เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 459-460
บทที่ 459 ตัวตนที่น่าหวั่นเกรง
ในคืนนี้ทางเหนือของอาณาจักรเซิ่งหลิงนั้นไม่ค่อยมีหมู่เมฆเท่าใดนักจันทราส่องสว่างในยามราตรี มันน่าเสียดายที่อากาศยังคงต่ำเฉกเช่นฤดูใบไม้ผลิเพิ่งเริ่มต้นและทำให้ท้องนานั้นดูเยือกเย็นและรกร้าง
สายลมอ่อนๆพัดเศษใบไม้มาด้วยถึงกระนั้นมันก็ไม่เหมือนกับลมหนาวที่หนาวไปถึงขั้วหัวใจ เขานั้นทรงพลังและไม่ได้เกรงกลัวต่อความหนาวเย็นนี้ แต่เมื่อเขามองไปที่หุบเขาชิงวิญญาณที่มืดสนิทที่อยู่ด้านล่างเขา ความรู้สึกที่เย็นยะเยือกที่มาจากไหนไม่รู้ได้ทำให้เขาขนลุกขึ้นมา
เขาไม่รู้ว่าหุบเขาชิงวิญญาณนั้นลึกแค่ไหนด้านล่างนั้นถูกปกคลุมไปด้วยหมอกดำ ดังนั้นไม่ว่าจะลงไปในยามกลางวันหรือกลางคืนก็ไม่ต่างกัน เจียงอี้พร้อมที่จะลงไปข้างล่างโดยไม่กังวลใจอีกต่อไป
เขาไม่ได้กระโดดลงมาอย่างหุนหันพลันแล่นแต่เขากลับตรวจสอบสถานการณ์ข้างล่างคร่าวๆก่อน
หลังจากปรับแต่งใบว่านน้ำสองใบดวงจิตเขาก็ขยายขึ้นหลายเท่า เมื่อก่อนสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาสามารถมองเห็นได้เพียงสามกิโลเมตร แต่ในตอนนี้เขาสามารถสอดส่องได้หลายสิบกิโลเมตรเลย
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาแผ่กระจายไปด้านล่างภูมิทัศน์ภายในหุบเขาปรากฏขึ้นในใจของเจียงอี้ หุบเขานั้นกว้างใหญ่และล้อมรอบไปด้วยหน้าผา ไม่มีถนนหนทางทอดลงไปเลย ลงไปใต้พื้นราวๆพันหกร้อยเมตรเริ่มมีหมกสีดำปรากฏขึ้นและภาพภายในหัวเจียงอี้ก็มืดสนิทไป
เขายังคงมองลงไปอีกหลังจากผ่านไปสามกิโลเมตร หมอกสีดำก็หายไป เจียงอี้ได้พบว่าใต้หมอกนั้นเป็นหุบเขาที่ว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดอยู่ในนั้นเลย
สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขามองลงไปได้ราวๆสิบเจ็ดกิโลเมตรเท่านั้นเขาไม่รู้ว่าหุบเขานั้นลึกแค่ไหน สิ่งที่เขารู้ในตอนนี้คือไม่มีประโยชน์อันใดเลย
“หากใช้ญาณศักดิ์สิทธิ์ดูล่ะ?”
แต่เขาก็เก็บความคิดนั้นกลับมาอย่างรวดเร็วเพราะเขายังคงใช้งานญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่ดี มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับเขาที่จะปลดปล่อยเวทย์มนตร์ออกมา ทุกครั้งมันจะทำให้ดวงจิตของเขาถูกบีบรัด หากเขาไม่จนมุมจริงๆเขาก็จะไม่ใช้ทักษะเวทย์มนตร์
มีทางเลือกเดียวคือลงไปในหุบเขาเท่านั้น
ไข่มุกวิญญาณเพลิงประกายขึ้นมาและเชือกก็ได้ปรากฏขึ้นในมือของเขาเขานำมันออกมาหลายเส้นแล้วมัดรวมกันให้เป็นเส้นยาวๆสองเส้นที่มีความยาวอย่างน้อยสามสิบสามกิโลเมตร เขามัดปลายหนึ่งไว้ที่ต้นำมม้ ส่วนอีกปลายก็โยนลงไปที่หุบเขา
“วู่วู่”
เสียงเชือกที่แหวกลงไปในอากาศดังก้องขึ้นในหุบเขาเจียงอี้เกิดใจสั่นขึ้นมาแต่เขาก็กัดฟันและกระโดดลงไป
ฟึ่บฟั่บ!
