เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 453-454
บทที่ 453 ดาวในตันเทียนกำลังจะระเบิด
มีสองวิธีที่จะลองทำอะไรพิเรนทร์กับสวรรค์สยบเพลิงอเวจีได้
วิธีแรกคือการซึมซับอัคคีธาตุของพลังฟ้าดินก่อนที่จะหลอมรวมเข้าด้วยกันเพื่อลองสร้างเปลวเพลิงที่น่ากลัวออกมาและมันจะต้องทำไปทีละขั้น ขั้นแรกเขาจะต้องสร้างเปลวเพลิงธรรมดาก่อนที่จะสร้างเพลิงโลกา จากนั้นก็จะเป็นเปลวเพลิงนทีเก้าสวรรค์แล้วจึงเป็นเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ ตามที่จอมเวทย์เคยกล่าวไว้ เมื่อศาสตร์เวทย์มนตร์ถึงขั้นบรรลุแล้วมันจะสามารถสร้างเปลวเพลิงเก้าหยางที่น่าสะพรึงได้ มันเป็นเปลวเพลิงที่สามารแผดเผาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนได้อย่างง่ายดาย
แต่วิธีนี้ต้องใช้เวลานานและไม่สามารถทำมันได้ในเวลาสั้นๆและตอนนี้เจียงอี้อยู่ในขั้นเริ่มต้นและสามารถสร้างได้เพียงเปลวเพลิงธรรมดาเท่านั้น
ส่วนวิธีที่สองคือค้นหาเปลวเพลิงลึกลับทั่วพิภพการปรับแต่งนั้นสามารถเพิ่มพลังของเปลวเพลิงได้ และในเมื่อเจียงอี้มีไข่มุกวิญญาณเพลิงมันก็เหมือนเป็นข้อดีสำหรับวิธีนี้อยู่แล้ว แต่น่าเสียดายที่การพยายามปรับแต่งเพลิงโลกาครั้งแรกของเขานั้นถูกดาวดวงแรกดูดกลืนไป จากนั้นเขาก็ไม่เสียเวลาทำความเข้าใจมันอีกต่อไป
แต่จริงๆแล้วมันก็มีวิธีที่สามในการปรับแต่งเปลวเพลิง แต่ก็มีเพียงเจียงอี้เท่านั้นที่ทำได้ มันคือการถ่ายทอดแก่นแท้พลังในดาวดวงแรกให้กลายเป็นเปลวเพลิง ยิ่งไปกว่านั้น มันกลายเป็นเปลวเพลิงที่ดุร้ายอย่างยิ่งที่เรียกว่าเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์
พลังของเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่มากแต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับกลุ่มผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังได้ นอกจากนี้ เขาจะต้องเข้าใกล้ศัตรูเขาให้ได้ก่อน ถึงจะมีโอกาสลอบโจมตีได้สำเร็จ
ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่ห้านั้นถูกเผาได้จากการลอบโจมตีแต่เมื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญขั้นที่เจ็ดหรือแปดนั้น ความเร็วและความสามารถของพวกเขาไม่ใช่สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญขั้นที่ห้าจะต่อกรได้ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่เจียงอี้จะเผาคนพวกนั้นได้
เมื่อพินิจจากความแข็งแกร่งของเจียงอี้ในตอนนี้เขาอาจสามารถแผดเผาผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่ห้าได้ แต่สำหรับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่เจ็ดหรือแปดเช่น เซียวหลงหวาง นักบวชเฒ่าจากอารามเซนหรือบรรพบุรุษของตระกูลหลิงอีก พวกเขาจะหลบได้เมื่อเจียงอี้เข้าใกล้พวกเขา ดังนั้นเขาจึงแทบจะไม่มีโอกาสโจมตีเลย ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นที่ห้ากับขั้นที่เจ็ดหรือแปดนั้นต่างกันลิบลับ แม้ว่าเจียงอี้จะแผดเผาพวกเขาได้ แต่พวกเขาก็ยังสามารถตอบโต้ได้ แล้วตอนนั้นเจียงอี้จะป้องกันการโจมตีอย่างไร?
