เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 463-464
บทที่ 463 ข่าวร้าย
ณหุบเขาชิงวิญญาณ, พื้นดินเต็มไปด้วยโครงกระดูก, เปลวเพลิงอเวจี, คางคกหน้ามนุษย์, พิภพใต้ดิน, ผีดิบมากมาย….เถาวัลย์ดารามาร!
ดูเหมือนว่าพิภพทั้งสองนี้จะต่อกัน?คางคกหน้ามนุษย์สามารถอัญเชิญเถาวัลย์ดารามารมาได้ก่อนที่มันจะตาย? เป็นไปได้ไหมว่าหุบเขาชิงวิญญาณจะเกี่ยวข้องกับพิภพใต้ดิน? มันเหมือนว่าของเหลวสีดำของคางคกหน้ามนุษย์ก็เหมือนความสามารถของเถาวัลย์ดารามาร
เจียงอี้เกิดความสงสัยมากมายในใจของเขาแต่เขาก็ปัดมันไปอย่างรวดเร็วเพราะรู้ว่าเวลานี้คงไม่เหมาะ เขาอาจจะไม่ได้กลัวเถาวัลย์ดารามารแต่เถาวัลย์นั้นก็ยากที่จะรับมือ เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ด้วย หากว่าเขาถูกมันรัดเอาไว้ก็คงจะลำบากอยู่บ้าง
ฟึ่บฟั่บ!
เขายืนอยู่ตรงทางเข้าถ้ำทางเหนือของหุบเขาเขาปลดปล่อยฝ่ามือออกไปหลายครั้งและส่งเปลวเพลิงสีเขียวเข้มออกมา เถาวัลย์ดารามารที่พุ่งออกมาจากถ้ำก็ชะงักหยุดแต่ไกลซึ่งเห็นได้ชัดเลยว่ามันเกรงกลัวเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์
ฟึ่บฟั่บ!
เจียงอี้ปล่อยเปลวเพลิงออกมาอย่างต่อเนื่องทำให้เถาวัลย์ดารามารค่อยๆถอยกลับไปอย่างต่อเนื่อง เจียงอี้นั้นค่อนข้างไม่สบอารมณ์นัก เปลวเพลิงนั้นรวดเร็วแล้วแต่เถาวัลย์ดารามารนั้นยังเร็วกว่าและเขาไม่สามารถสร้างรอยแผลให้แก่มันได้เลย ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะย้ายร่างฉับพลันเพราะกลัวว่าเถาวัลย์ดารามารอาจเสี่ยงรัดตัวเขาไว้ ดังนั้นสิ่งเดียวที่เขาทำได้คือปล่อยเปลวเพลิงออกมาเรื่อยๆและบังคับให้เถาวัลย์ดารามารถอยกลับไป แต่ปัญหาก็คือ…เขาจะปล่อยเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ไปได้เรื่อยๆหรือเปล่า? เขากำลังจะหมดเรี่ยวแรงเพราะบาดแผลของเขานั้นยังไม่ได้พักฟื้น
บึฟ!
เขากัดฟันและหมุนเวียนแก่นแท้พลังไปยังเส้นลมปราณที่มือขวาของเขาเส้นลมปราณของเขาแตกออกมามากแล้วและทุกครั้งที่แก่นแท้พลังไหลผ่าน มันก็จะเกิดความเจ็บปวดที่รุนแรงมากราวกับว่าหัวใจของเขาถูกฉีกทึ้ง เมื่อไข่มุกวิญญาณเพลิงสว่างขึ้น ร่างกายของเขาก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เม็ดยาระดับสูงปรากฏขึ้นมาบนมือของเขาและเขาก็กินมันเข้าไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ใช้แก่นแท้พลังสีดำเพิ่มคุณสมบัติของยาและรักษาเส้นลมปราณของเขาเอาไว้
แต่เขาก็ยังคงปลดปล่อยเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ออกมาอย่างต่อเนื่องและคอยขับไล่เถาวัลย์ดารามารขณะที่รอให้เส้นลมปราณฟื้นสภาพเส้นปราณมือขวาของเขาเสียหายและไม่สามารถปรับแต่งเปลวเพลิงได้ แต่เขาก็ไม่กล้าหยุดโจมตี เถาวัลย์ดารามารนั้นว่องไวเกินไปและหากเขาหยุดเพียงครู่เดียวเขาอาจถูกเถาวัลย์ดารามารรัดเอาไว้ทันที ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องอยู่ในสภาพนี้
แปดชั่วโมงต่อมามือขวาของเจียงอี้ก็เริ่มดีขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยมันก็ไม่เจ็บมากเมื่อลองหมุนเวียนแก่นแท้พลัง เขาเริ่มหมุนเวียนแก่นแท้พลังเล็กน้อยเพื่อคอยเสริมการพักฟื้น แต่ในระหว่างนั้นเขาก็คอยปลดปล่อยเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์ออกมาขวางไม่ให้เถาวัลย์ดารามารเข้ามาได้ อาการบาดเจ็บของเขาได้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วซึ่งมันทำให้เจียงอี้โล่งใจไปเปราะหนึ่ง
อีกหกชั่วโมงต่อมาเส้นลมปราณของเจียงอี้ก็ใกล้จะฟื้นตัวเต็มที่แล้ว ไข่มุกวิญญาณเพลิงสว่างขึ้นในขณะที่เปลวเพลิงอเวจีได้ปรากฏขึ้นมาและถูกแปรเปลี่ยนให้เป็นเส้นๆเข้าสู่ร่างกายเพื่อลำเลียงไปยังตันเทียนของเขาทันที เขาปรับแต่งมันในขณะที่รอให้พลังของดวงดาวเข้ามา ดวงตาของเขาสว่างขึ้นด้วยความสดใส
“เข้ามาเลยไอสารเลว!”