เขาลงไปและหยุดลงหลังจากที่ลงไปได้ประมาณสิบกิโลเมตรจากนั้นเขาก็ปลดปล่อยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพื่อสำรวจด้านล่างต่อ
“ทางสะดวกไปเถอะ!”
หลังจากสำรวจเส้นทางอยู่ครู่หนึ่งเจียงอี้ก็ค่อยๆลงมา เขาเกิดความประหลาดใจเพราะเขาได้ลงมาสามสิบสามกิโลเมตรแล้วและเชือกก็สุดแค่นั้นแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ถึงก้นเหว แถมยังมีสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ที่เขามองลงไปอีกสิบเจ็ดกิโลเมตรแล้ว หุบเขานี้ก็ยังคงลึกกว่าห้าสิบกิโลเมตรอยู่ดี
“ความปลอดภัยต้องมาก่อน!”
เจียงอี้นำอาวุธศักดิ์สิทธิ์ออกมาและเจารูที่หน้าผาจากนั้นเขาก็เอาเชือกออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงอีกสามสิบสามกิโลเมตร
เขาลงไปเรื่อยๆจนสุดเชือกและสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็ลงไปถึงพื้นที่หุบเขาเสียทีแต่เขาก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็น
หุบเขานั้นมีรูปทรงคล้ายก้นกรวยที่นั่นกว้างขวางและไม่มีสิ่งมีชีวิตตนใดอยู่ มีเพียงโครงกระดูกมากมายอยู่ทั่วพื้น จากการประมาณคร่าวๆก็มีอย่างน้อยหลายหมื่นคน
โครงกระดูกนั้นไม่ใช่หลักสำคัญแต่สิ่งสำคัญคือเปลวเพลิงสีขาวที่เคลื่อนไปมาอยู่เหนือโครงกระดูกเหล่านั้นน่ากลัวพอๆกับเพลงิอเวจีเลย เจียงอี้มองเห็นใบหน้าที่ซีดขาวนับไม่ถ้วนอยู่ในเปลวเพลิงสีขาวได้อย่างชัดเจน มันเหมือนกับวิญญาณชั่วร้ายที่ซ่อนอยู่ในเปลวเพลิงอเวจี
“เปลวเพลิงวิญญาณ?เปลวเพลิงอเวจี?”
หัวใจของเจียงอี้สั่นสะท้านมันเป็นชื่อเรียกที่เหมาะมาก เปลวเพลิงนี้แปรเปลี่ยนมาจากภูติผีอเวจีหรือ? เขารู้สึกเสียขวัญเล็กน้อยแต่เปลวเพลิงนี้เกี่ยวข้องกับผีทั้งหลาย จะเป็นอย่างไรหากเขาถูกวิญญาณร้ายเข้าครอบงำและกลืนกินเขาไปเมื่อได้สัมผัสกับเปลวเพลิง?
“ข้าควรรอดูสถานการณ์ก่อน!”