เห็นได้ชัดว่าเจียงอี้ต้องมีเปลวเพลิงที่แข็งแกร่งกว่านี้ที่จะสามารถจัดการกับพวกเขาได้ในทันที
เขาจึงเลือกที่จะปรับแต่งเปลวเพลิงที่ผ่านมา เมื่อใดก็ตามที่เขาพยายามจะปรับแต่งเปลวเพลิง, เพลิงโลกาทั้งหมดนั้นถูกดูดกลืนทันที แต่ตอนนี้เมื่อเขาเข้าใจแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะสามารถคิดวิธีแก้ปัญหานี้ได้
เขาปลดปล่อยเพลิงโลกาออกมาจากภูเขาไฟชั้นที่สองของพระราชวังจักรวาลเพื่อให้ไข่มุกวิญญาณเพลิงดูดซับมันจากนั้นเขาก็ปล่อยให้เพลิงโลกากลายเป็นเส้นๆและเวียนเข้าสู่ตันเทียน
ฟึ่บฟั่บ!
อย่างที่คาดช่วงเวลาที่เส้นเปลวเพลิงไหลเข้าสู่ตันเทียนของเขา มันก็ถูกดาวดวงแรกในตันเทียนของเขาดูดกลืนทันที แต่เจียงอี้ก็ไม่ได้ท้อแท้และยังคงปล่อยเพลิงโลกาเข้าไปเรื่อยๆขณะที่เขาคอยหาวิธีแก้ปัญหาอยู่เรื่อยๆ
หนึ่งสาย,สองสาย….ร้อยสาย!
เจียงอี้ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบอย่างใกล้ชิดสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาในตอนนี้นั้นแข็งแกร่งขึ้นมากหลังจากที่ได้ดูดซับพลังงานจากใบว่านน้ำ ในขณะนี้ เขาสามารถสำรวจเมืองเซี่ยยวี่ทั้งเมืองได้โดยไม่ต้องพยายามมากนัก
ในขณะที่เขาตรวจสอบดาวดวงแรกในที่สุดเขาก็พบต้นตอของปัญหา เมื่อสายเปลวเพลิงเหล่านี้ที่แปลงมาจากเพลิงโลกาได้เข้าสู่ตันเทียนของเขา แก่นแท้พลังสีแดงของดาวดวงแรกจะหมุนเวียนพลังทันทีและก่อตัวเป็นน้ำวน มันจะดูดเปลวเพลิงเข้าไปในตำหนักดาวดวงแรก ทันทีที่ที่เส้นพลังเข้าไป มันจะถูกดูดซึมและกลายเป็นแก่นแท้พลังสีแดงเพลิง
หลังจากที่เขาค้นพบต้นตอของปัญหาแล้วเขาก็จะต้องคิดหาวิธีแก้มันให้ได้
เจียงอี้ย้ายเพลิงโลกาอีกเส้นหนึ่งเข้าไปในตันเทียนของเขาในเวลาเดียวกันนั้น เขาก็แยกสมาธิส่วนหนึ่งไปควบคุมคุมแก่นแท้พลังภายในดาวดวงแรก เขาต้องการให้มันหยุดเวียนพลังและในที่สุดเขาก็ทำให้มันหยุดได้ เส้นพลังของเพลิงโลกานั้นถูกเก็บเอาไว้ในตันเทียนของเขาและไม่ถูกดูดซึมอีกต่อไป
แต่มันก็เท่านั้น…
เจียงอี้รู้สึกท้อแท้มากเมื่อเขาไม่ได้ควบคุมแก่นแท้พลังของดาวเอาไว้ มันก็จะหมุนเวียนตัวเองอยู่ดีและเพลิงโลกาก็จะถูกดูดซับเหมือนก่อนเช่นเคย
“โถ่เว้ย!ข้าจะต้องแบ่งสมาธิส่วนหนึ่งไว้ควบคุมแก่นแท้พลังไม่ให้หมุนเวียนตลอดทุกครั้งเช่นนี้ ข้าจะไม่เหนื่อยตายเลยหรอ?”
