูดเดียวจากประมุขโถงวรยุทธก็เพียงพอที่จะไล่กองทัพทั้งหมดได้
เห็นได้ชัดว่าสงครามอาณาจักรที่ก่อขึ้นหลังจากนั้นก็เป็นแผนการกำจัดความแข็งแกร่งของหกอาณาจักรแต่ด้วยคำพูดเดียวของประมุขโถงวรยุทธก็ทำให้ทั้งหกอาณาจักรไม่มีทางอื่นนอกจากต้องเข้าร่วมสงครามซึ่งมันยังคงดำเนินต่อมาจนถึงทุกวันนี้
โถงวรยุทธอยู่มาตั้งแต่ก่อตั้งทวีปนี้และยังคงอยู่มาถึงปัจจุบันจักรวรรดิได้เปลี่ยนไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า แต่โถงวรยุทธก็ยังคงอยู่ นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นว่าโถงวรยุทธนั้นน่าเกรงขามเพียงใด!
ทันใดนั้นคำพูดที่สุ่ยโย่วหลานบอกให้ระวังโถงวรยุทธเอาไว้ก็ได้ผุดขึ้นมาในหัวเจียงอี้
เจียงอี้ได้นึกถึงคำพูดของสุ่ยโย่วหลานก่อนที่นางจะแยกตัวจากไปซึ่งทำให้ใบหน้าของเขาค่อยๆเปลี่ยนไปทีละนิดหากเหตุการณ์เรื่องเถาวัลย์ดารามารถูกวางแผนไว้โดยโถงวรยุทธแล้วล่ะก็ เช่นนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับจูเก๋อชิงหยุนและหยุนเฟยก็อาจถูกวางแผนโดยโถงวรยุทธเช่นกัน
“สตรีศักดิ์สิทธิ์จี!”
ดวงตาของเจียงอี้วูบไหวขณะที่เขามองไปที่เฉียนกุ้ยขณะที่พูดอย่างจริงจัง“ลุงเฉียน ช่วยข้าสืบหน่อยได้ไหมว่าสตรีศักดิ์สิทธิ์จีนั้นใช่…..จีทิงยวี่หรือเปล่า?”
“จีทิงยวี่?ก็ได้ ข้าจะลองสืบอย่างสุดความสามารถ!”
เฉียนกุ้ยพยักหน้าในขณะที่เจียงอี้เหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างทันใดนั้นก็มีร่างหนึ่งบินมาคุกเข่าอยู่ด้านนอกอาคาร “รายงานใต้เท้าเจียง, ท่านประมุข, ท่านใต้เท้าเฉียน เราพบตัวหลิ่วอวี้แล้ว แต่ว่า…เขาตายแล้วขอรับ”
“ตายแล้ว?”
เจียงอี้,เฉียนกุ้ยและจ้านอีหมิงมองไปที่ผู้รายงานนั้นขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงอึมครึม “ศพถูกพบที่ไหน?”
สมาชิกตระกูลจ้านหยุดนิ่งชั่วขณะก่อนที่จะตอบว่า“คฤหาสน์ของท่านจอมพลขอรับ!”
“จ่างซุนเหยียน?”