เปลวเพลิงอเวจีณ ที่แห่งนี้เป็นที่เลื่องลือในทวีปนี้ตั้งแต่แสนปีก่อน ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังหลายคนมาตามหามันข้างล่างนี้ บ้างก็ตายลงที่นี่ แต่บ้างก็มีชีวิตกลับไป เปลวเพลิงอเวจีน่าจะเป็นเปลวเพลิงที่ไม่ปกติ หากมันถูกสร้างขึ้นโดยวิญญาณปีศาจ ข่าวนี้คงจะแพร่กระจายไปนานแล้ว
เขากวาดไปรอบๆอย่างช้าๆในไม่ช้าเขาก็พบถ้ำยักษ์ทางฝั่งเหนือของหุบเขา เขาไม่รู้ว่าถ้ำนั้นอยู่ไกลขนาดไหนหรือมีอะไรอยู่ในถ้ำ แต่เปลวเพลิงอเวจีนั้นส่องแสงอยู่ในถ้ำ
นอกจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดอีกเลย
หลังจากที่ตรวจสอบมันอยู่หลายครั้งและแน่ใจว่าไม่มีอันตรายเจียงอี้ก็ยังคงนิ่งและมองไปที่เปลวเพลิงอเวจีเบื้อล่างเขา เขาสังเกตมันและรออย่างเงียบๆ
เจียงอี้กำเชือกด้วยมือข้างเดียวและใช้สัมผัสศํกดิ์สิทธิ์มองไปรอบๆและคอยดูสถานการณ์อยู่ตลอด
หลังจากผ่านไปสองชั่วโมง,สี่ชั่วโมง…สิบชั่วโมง….
เจียงอี้รอมาได้หนึ่งวันแล้วมือของเขาเริ่มชาแต่เขาก็ยังดูสงบนิ่ง หลังจากที่รอมาทั้งวันและแน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติแล้ว เขาก็ลงมือทันที แต่แทนที่จะกระโดดลงไปทันที เขากลับนำสิ่งประดิษฐ์ในไข่มุกวิญญาณเพลิงออกมาแล้วโยนมันลงไปยังเปลวเพลิงอเวจีแทน
ฟึ่บ!
ดาบยาวระดับสวรรค์นั้นอยู่กลางอากาศแต่กลับย้อนกลับไปยังหน้าผาแถวๆหุบเขามันน่ากลัวมากขณะที่หุบเขาสั่นสะเทือนไปด้วยเสียงดาบ แต่เจียงอี้ไม่ได้สนใจเสียงมันมากนัก ดวงตาของเขากลับประกายไปด้วยความตื่นเต้นแทน
ฟึ่บฟั่บ!
หลังจากที่ดาบยาวนั้นเข้าใกล้เปลวเพลิงอเวจีแล้วมันก็ละลายด้วยความเร็วที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ก่อนที่ดาบยาวจะเจาะเข้าไปถึงใจกลางเปลวเพลิงอเวจี มันก็ถูกหลอมละลายไปแล้วและกลายเป็นเหล็กหลอมสีเงินที่หยดลงบนโครงกระดูกด้านล่าง
ฟึ่บฟั่บ!
เหล็กหลอมนั้นได้สร้างรูให้แก่โครงกระดูกควันที่ลอยขึ้นมานั้นส่งกลิ่นเหม็นเน่า เจียงอี้ก็ได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่และมองไปที่เปลวเพลิงอเวจี
นี่คือเปลวเพลิงและมันแข็งแกร่งกว่าเพลิงโลกาถึงสิบเท่า!
ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงก่อนที่เพลิงโลกาจะเปลี่ยนสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ให้กลายเป็นเหล็กหลอมได้เจียงอี้จึงอนุมานว่าความร้อนของเปลวเพลิงอเวจีนั้นน่าจะสูงกว่าเปลวเพลิงนทีแต่ต่ำกว่าเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ และแน่นอนว่ามันก็ห่างไกลจากเปลวเพลิงที่เกิดจากไข่มุกวิญญาณเพลิงด้วยเช่นกัน
“มันด้อยกว่าเพียงนิดเดียวเท่านั้นหลังจากปรับแต่งแล้ว หลังของมันก็น่าจะเพิ่มขึ้นหลายเท่าและมันจะแข็งแกร่งกว่าเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์หลายเท่า…”
เจียงอี้ไม่รู้ว่าเปลวเพลิงอเวจีนี้จะทรงพลังเพียงใดหลังจากที่เขาได้ปรับแต่งมันออกมาแล้วแต่เขามั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่าตราบใดที่เขาทำให้ศัตรูประหลาดใจจากการโจมตีได้และปลดปล่อยเพลิงอเวจีที่ได้ปรับแต่งแล้ว บรรพบุรุษตระกูลหลิงก็คงถูกโค่นไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสได้สู้กลับ!
“ข้าจะเสี่ยงมัน!ข้าจะไปเอาเปลวเพลิงมาให้ได้!”