จิตวิญญาณของเขาอาจจะแข็งแกร่งมากและเนื่องจากร่างคำแนงคณานับจึงทำให้เขาสามารถแยกสมาธิออกมาได้สอง,สามหรือสี่เสี้ยวก็ได้ แต่เมื่อใช้มันอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้จิตวิญญาณของเขาเหนื่อยล้า ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าเขาจะปรับแต่งเปลวเพลิงแล้ว ไม่ใช่ว่ามันจะถูกดูดโดยดาวดวงแรกเลยหรือ? ไม่ใช่ว่ามันจะเสียแรงเปล่าหรอ?
“ข้าจะต้องหาทางแก้ให้ได้….”
หลังจากคิดมาครึ่งวันเขาก็ยังหาทางออกไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้ว เขาก็ยังคงติดอยู่ตรงทางตัน
“อ้อใช่แล้ว!”
ทันใดนั้นเขาก็เกิดความคิดขึ้นเขาถ่ายเทเพลิงโลกาเข้าไปในตันทเยนของเขา ขณะเดียวกันก็ควบคุมแก่นแท้พลังภายในดวงดาวให้อยู่นิ่งๆ เขารอจนกว่าเพลิงโลกาจะถูกเก็บไว้ในตันเทียนของเขาก่อนที่จะเริ่มส่งเพลิงโลกาไปยังดาวดวงแรก
เมื่อเพลิงโลกาเข้าสู่ดาวแล้วมันจะไม่ถูกดูดซึมเพราะว่าก่นแท้พลังในดาวไม่โคจร มันถูกปล่อยเอาไว้ที่ใจกลางของดาวและถูกแยกออกจากแก่นแท้พลังสีแดงโดยสิ้นเชิง
เมื่อสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้วเจียงอี้ก็ถอนสมาธิของเขาและหยุดควบคุมแก่นแท้พลังสีแดง และในที่สุด…แก่นแท้พลังสีแดงก็ไม่ได้โคจรเองและเพลิงโลกาเป็นสายๆนั้นลอยอย่างสงบอยู่ที่ใจกลางดาว
“ฮ๊า..สำเร็จแล้ว!”
เจียงอี้ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างอิ่มเอมในที่สุดเขาก็สามารถแก้ปัญหาที่ยากที่สุดได้แล้วในเมื่อดาวในตันเทียนของเขาเต็มไปด้วยพลังอัคคีธาตุ การปรับแต่งเพลิงโลกาในดวงดาวนั้นอาจจะได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการปรับแต่งในตันเทียนก็ได้
เขายังคงปล่อยเพลิงโลกาเข้าไปในดาวและเมื่อเขารวบรวมเพลิงโลกาสิบเส้นไว้ในดาวดวงแรกแล้วเขาก็เริ่มปรับแต่งเพลิงโลกาตามขั้นตอนที่บอกไว้ในตำราคู่มือ
การกลั่นเปลวเพลิงนั้นเป็นกระบวนการง่ายๆเขาเพียงต้องแยกเปลวเพลิงทั้งหมดออกจากกันก่อนที่จะรวมเข้าด้วยกันใหม่ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเจียงอี้จะต้องหลอมรวมเปลวเพลิงทั้งสิบเส้นให้กลายเป็นเส้นเดียว สิ่งนี้คล้ายกับฝ่ามือระเบิดแก่นแท้ เพียงแค่ทำด้วยวิธีการอื่นที่ต่างกัน การหลอมรวมเปลวเพลิงทั้งสิบเส้นให้เป็นหนึ่งเดียวมันจะหมายถึงการเปลี่ยนปริมาณให้กลายเป็นคุณภาพ ดังนั้นพลังของเปลวเพลิงจะแข็งแกร่งขึ้นมากโดยปริยาย
เจียงอี้นั้นเป็นปรมาจารย์ฝ่ามือระเบิดแก่นแท้มาหลายปีและเชี่ยวชาญกับมันมากดังนั้นการปรับแต่งเปลวเพลิงจึงเหมือนกับการเดินเล่นในสนามหญ้าสำหรับเขา หลังจากที่ทำความเข้าใจได้ครึ่งวัน เขาก็เริ่มกระบวนการ!