เจียงอี้หยุดปลดปล่อยเปลวเพลิงและยืนรอให้เถาวัลย์ดารามารเข้ามาใกล้ๆเขาเถาวัลย์ดารามารหยุดนิ่งไปชั่วขณะและเห็นว่าเจียงอี้ไม่ได้ปลดปล่อยเปลวเพลิงอีกต่อไปมันก็พุ่งไปด้วยความเร็วที่น่ากลัว เจียงอี้ก็เผยรอยยิ้มออกมาและเมื่อเถาวัลย์ดารามารอยู่ห่างจากเขาเพียงสามสิบเมตร มือขวาของเขาก็ปรากฏแสงสีขาวออกมา เปลวเพลิงสีขาวพุ่งออกมาพร้อมกับใบหน้าวิญญาณที่น่ากลัว เมื่อมองจากไกลๆ มันไม่ได้เหมือนเปลวเพลิงแต่ดูเหมือนวิญญาณร้ายที่ถูกกลืนกินมากกว่า
ฟึ่บ!
ในขณะเดียวกันเถาวัลย์ดารามารที่อยู่ห่างจากเจียงอี้เพียงสามเมตรก็เริ่มหยุดและหนีกลับไปอย่างบ้าคลั่ง ระยะห่างของพวกเขานั้นใกล้เกินไป เปลวเพลิงอเวจีได้ระเบิดออกมาและกลืนกินส่วนหน้าของเถาวัลย์ดารามารไป ควันสีเขียวลอยขึ้นมาพร้อมกับกลิ่นที่น่าสะอิดสะเอียนและเปลวเพลิงยังคงลามไปเผาร่างหลักของเถาวัลย์
ฟึ่บฟั่บ!
เถาวัลย์ดารามารรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริงร่างหลักของมันถอยกลับไปยังที่ที่มันโผล่ขึ้นมาด้วยความเร็วดุจสายฟ้า และเมื่อเจียงอี้ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ก็เห็นว่าเถาวัลย์ดารามารได้มุดหายกลับเข้าไปใต้พื้นแล้ว มันก็คงจะกลับไปยังพิภพใต้ดินแล้ว
ฮู่ฮู่วว!
เจียงอี้นั่งลงไปบนกองกระดูกและหอบหายใจเฮือกใหญ่มันเหนื่อยเอาการมากๆ
หลังจากที่พักครึ่งวันและพักฟื้นเส้นปราณเจียงอี้ก็ลุกขึ้นยืน หลังจากที่เห็นว่าหมอกสีดำค่อยๆจางไปเขาก็อุ่นใจขึ้นมา จากนั้นเขาก็เดินไปรอบๆหุบเขาและรวบรวมเปลวเพลิงอเวจี
มีเปลวเพลิงอเวจีอยู่มากมายและหลังจากรวบรวมได้นิดเดียวไข่มุกวิญญาณเพลิงของเขาก็เต็มแล้ว เขาอยากจะออกจากที่นั่นทันทีแต่ก็ต้องโขกกบาลตัวเองก่อนเมื่อเขาคิดได้ว่าเขาสามารถปรับแต่งเปลวเพลิงอเวจีทั้งหมดก่อนแล้วค่อยเก็บกลับเข้าไปในไข่มุกวิญญาณเพลิงของเขา วิธีนี้จะทำให้เขาเก็บเปลวเพลิงอเวจีได้มากขึ้น
บรึฟ!