หลังจากลองโยนสิ่งประดิษฐ์ลงไปอีกชิ้นและดูจนแน่ใจแล้วว่าเปลวเพลิงอเวจีเป็นเพียงไฟเท่านั้นเขาก็ย้ายร้างฉับพลันทันที ไข่มุกวิญญาณเพลิงก็สว่างขึ้นทันทีเมื่อเขาเข้าใกล้เปลวเพลิงอเวจี มันไม่เพียงแต่จะปกป้องเขาจากการถูกเพลิงอเวจีเผาไหม้แล้วแต่มันยังดูดซับเพลิงอเวจีอย่างรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียว ลูกไฟขนาดเท่าหัวสองก้อนก็ถูกนำเข้ามา
พลั่บ!พลั่บ!
ในขณะนั้นเองก็มีเสียงประหลาดดังก้องในใจของเจียงอี้หัวใจของเขาก็เต้นแรงไปพร้อมกับเสียงนั้นจนแทบจะทะลุออกจากอก เขากวาดตาไปที่ถ้ำอย่างรวดเร็ว ร่างของเขาเริ่มแข็งทื่อราวกับเขากำลังตั้งตารอคอยศัตรูที่กำลังขู่ขวัญ
ในที่สุดตัวตนที่น่าหวั่นเกรงก็เผยตัวออกมา!
บทที่ 460 อสูรหน้ามนุษย์
“กู่ดู่กู่ดู่!”
เสียงนั้นยังคงเกิดขึ้นเรื่อยๆแต่เจียงอี้ไม่ได้ยินเสียงอะไรผ่านหูของเขาเลยมันเกิดเสียงขึ้นภายในจิตใจของมนุษย์โดยตรงและหยั่งรากลึกลงไปถึงจิตวิญญาณ มันสามารถทำให้หัวใจของผู้คนเต้นแรงและรู้สึกขนลุกไปทั่วร่างได้
บรึฟ!
ร่างของเจียงอี้สว่างขึ้นด้วยแสงสีขาวเขาหายตัวไปและย้ายร่างฉับพลัน หลังจากที่ย้ายร่างไปหลายกิโลเมตรเขาก็หยุดและมองทางเหนือของหุบเขาด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์เพื่อดูว่าสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวนั่นคืออะไร
“กู่ดู่!กู่ดู่!”
เสียงเริ่มดังและเร็วขึ้นการเต้นของหัวใจเจียงอี้ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน เขารู้สึกราวกับว่าหัวใจของเขาแทบจะหลุดออกจากอกได้ทุกเมื่อ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังไม่สามารถมองเห็นตัวตนที่น่ากลัวผ่านสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ได้
ตึก!ตัก!
หัวใจของเขาเต้นเร็วขึ้นและเร็วขึ้นแต่เขาก็ไม่ได้วิ่งหนี อย่างน้อยเขาก็ต้องแน่ใจก่อนว่าเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสัตว์ประหลาดตนนั้นจริงๆ เขาถึงจะหนีไป เปลวเพลิงอเวจีทั้งหมดในหุบเขากำลังยั่วยวนเขาราวกับสาวงามที่กำลังเปลือยเปล่า
“กู่ดู่!กู่ดู่!”