เขาค่อยๆทำลายเพลิงลกาทั้งสิบเส้นอย่างระวังก่อนที่จะหลอมรวมมันเข้าด้วยกันแม้ว่าเพลิงโลกาสิบเส้นจะมีความสำคัญอยู่บ้าง แต่กระบวนการปรับแต่งนั้นก็กำลังทำอยู่ในดาวฤกษ์ในตันเทียน หากเขาไม่ระวัง มันก็อาจจะระเบิดได้ เมื่อแก่นแท้พลังพุ่งพล่านออกมา ร่างของเขาก็คงจะระเบิดเช่นกัน
โชคดีที่เจียงอี้พอจะมีประสบการณ์อยู่บ้างไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเขาก็หลอมเพลิงโลกาทั้งสิบเส้นเข้าด้วยกันได้สำเร็จ เจียงอี้สูดหายใจเข้าลึกๆและพักครู่หนึ่งก่อนที่จะเริ่มต่อ เขาตั้งใจจะเอามันออกไปให้หมดและหลอมรวมอีกห้าเส้นที่เหลือให้เป็นเส้นเดียว เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันก็จะเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่
ภายในดวงดาวสีแดงที่ลุกโชติช่วงมันเหมือนกับโลกแห่งเปลวเพลิงที่สง่างามอย่างประหลาด!
มันเต็มไปด้วยแก่นแท้พลังสีแดงเพลิงและตรงกลางของมันเป็นช่องว่างเล็กๆและในตอนนี้เพลิงโลกาทั้งห้าเส้นกำลังหมุนไปรอบๆราวกับมังกรห้าตัวที่แหวกว่ายอยู่รอบๆ ขณะที่พวกมันค่อยๆว่ายไปรอบๆอย่างไม่หยุดยั้ง เพลิงโลกาทั้งห้าเส้นก็ค่อยๆผสานเข้าด้วยกันและเริ่มหายไปทีละเส้น ราวกับมังกรที่กำลังกลืนกินมังกรอีกสี่ตัวที่เหลือเข้าไป
บุฟ!
เมื่อเพลิงโลกาทั้งหมดถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวเพลิงโลกาก็สุกสกาวอย่างสดใสในทันใด สีของมันเริ่มเปลี่ยนไปเช่นกัน มันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองเข้มและพลังของมันก็น่ากลัวขึ้นด้วย
“สำเร็จ!ฮ่า! เมื่อข้าปรับแต่งเพลิงโลกานี้จนเต็มแล้ว มันก็น่าจะเทียบได้กับเพลิงนทีใช่ไหมนะ? หากข้าได้เปลวเพลิงอเวจีมาและปรับแต่งมัน ไม่ใช่ว่ามันจะแข็งแกร่งกว่าเดิมหรอ?”
เจียงอี้รู้สึกอิ่มเอมใจอย่างเงียบๆแตก่อนที่เขาจะได้เผยรอยยิ้มออกมาอย่างเต็มที่ ดวงจิตวิญญาณของเขาก็สั่นสะท้านไปเสียก่อนและเขาก็ตื่นตระหนกทันที เขาสูญเสียการควบคุมเพลิงโลกาที่ขัดเกลาเรียบร้อยแล้ว มันกระจัดกระจายไปทั่วดาวดวงแรกของเขาทำให้แก่นแท้พลังภายในดาวพุ่งพล่านออกมา
ข้าจบแล้ว…มันกำลังจะระเบิด!