จ้านอีหมิงและเฉียนกุ้ยต่างก็อุทานออกมาในขณะที่เจียงอี้เพียงพ่นลมออกมาเขาบินออกไปและบอกสมาชิกตระกูลจ้านว่า “นำทางข้าไป”
สมาชิกตระกูลจ้านผู้นั้นก็บินออกไปอย่างรวดเร็วในขณะที่เจียงอี้ตามหลังมาส่วนจ้านอีหมิงและเฉียนกุ้ยก็ตามไปติดๆเช่นกัน สัตว์อสูรหยาจื้อส่งเสียงคำรามอยู่บนท้องฟ้าขณะที่มันค่อยๆตามไป
ถนนเต็มไปด้วยทหารและเมื่อพวกเขาเห็นเจียงอี้แล้วคนอื่นๆกำลังพุ่งมาพวกเขาก็ยืนมองอย่างร้อนรน พวกเขากลัวว่าเจียงอี้จะสังหารพวกเขาทันที
ไม่นานนักเจียงอี้ก็มาถึงคฤหาสน์หลังใหญ่ซึ่งรายล้อมไปด้วยบุคคลที่มีอิทธิพลของอาณาจักรเสินหวู่ จ่างซุนเหยียนก็รออยู่ด้านนอกพร้อมกับสมาชิกตระกูลจ่างซุน เมื่อจ่างซุนเหยียนเห็นเจียงอี้เดินมา เขาก็เผยรอยยิ้มที่น่ายำเกรงออกมาและโค้งคำนับ “เจียง…ใต้เท้าเจียง มีใครบางคนพยายามจะป้ายสีตระกูลข้า ชายชราผู้นี้กล้าเอาหัวของข้ารับประกันได้เลยว่าข้าไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆกับหลิ่วอวี้”
“หุบปาก!”
เจียงอี้เดินเข้าไปเขาไม่แม้แต่จะมองจ่างซุนเหยียนและถามสมาชิกตระกูลจ้านว่า “ศพมันอยู่ที่ไหน พาข้าไปที่นั่น!”
สมาชิกตระกูลจ้านก็รีบเดินเข้าไปขณะที่เจียงอี้ตามหลังเขาไปในเวลาเดียวกับที่เฉียนกุ้ยและจ้านอีหมิงกำลังจะเข้าไป เสียงบางอย่างก็ดังเข้ามาในหูของพวกเขา “พี่ชายทั้งสองของข้า ข้าขอให้พวกท่านช่วยพูดให้ข้าหน่อยได้ไหม ชายชราผู้นี้ยินดีที่จะแบ่งทรัพย์สินของตระกูลข้าให้พวกท่านแปดส่วนเลย”
เฉียนกุ้ยและจ้านอีหมิงมองหน้ากันก่อนที่จะเดินเข้าไปโดยไม่ตอบสนองใดๆตระกูลจ่างซุนเป็นญาติของราชวงศ์มาโดยตลอดและมักจะทำตัวหยิ่งผยองและดูหมิ่นผู้อื่น พวกเขาร่วมมือกับตระกูลเจียงแย่งชิงสมบัติของตระกูลอื่นๆและของตระกูลพวกเขาทั้งสองไม่ว่าจะโดยเปิดเผยหรือลับหลัง
มันก็ถือว่าดีมากแล้วที่ประมุขทั้งสองไม่ได้เหยียบตระกูลจ่างซุนในตอนที่พวกเขาล้มแล้วทำไมพวกเขาถึงยังต้องช่วยเหลือตระกูลจ่างซุนด้วย? ยิ่งไปกว่านั้น…..หากพวกเขาช่วยพูดเข้าข้างตระกูลจ่างซุน แล้วเจียงอี้จะมองว่าพวกเขาเป็นคนยังไง?
ศพอยู่ในห้องลับของตระกูลจ่างซุนเจียงอี้ได้ได้ออกคำสั่งฆ่ามาแล้ว ดังนั้นกองทัพอาณาจักรเสินหวู่จึงไม่กล้าทำอะไรประมาทและยังตรวจค้นแม้แต่คฤหาสน์ของตระกูลใหญ่ๆทั้งหมด
เนื่องจากจางหมิงเจียงผู้ดูแลประตูเมืองทิศใต้เป็นสมาชิกของตระกูลจ่างซุน แม่ทัพคนหนึ่งจึงนำทหารกลุ่มหนึ่งเข้าไปตรวจค้นที่ตระกูลจ่างซุน และยังถูกปฏิสธจากตระกูลจ่างซุนด้วย แต่ในที่สุดแม่ทัพคนนั้นก็บุกเข้าไปพร้อมคนของเขาและพบศพหลิ่วอวี้ในห้องลับนี้
หลิ่วอวี้ได้ฆ่าตัวตายโดยการดื่มยาพิษหลังจากที่เจียงอี้ตรวจสอบและยืนยันแล้วว่านี่เป็นร่างของหลิ่วอวี้จริงๆ เขาก็ชักดาบขึ้นมาและฟันศีรษะหลิ่วอวี้ก่อนที่จะโยนมันเข้าไปในไข่มุกวิญญาณเพลิง เขาเดินออกไปและมองไปที่แม่ทัพตระกูลไท่สื่อ “จับกุมตระกูลจ่างซุนให้หมด หากมีใครหลุดรอดไป ข้าจะสังหารคนของตระกูลไท่สื่อสิบคน!”
ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟั่บ!
ตระกูลจ่างซุนต่างพากันหน้าซีดและตระกูลไท่สื่อก็เช่นกันแม่ทัพตระกูลไท่สื่ออยู่ขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุด เราสวมชุดเกราะที่สง่างาม แต่ตำแหน่งของเขานั้นไม่ได้มีความสำคัญต่ออาณาจักรเสินหวู่เท่าใดนัก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปหลายครั้งก่อนที่จะตะโกนออกมาว่า “ทหารหลวงจงฟังคำสั่งข้า จับกุมตระกูลท่านจอมพลทุกคนซะ!”
“บังอาจ!”จ่างซุนเหยียนโกรธมากและดวงตาของเขาก็จ้องเขม็งด้วยความโกรธ
ปั้ก!
มือของเจียงอี้ที่ยังคงถือดาบมังกรเพลิงที่อาบเลือดอยู่ได้วาดดาบด้านทื่อตบไปที่ใบหน้าของจ่างซุนเหยียนทำให้เขากระเด็นลอยไป
สายตาของเขากวาดไปทั่วตระกูลจ่างซุนและพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย“ข้าแค่อยากจะถามอะไรบางอย่าง หากพวกเจ้าไม่คิดว่ามันสำคัญ เช่นนั้นข้าจะส่งพวกเจ้าทั้งหมดไปยังปรโลกซะ”
“จับกุมทุกคน!”
แม่ทัพตระกูลไท่สื่อกัดฟันพร้อมตะโกนออกมาหากมีผู้ใดที่จะต้องตาย เพื่อนตายก็คงดีกว่าพี่น้องของตนต้องตาย อย่าว่าแต่ตระกูลจ่างซุนเลย ทุกคนจะต้องประสบชะตาเดียวกันหากพวกเขายั่วยุเจียงอี้ ในตอนนี้เขาเป็นผู้บงการเมืองหวังแล้ว
เมื่อแม่ทัพไท่สื่อออกคำสั่งผู้ใต้บัญชาของเขาทุกคนก็ลงมือจับกุมตระกูลจ่างซุนทั้งหมด พวกเขาทั้งหมดถูกมัดอยู่ที่ลานด้านหน้าของตระกูลจ่างซุน ทหารหลวงทั้งหมดนั้นต่างสุภาพและไม่กล้าที่จะปฏิบัติแย่ๆต่อตระกูลจ่างซุน
ตระกูลจ่างซุนนั้นคือตระกูลอันดับหนึ่งของอาณาจักรเสินหวู่พวกเขามีทายาทมากมายซึ่งมารวมตัวอยู่หน้าลานตระกูลจ่างซุนอย่างรวดเร็ว หญิงสาวหลายคนกรีดร้องขณะที่มีเด็กน้อยร้องไห้ออกมา พื้นที่นั้นเสียงดังไม่ต่างไปจากตลาดสด
ตึกตึก ตึก!