ไม่กี่นาทีต่อมาในที่สุดสัตว์ประหลาดตนนั้นก็แสดงใบหน้าที่น่าเกลียดของมันออกมา
สัตว์อสูรตนนี้ดูดุร้ายและน่ากลัวมันดูเหมือนคางคกที่มีหนามแหลมรอบตัวซึ่งเต็มไปด้วยน้ำหนองและเลือด เพียงแวบเดียวก็ทำให้ผู้คนรู้สึกคลื่นไส้ แต่ที่แปลกที่สุดคือคางคกตนนี้มีใบหน้าเหมือนมนุษย์
เห็นได้ชัดว่าใบหน้าของมันแตกต่างจากใบหน้าของมนุษย์จริงๆเล็กน้อยเมื่อเจียงอี้เห็นมันด้วยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขา หน้าตามันดูเหมือนใบหน้าของมนุษย์และยังมีหนองอยู่บนใบหน้าราวกับซากศพ
มันได้สร้างความประหลาดใจให้กับเจียงอี้เพราะว่าสัตว์ประหลาดตนนี้ไม่ได้ตัวใหญ่โตและมีขนาดเพียงลูกวัวแต่ถึงกระนั้นมันก็ยังน่ากลัวที่คางคกจะตัวโตขนาดนี้ แต่ขนาดตัวของมันนั้นประหลาดมากเมื่อเทียบกับพลังอันน่าเกรงกลัวของมัน
คางคกหน้ามนุษย์ตนนี้ทำให้เจียงอี้รู้สึกว่ามันอันตรายมากโดยเฉพาะตอนที่ท้องกลมๆของมันพองขึ้นเรื่อยๆและสร้างเสียงที่น่ากลัวออกมาจนเจียงอี้แทบจะอยากหนีออกไปจากตรงนี้เสียตอนนี้
อสูรตนนี้ทรงพลังเพียงใดกัน?
เจียงอี้ไม่ได้ข้องใจอะไรแต่เขาแน่ใจว่ามันไม่ได้อ่อนแอไปกว่าราชันอสูรทั่วไปแน่ๆ ความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรและปีศาจทะเลนั้นแปรผันไปตามขนาดของพวกมัน สัตว์อสูรระดับสามธรรมดาปกติมีความยาวสิบถึงสิบเจ็ดเมตร ส่วนราชันสัตว์อสูรที่เขาเคยเห็นมีความยาวยี่สิบเจ็ดเมตรและสูงสิบเมตรซึ่งดูเหมือนเนินเขาเล็กๆ แต่อสูรตนนี้มีขนาดเท่าลูกวัวเท่านั้น มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
“กู่ดู่!กู่ดู่!”
คางคกหน้ามนุษย์กำลังหดตัวและขยายท้องของมันเร็วขึ้นและเร็วขึ้นและหัวใจของเจียงอี้ก็เต้นเร็วขึ้นเช่นกันเขารู้สึกอึดอัดมากขึ้นเรื่อยๆ คางคกตนนั้นไม่ขยับเลย มันยืนอยู่หน้าปากถ้ำและมองมายังเจียงอี้และยังเผยแววตาเย้ยหยันอยู่ในดวงตาของมัน
“ไปกันเถอะ!”
เจียงอี้สังเกตคางคกหน้ามนุษย์และรู้สึกลางไม่ดีเลยสัตว์อสูรตนนี้ฉลาดมากอย่างเห็นได้ชัดซึ่งหมายความว่าพลังของมันต้องแข็งแกร่งมาก สัตว์อสูรระดับสามมีเชาว์ปัญญาอยู่บ้าง ส่วนราชันสัตว์อสูรถือว่าฉลาดพอๆกับเหล่ามนุษย์ พวกมันสามารถสื่อสารและบางตนก็สามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้หลังจากไปสู่ขั้นจักรพรรดิอสูรด้วย คางคกหน้ามนุษย์ตนนี้รู้วิธีที่จะเย้ยหยันผู้อื่นแสดงว่าอย่างน้อยมันก็อยู่ในระดับราชันสัตว์อสูรแล้ว
ฟรึ่บ!
เจียงอี้ย้ายร่างฉับพลันไปข้างบนอย่างรวดเร็วตอนนี้เขาไม่กล้าเสี่ยงชีวิตและต้องรอบคอบให้มาก เขาจะเสี่ยงชีวิตและต่อสู่ในตอนที่มันไม่มีทางอื่นแล้วเท่านั้น
“เอ๊ะ?”
หลังจากที่ย้ายร่างฉับพลันไปครู่หนึ่งเจียงอี้ก็พบสิ่งผิดปกติ เขาสัมผัสได้ว่ามีหมอกสีดำอยู่เหนือเขา แต่จริงๆแล้วหมอกสีดำนั้นอยู่ทางปากหุบเขาและไม่มีหมอกด้านล่าง แต่ตอนนี้เขายังอยู่เหนือพื้นหุบเขาสามสิบสามกิโลเมตรเอง แล้วหมอกสีดำนี่มากจากไหนกัน?