เจียงอี้หวาดกลัวจนแทบจะถูกตรึงไว้ด้วยความกลัวเขารู้สึกได้เลยว่าแก่นแท้พลังภายในดวงดาวของเขาได้ปั่นป่วนจากการถูกเพลิงโลการบกวน เขาอยากจะร้องไห้ออกมาแต่ไม่มีน้ำตา ในเมื่อเขาไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับดาวฤกษ์ในตันเทียนที่ผิดปกตินี้ แล้วเขาจะแก้วิกฤตนี้ได้อย่างไร?
บทที่ 454 เปลวเพลิงลึกลับแห่งพิภพ
ดาวฤกษ์นั้นเหมือนช่วงเวลาที่ตันเทียนกำลังแปรสภาพและเจียงอี้ไม่สามารถควบคุมมันได้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมองดูแก่นพลังของเขาพุ่งพล่าน มันยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆและกำลังจะระเบิด
บุฟ!
ในขณะนั้นเองดาวดวงแรกก็เปล่งแสงสีแดงออกมากะทันหันทำให้เจียงอี้ตื่นตระหนก เขาเพ่งสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ไปที่ดาวดวงนั้นเพราะอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“เอ๊ะนี่…พลังนี่มันคืออะไรกัน?”
ขณะที่ดวงดาวของเขากำลังเปล่งแสงออกมาก็มีพลังงานที่ไม่รู้จักปรากฏอยู่ภายในนั้น มันเป็นพลังที่ดูคุ้นเคยอย่างประหลาดแต่ตอนนี้เจียงอี้ก็นึกไม่ออก
มันเป็นพลังงานลึกลับมากซึ่งมาหยุดแก่นพลังที่กำลังอาละวาดอยู่ภายในได้ทันทีแถมมันยังทำให้เพลิงโลกาที่อยู่ในดาวสงบลงเช่นกัน ดูเหมือนว่าพลังงานนี้มีความสามารถบางอย่างซึ่งสามารถยับยั้งไม่ให้พวกมันเกิดปั่นป่วนได้
“ใช่แล้วนี่คือพลังของดาราเก้าสวรรค์!”
ในที่สุดเจียงอี้ก็ตระหนักได้ว่าพลังงานนี้เป็นพลังงานที่ถูกยิงลงมาจากสวรรค์เก้าชั้นฟ้าและมันจะหายไปหลังจากที่มันเข้าไปในดาวในตันเทียนของเขาและเจียงอี้ก็ไม่เคยเห็นมัน แต่มันกลับปรากฏขึ้นในตอนนี้จริงๆ
“เอ๊ะ..”
ก่อนที่เจียงอี้จะได้มีเวลายิ้มร่าความสนใจของเขาก็ถูกดึงไปยังสถานการณ์ภายใน หลังจากที่พลังของดาราเก้าสวรรค์ปรากฏขึ้น มันก็พุ่งไปยังเพลิงโลกาซึ่งทำให้เกิดประกายขึ้นมา เพลิงโลกาได้กลับกลายเป็นสีเขียวและมีมังกรศักดิ์สิทธิ์ว่ายเวียนอยู่ในเพลิงโลกา
“เปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์…เป็นไปได้ยังไงกัน?”
เจียงอี้ตกใจมากหลังจากที่ตรวจสอบว่าไม่มีอะไรแปลกๆเกิดขึ้นกับเพลิงโลกาและแก่นพลังแล้ว เขาก็ค่อยๆย้ายเพลิงโลกาออกมาจากเส้นลมปราณของเขา
ฮูฮู!
เปลวเพลิงสีเขียวปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเจียงอี้และเห็นมังกรศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเวียนว่ายอยู่ภายในเปลวเพลิงดวงตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ เพลิงโลกาที่ถูกปรับแต่งให้กลายเป็นเพลิงนทีนั้นก็แข็งแกร่งขึ้นมากหลายเท่าแล้ว แต่ในตอนนี้หลังจากได้หลอมรวมกับเศษเสี้ยวของพลังดาราเก้าสวรรค์ มันก็แปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์จริงๆ?