ทหารกลุ่มหนึ่งเข้ามาจากทางด้านซ้ายขณะที่จับนายน้อยสองคนไปหนึ่งในนั้นตะโกนออกมาตลอดเวลาว่า “ปล่อยข้าซะ!” เจียงอี้เหลือบมองไปและเผยรอยยิ้มออกมาก่อนที่สายตาของเขาจะสบกับนายน้อยอีกคนขณะที่เขาพูดว่า “จ่างซุนอู๋จี้ ไม่ได้เจอกันเสียนานเลยนะ”
ในบรรดานายน้อยทั้งสองที่ถูกพาตัวมาเห็นได้ชัดว่าหนึ่งในนั้นคือประมุขน้อยตระกูลจ่างซุน จ่างซุนอู๋จี้ เมื่อจ่างซุนอู๋จี้เห็นเจียงอี้ ใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันทีขณะที่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แต่เขาก็เพียงแค่กัดฟันและนิ่งเงียบ
เจียงอี้ถอนสายตาและมองไปที่ฉากที่คึกโครมอยู่ด้านหน้าซึ่งมันทำให้เขาหงุดหงิด เขาเลยตะโกนออกมาอย่างเย็นชา “แม่ทัพไท่สื่อ หากใครกล้าส่งเสียงน่ารำคาญอีก สังหารพวกมันอย่าลังเล!”
“….”
พื้นที่ตรงนั้นเงียบสนิทในทันใดมันไม่ใช่เพราะคำพูดของเจียงอี้ที่ทำให้พวกเขากลัว หากแต่เพราะเขาเผลอปลดปล่อยจิตสังหารออกมาซึ่งมันทำให้ทุกคนสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว แม้แต่เด็กเล็กยังมองเจียงอี้ด้วยสายตาที่หวาดกลัวราวกับว่าพวกเขากำลังจ้องมองปีศาจอยู่
เจียงอี้พยักหน้าอย่างพึงพอใจขณะที่เขามองไปที่จ่างซุนเหยียนและพูดออกมาว่า“จอมพล ข้าไม่ได้ต้องการเอาความในเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้หรอก ตราบใดที่พวกเจ้าให้คำตอบที่ข้าต้องการรู้ได้ ข้าจะไม่ทำให้ตระกูลของเจ้าลำบาก ข้าอยากให้เจ้าอธิบายที ทำไมลูกเขยของตระกูลเจ้าถึงได้ให้หลิ่วอวี้เข้าเมืองมา? แล้วทำไมหลังจากนั้นเขาถึงฆ่าตัวตาย? ทำไมหลิ่วอวี้ถึงได้อยู่ในห้องลับของเจ้า? จากที่ข้ารู้มา…คนปกติในตระกูลจะไม่มีวันรู้เรื่องห้องลับอะไรแบบนี้ ใช่ไหม?”
“ขะ..ข้า…”
จ่างซุนเหยียบแทบอยากจะร้องไห้เขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆ แล้วเขาจะอธิบายมันได้อย่างไร? เขาส่ายหัวและกวาดสายตาไปขณะที่ตะโกนออกมาว่า “ใครเป็นคนพาหลิ่วอวี้เข้าไปในห้องลับ เผยตัวของเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้!”
สถานที่ทั้งหมดอยู่ในความเงียบงันจ่างซุนเหยียนโกรธมากจนร่างของเขาสั่นไปหมด ทันใดนั้นเขาก็ชักดาบของเขาและยื่นด้ามดาบให้กับเจียงอี้พร้อมกับพูดว่า “เจียงอี้ หากเจ้าต้องการสังหาร เช่นนั้นก็สังหารข้าเถอะ ชายชราผู้นี้ไม่รู้เรื่องอะไรเลยจริงๆ แต่เจ้าจะช่วยเมตตาและไว้ชีวิตลูกหลานของข้าได้ไหม?”
“ฮึ่ม!”
เจียงอี้แสยะยิ้มออกมาและมองไปยังใบหน้าของคนในตระกูลจ่างซุนทั้งหมดเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ดุร้าย “ใครเป็นคนลงมือ? ทำไมเจ้าไม่กล้าออกมายืนตรงนี้? ข้าเพียงแค่อยากรู้ว่าใครคือผู้บงการในการสังหารเจ้าสำนักจูเก๋อ หากไม่มีผู้ใดบอกข้าเช่นนั้นก็อภัยให้ข้าด้วย ตระกูลจ่างซุนทั้งหมดของพวกเจ้าจะต้องถูกสังหารโดยไม่มีข้อยกเว้น….”