“หมอกสีดำกำลังแผ่ลงสู่เบื้องล่าง?”
เจียงอี้ประสบปัญหาอีกอย่างหมอกสีดำเคลื่อนตัวลงมาอย่างรวดเร็ว วินาทีต่อมา มีสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าเกิดขึ้น หมอกสีดำเริ่มปรากฏออกมาจากผนังหน้าผารอบๆเขาและพุ่งเข้าหาเขาราวกับสัตว์ประหลาดไร้ร่างจากสามทิศทาง
“ก่อนหน้านี้ที่ข้าผ่านหมอกสีดำมามันเป็นหมอกพิษ แล้วการที่มันกระจายมาที่นี่ตอนนี้หมายความว่าอย่างไรกัน?”
เจียงอี้จับเชือกด้วยมือข้างเดียวและไม่กล้าย้ายร่างฉับพลันขึ้นไปข้างบนจริงๆแล้วตอนนี้เขาสามารถย้ายร่างฉับพลันไปสามสิบสามกิโลเมตรได้ภายในครั้งเดียว แต่เขาก็ยังคงอยู่ห่างจากปากเหวหลายสิบกิโลเมตร และเขาอาจจะถึงคราวเคราะห์หากเขาขึ้นไปปรากฏในหมอกสีดำหลังจากที่ย้ายร่างฉับพลันก็ได้
บรึฟ!
เขาเหลือบมองหมอกสีดำอย่างหวาดกลัวเล็กน้อยก่อนที่จะหยิบสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ออกมาจากไข่มุกวิญญาณเพลิงและเขวี้ยงไปที่หมอกสีดำในไม่ช้าสีหน้าของเขาก็ดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก
เป็นเพราะหลังจากที่สิ่งประดิษฐ์เข้าไปยังหมอกสีดำแล้วผิวอาวุธของมันก็เริ่มสึกกร่อน ตามสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้ แม้ว่าหมอกสีดำจะไม่ได้สร้างความเสียหายให้แก่สิ่งประดิษฐ์เร็วนัก แต่หนึ่งในห้าส่วนของสิ่งประดิษฐ์ก็หายไปในระยะเวลาอันสั้น
สิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์หายากขนาดไหน?!
เจียงอี้นั้นมีร่างกายที่ค่อนข้างแข็งแกร่งแต่ก็อ่อนแอเกินไปเมื่อเทียบกับสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกหมอกสีดำกัดกร่อนอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาถูกหมอกสีดำไล่ตามมาทันแล้ว เขาก็จะกลายเป็นกองกระดูกเช่นกระดูกด้านล่างทันที
“กู่ดู่!กู่ดู่!”
เสียงนั้นดังมาจากด้านล่างอีกครั้งเมื่อเขานึกถึงใบหน้าที่เย้ยหยันของมัน เขาก็เข้าใจแล้ว เพราะว่าหมอกสีดำนี้คือสิ่งที่คางคกตนนั้นกำลังทำมันอยู่ มันไม่ได้เคลื่อนไหวเพราะยังไงเจียงอี้ก็ไม่สามารถหลบหนีไปได้
หมอกสีดำกำลังแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วและมันก็เข้าใกล้เจียงอี้มากขึ้นเมื่อเขาหันไป เจียงอี้ก็สร้างเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ขึ้นบนฝ่ามือของเขาทันที เขาพยายามจะลองดูว่าเปลวเพลิงนี้สามารถทำลายหมอกสีดำได้หรือไม่
ฟึ่บฟั่บ!
สุดท้ายแล้วเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ก็พุ่งผ่านหมอกสีดำไปโดยไม่ได้สร้างความเสียหายใดๆเลย
เจียงอี้จนปัญญาแล้วแต่เขาก็เกิดความคิดอื่นขึ้นอย่างรวดเร็ว เขานำพระราชวังจักรวาลออกมาและควบคุมให้สัตว์อสูรมากมายบนชั้นสามของราชวังพุ่งไปที่หมอกสีดำเพื่อทดสอบว่าสัตว์อสูรจะได้รับอันตรายจากหมอกสีดำหรือไม่
“วูวู…!”