เจียงอี้กระพริบตาและรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวที่ไม่สามารถเข้าใจได้ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีชื่อเรียกเป็นสิ่งที่ประหลาดและน่าพิศวงเสมอ มันทำให้เขาเปลี่ยนจากขยะไร้ค่าเป็นเด็กอัจฉริยะที่ทำให้ทั่วพิภพตกตะลึง ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีชื่อเรียกนี้
เขารู้สึกขอบคุณศาสตร์ที่ไม่มีชื่อเรียกนี้แต่สิ่งนี้แปลกเกินไป มีหลายสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมเขา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกหวาดกลัว ท้ายที่สุดแล้ว ใครจะรู้ว่าจะเกิดการแปรสภาพเช่นไรอีกในอนาคต?
“ช่างมันเถอะตอนนี้ข้ากลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปแล้ว และข้าจะไม่มีวันทะลวงขอบเขตที่สูงกว่านี้ได้อีกในชั่วชีวิตนี้ คงไม่น่ามีเหตุการณ์อะไรแปลๆเกิดขึ้นอีกหรอกใช่ไหม?”
เจียงอี้สลัดความคิดอื่นๆทิ้งไปและเมื่อเขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพลิงโลกาเขาก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
การปรับแต่งเปลวเพลิงนั้นประสบความสำเร็จและมันมากกว่าที่เขาคาดไว้เสียอีก!
หากการปรับแต่งเพลิงโลกาสามารถทำให้มันกลายเป็นเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ได้เขาก็คงจะปรับแต่งเปลวเพลิงเก้าหยางได้หากเขาหาเพลิงนทีและปรับแต่งมันใช่ไหม?
“เปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์?ไม่ใช่ว่าข้ามีเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์อยู่แล้วหรอกหรือ? แล้วทำไมข้าไม่ปรับแต่งเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์เลยล่ะ?”
เจียงอี้ตบหัวและตำหนิตนเองเขาสามารถเปลี่ยนแก่นแท้พลังสีแดงเพลิงให้เป็นเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์แล้วปรับแต่งมัน เขาอาจจะสามารถเปลี่ยนมันเป็นเปลวเพลิงเก้าหยางได้ก็ได้
เขาทำมันทันทีที่นึกได้
เขาเปลี่ยนเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์อย่างรวดเร็วก่อนที่จะใช้ศาสตร์เวทย์มนตร์เพื่อเปลี่ยนเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ให้กลายเป็นเส้นๆจากนั้นเขาก็ถ่ายมันเข้าไปที่ดาวในตันเทียน
แต่อย่างไรก็ตาม!
เมื่อเส้นพลังนั้นเข้าไปในดวงดาวพวกมันก็จะหลอมรวมกับแก่นพลังเองและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เอ่อ…”
หลังจากพยายามอยู่หลายครั้งและได้ผลลัพธ์เดียวกันเจียงอี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ไป เขาเข้าใจว่าเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์นี้ถูกถ่ายทอดออกมาโดยแก่นแท้พลังสีแดงอยู่แล้ว และมันจะถูกแปรเปลี่ยนกลับไปเป็นแก่นแท้พลังสีแดงกลับเข้าไปในดาวโดยปริยาย
หากเขาต้องการปรับแต่งเปลวเพลิงให้มีระดับสูงขึ้นเขาจะต้องหาเปลวเพลิงลึกลับที่แข็งแกร่งกว่านี้ให้ได้!
“ข้าควรไปหุบเขาชิงวิญญาณดีไหม?”
เขาพึมพำอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็เดินออกไปถามทุกคนว่ามีเปลวเพลิงที่น่ากลัวอยู่ในอาณาจักรต้าเซี่ยบ้างไหม? มีที่ไหนอีกในทวีปนี้ที่มีเปลวเพลิงลึกลับ?
ด้วยเหตุนี้เขาจึงพบว่านอกเหนือจากเพลิงโลกาในภูเขาไฟที่หุบเขาอัคคีเมฆาในอาณาจักรต้าเซี่ยและหุบเขาชิงวิญญาณแล้วก็ไม่มีเปลวเพลิงลึกลับในทวีปนี้อีก เจียงอี้กำลังรู้สึกหมดหนทาง หุบเขาชิงวิญญาณนั้นมีสัตว์อสูรประเภทวิญญาณที่ทรงพลังและหากเขาไปที่นั่น เขาอาจจะทำให้เกิดความอลหม่านครั้งใหญ่ มันอาจทำให้โถงวรยุทธหาโอกาสวางแผนสังหารเขาก็ได้
“งั้นข้าจะศึกษาวิชาเวทย์ก่อนข้าอาจจะไม่สามารถไปถึงขั้นบรรลุของร่างจำแลงคณานับได้ แต่ข้าก็น่าจะไปถึงขั้นผู้เชี่ยวชาญได้ใช่ไหม? หากข้าสามารถสร้างร่างจำแลงได้ไม่กี่ร้อยร่าง ข้าก็อาจจะหลบหนีหากเจออันตรายได้ ข้าควรศึกษาญาณศักดิ์สิทธิ์ไว้ด้วย และข้าจะได้สำรวจสิ่งที่อยู่ภายในหุบเขาชิงวิญญาณได้”
เมื่อเขาตัดสินใจเช่นนั้นแล้วเขาก็เขาสู่สันโดษไปหนึ่งเดือนเขาจะพยายามเข้าถึงศาสตร์เวทย์ทั้งสองนี้ก่อนที่จะไปยังหุบเขาชิงวิญญาณ
…
หนึ่งเดือนครึ่งต่อมา…
ร่างของเจียงอี้สว่างขึ้นด้วยแสงสีขาวในทันใดขณะที่พลังฟ้าดินรอบๆรวมตัวเข้าหาเขาอย่างรวดเร็ว เขาสามารถสร้างร่างจำแลงที่เหมือนเขาทุกประการได้สามร่าง
ในขณะเดียวกันร่างจำแลงทั้งสามก็เริ่มโคจรอยู่รอบตัวเจียงอี้ด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้น ในที่สุดพวกเขาก็เร็วจนทำให้ตาลาย
บุฟ!
สามสิบนาทีต่อมาร่างจำแลงทั้งสามก็สลายไปพร้อมกับแสงสีขาว เจียงอี้ลืมตาขึ้นมาและหายใจเข้าลึกๆและกล่าวว่า “มันน่าจะดีพอแล้วที่จะคงร่างไว้ได้สามสิบนาที น่าเสียดายนัก หากข้ามีเวลาอีกสักหน่อยข้าอาจจะสร้างร่างจำแลงได้นับสิบร่าง”
เจียงอี้ถอนหายใจปนเสียใจเขาสามารถสร้างร่างจำแลงได้เพียงนิดเดียว แต่เขาก็ยังไปไม่ถึงขั้นเชี่ยวชาญ เขาจะสูญเสียการควบคุมไปโดยสิ้นเชิงหากสร้างร่างจำแลงมากเกินไป หากเป็นเช่นนั้น เขาก็ขอสร้างร่างจำแลงขึ้นมาสามร่างซึ่งเขาสามารถใช้มันหลบหนีได้อย่างอิสระและปล่อยให้ศัตรูไม่พบร่างจริงของเขาดีกว่า
“อืมม…ตอนนี้ข้าใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์ได้แทบจะไม่เท่าไหร่แต่ข้าก็คงจะไปยังหุบเขาชิงวิญญาณได้แล้วล่ะ”
เจียงอี้ยืนขึ้นและถอนหายใจใบว่านน้ำทั้งสองใบถูกดูดซับเรียบร้อยแล้ว แต่ดวงจิตวิญญาณของเขายังไม่แปรสภาพ ซึ่งหมายความว่าพลังจากใบว่านน้ำนั้นไม่เพียงพอให้ดวงจิตวิญญาณของเขาพัฒนาได้
เมื่อเจียงอี้เดินออกมาซูรั่วเสวี่ยก็กำลังจัดการเรื่องบ้านเมืองอยู่ในโถงเล็กๆ และเมื่อนางเห็นเจียงอี้ นางก็ยืนขึ้นมาด้วยความสดใสและโผเข้ากอดเจียงอี้
“ข้ากำลังจะเตรียมตัวไปยังหุบเขาชิงวิญญาณที่อาณาจักเซิ่งหลิงรั่วเสวี่ย เจ้าคิดว่าข้าควรพาทุกคนไปด้วยหรือแอบไปคนเดียวดี?”