ผลลัพธ์ที่ได้นั้นน่าเศร้ายิ่งกว่าทันทีที่สัตว์อสูรเหล่านั้นสัมผัสกับหมอกสีดำ พวกมันก็สลายหายไปทันทีและในไม่ช้าก็กลายเป็นกองกระดูกสีขาวและร่วงลงไป
“ข้าไม่มีทางหนีไปได้เลย!”
ในตอนนี้เขาไม่มีความแตกตื่นอีกต่อไป แต่เขากลับเป็นคนสงบนิ่ง เขาไม่เคยเสี่ยงชีวิตง่ายๆ แต่เมื่อไม่มีที่ว่างให้ถอยกลับไป เขาก็คงไม่หวั่นไหวและสู้จนถึงวินาทีสุดท้าย
ตอนนี้เขาเคลื่อนหลบหมอกดำไปได้เมื่อคางคกหน้ามนุษย์เป็นผู้ที่กำลังควบคุมให้หมอกสีดำเคลื่อนไหว ดังนั้น หากเขาต้องการที่จะออกไปจากที่นี่อย่างมีชีวิต ทางเดียวก็คือต้องสังหารคางคกหน้ามนุษย์นั่น
ฟึ่บ!
ดาบมังกรเพลิงเผยออกมาเจียงอี้กระพริบตาและย้ายร่างฉับพลันลงไปข้างล่างในทันที เมื่อเขาอยู่ห่างจากคางคกหน้ามนุษย์สามกิโลเมตร เขาก็กวัดแกว่งดาบของเขาในทันใด
วายุคณานับ!
มังกรเพลิงจิ๋วหลายหมื่นตัวออกมาและพุ่งลงไปราวกับว่าพวกมันจะทำลายโลกในตอนนี้แก่นแท้พลังของเจียงอี้แข็งแกร่งมากจนแม้แต่ขันทีหลินก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้โดยตรง
“กู่ดู่!กู่ดู่!”
เจียงอี้ตกใจอย่างถึงที่สุดคางคกหน้ามนุษย์ตนนั้นพองตัวของมันก่อนที่จะหดลงเหมือนเดิม มันเปิดปากของมันและพ่นของเหลวสีดำไปทางมังกรเพลิงตัวจิ๋ว
ในวินาทีที่มังกรเพลิงตัวจิ๋วเหล่านั้นสัมผัสกับของเหลวสีดำพวกมันก็หายไปในอากาศราวกับว่าไฟนั้นถูกน้ำทะเลดับลงไปทันที
“เป็นอย่างที่ข้าคาดไว้จริงๆมันคือชนชั้นราชันสัตว์อสูร”
เขาย้ายร่างเพื่อไม่ให้ตัวเองร่วงลงไปกลิ่นอายความเย็นชาปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา เขาฟาดดาบมังกรเพลิงลงไปและปลดปล่อยวายุคณานับออกมา หลังจากนั้น เขาก็ย้ายร่างฉับพลัน และโจมตีอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ย้ายร่างฉับพลันอย่างเร็วที่สุดที่จะเร็วได้!
คราวนี้เขาตรงลงไปที่พื้นหุบเขาหลังคางคกหน้ามนุษย์ เขารวบรวมเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์อย่างรวดเร็ว ด้วยกระบวนท่าเดียว ทะเลเพลิงก็กลืนคางคกหน้ามนุษย์ไป
“กู่ดู่!กู่ดู่!”
มันหันมาหาเจียงอี้โดยไม่มีร่องรอยของความหวั่นเกรงเลยแม้แต่น้อยและดวงตาของมันก็ยังคงเต็มไปด้วยความดูถูก
“ท่าไม่ดีแล้ว!”
ในตอนนี้เจียงอี้รู้สึกหวาดกลัว ความรู้สึกเหมือนจะมีอันตรายร้ายแรงนั้นก่อขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตวิญญาณ แสงสีขาวเปล่งประกายอยู่บนร่างของเขาและเขาพร้อมที่จะหนีและย้ายร่างฉับพลันในทันที…