หลังจากเจียงอี้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็พูดมันออกมา ที่นั่นมีสัตว์วิญญาณที่ทรงพลังมากและเขายังมีความกลัวเมื่อนึกถึงคราวก่อนที่เขาไปที่นั่น หากเขาพาทุกคนไป พวกเขาทั้งหมดอาจถูกกำจัดที่นั่น แต่หากไม่พาไปเขาก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องแม้ว่าวังหลวงจะสงบสุขตลอดช่วงห้าเดือนที่ผ่านมา
เมื่อซูรั่วเสวี่ยเห็นว่าเจียงอี้คิดมากเพียงใดนางก็อยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่นางก็กลืนมันกลับเขาไป นางกัดฟันแน่นแล้วถามว่า “เจ้าต้องไปจริงๆหรือ? ที่นั่นมันจะไม่อันตรายหรือ?”
“ใช่มันจำเป็นต้องไป!”
เจียงอี้ไม่อยากหลบซ่อนอะไรจากซูรั่วเสวี่ยและพูดออกมา“ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ข้าถามทุกคนว่ามีเปลวเพลิงลึกลับอีกหรือเปล่าหรอกหรอ? ข้าได้ศึกษาศาสตร์เวทย์ที่จะปรับแต่งเปลวเพลิงได้ หากข้าสามารถไปเอาเปลวเพลิงอเวจีที่หุบเขาชิงวิญญาณมาได้ เข้าก็มีโอกาสที่จะกำจัดบรรพบุรุษตระกูลหลิงได้แปดส่วน”
“กำจัดบรรพบุรุษตระกูลหลิง?”
ดวงตาของซูรั่วเสวี่ยสว่างขึ้นหากเจียงอี้สามารถกำจัดบรรพบุรุษเฒ่าตระกูลหลิงได้ เขาก็จะเป็นผู้คงกระพันและสามารถพิชิตทวีปได้
นางพึมพำครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดด้วยน้ำเสียงพร้อมกัดฟันแน่น“เจียงอี้ เจ้าไปเองจะดีกว่าหรือไม่ก็พาน้องสาวเสี่ยวนู๋ไปด้วย พวกเราจะเป็นภาระเจ้าเปล่าๆ และเมื่อมีสัตว์อสูรหยาจื้ออยู่ที่นี่ วังหลวงก็ปลอดภัยมาก ไม่มีใครรู้อะไรเกี่ยวกับเราและไม่มีใครรู้ว่าเจ้าแอบไปที่อาณาจักรเซิ่งหลิง มันจะปลอดภัยกว่านัก”
เจียงอี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและรู้สึกว่ามันก็สมเหตุสมผลเช่นกันเขารีบตัดสินใจ “เอาล่ะ เราจะทานอาหารด้วยกัน และข้าจะออกเดินทางในยามค่ำ ข้าจะไม่พาเจียงเสี่ยวนู๋ไปด้วย นางจะได้ปกป้องพวกเจ้าทุกคนได้ หากมีสัตว์อสูรหยาจื้อและเจียงเสี่ยวนู๋อยู่และหากพวกเขามีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังเพียงหนึ่งหรือสองคน พวกนั้นจะไม่กล้าโจมตี ข้าจะขี่เถาอู้และเดินทางใต้ดิน ดังนั้นจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าข้าออกไป”