หลังจากที่นำเปลวเพลิงจากไข่มุกวิญญาณเพลิงออกมาแล้วเจียงอี้ก็ทำการเปลี่ยนมันและปรับแต่งมันก่อนที่เขาจะปล่อยให้ไข่มุกวิญญาณเพลิงดูดซับมันเข้าไป เขาใช้เวลาไปหนึ่งชั่วโมงในการปรับแต่งเปลวเพลิงทั้งหมดและปริมาณเปลวเพลิงอเวจีก็ลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสิบส่วน จากนั้นเขาก็รีบเดินกลับไปรวบรวมเปลวเพลิงอเวจีอีกและปรับแต่งพวกมันและเก็บไว้ในไข่มุกวิญญาณเพลิง
เปลวเพลิงอเวจีที่ถูกปรับแต่งแล้วนั้นน่ากลัวเป็นอย่างมากเขาเชื่อว่าหากบรรพบุรุษเฒ่าตระหลิงเข้ามาใกล้เขา บรรพบุรุษเฒ่านั่นจะถูกสังหารในทันที ดังนั้นด้วยเปลวเพลิงอเวจีที่ถูกเก็บไว้ในไข่มุกวิญญาณเพลิงอย่างเพียงพอ เขาเชื่อว่าเขาจะสามารถแผดเผาศัตรูทั้งหมดที่เข้ามาหาเขาได้
“ตอนนี้ข้าคงจะมีมันมากพอแล้วได้เวลากลับแล้ว! ข้าออกมานานกว่าเดือนหนึ่งแล้ว ข้าสงสัยจังว่าที่บ้านข้าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
หมอกสีดำด้านบนได้สลายไปแล้วเพราะคางคกหน้ามนุษย์ได้ตายไปแล้วเจียงอี้ย้ายร่างขึ้นไปทันทีและใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวก็มาถึงหน้าผ้าเหนือหุบเขาชิงวิญญาณ มันก็เป็นเวลาค่ำแล้วและราตรีกำลังย่างกรายเข้ามา เจียงอี้นั้นตั้งหน้าตั้งตาที่จะกลับไปดังนั้นเขาจึงไม่ได้พักและมุ่งหน้าไปยังทิศใต้อย่างบ้าคลั่ง
เขาจำได้ว่ามีเมืองเล็กๆอยู่ใกล้หุบเขาชิงวิญญาณหลังจากที่ขาดการติดต่อกับโลกภายนอกเป็นเวลานาน เขาจึงต้องการรู้ข่าวบางเรื่อง จักรพรรดินีสัตว์อสูรได้จากไปแล้วและหากอาณาจักรอื่นๆล่วงรู้ข่าวนี้ พวกเขาอาจจะเคลื่อนไหวและต่อต้านอาณาจักรต้าเซี่ยได้
หลังจากใช้เวลาเดินทางไปหนึ่งชั่วโมงในที่สุดเขาก็พบเมืองเล็กๆนั้น เขาใช้หน้ากากร้อยหน้าเพื่อเปลี่ยนรูปลักษณ์และเดินเข้าไปในเมือง เขาสังเกตเห็นว่าบางอย่างผิดปกติทันทีที่เข้ามาในเมือง ท้องฟ้ามืดแล้ว แต่เมืองก็ยังครื้นเครงไปด้วยเสียงที่สนุกสนาน ร้านอาหารและโรงเตี๊ยมเล็กๆเต็มไปด้วยผู้คนและทุกคนต่างก็มีรอยยิ้มแห่งความยินดี
“เจ้าได้ยินหรือยัง?กองทัพของเราได้บุกเข้าไปยึดอาณาจักรต้าเซี่ยแล้วและเราก็ยึดครองได้สองเมืองแล้ว…”
“หืมจักรพรรดินีสัตว์อสูรจากไปแล้ว แล้วผู้ใดจะสามารถคุ้มครองเจียงอี้ได้อีก? ไอคนทรยศนั่นต้องตาย!”
“….”
หูของเจียงอี้ได้ยินบทสนทนาที่ทำให้หัวใจของเขาดิ่งลงเขาก้มหัวลงและรวบรวมข้อมูลขณะที่ฟังบทสนทนาไปด้วย ไม่นาน ดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความอาฆาต
ข่าวเรื่องการจากไปของจักรพรรดินีสัตว์อสูรได้แพร่ไปทั่วทวีปกองทัพอาณาจักรต่างๆได้เริ่มรุกรานอาณาจักรต้าเซี่ยแล้ว ส่วนกองทัพจากอาณาจักรเซิ่งหลิงและอาณาจักรเสินหวู่ก็ได้ยึดเมืองไปหลายเมืองแล้ว
แม่งเอ้ย!
เจียงอี้สาปแช่งขณะที่ใจของเขากำลังเดือดปุดราวกับอยู่ในนรกกองทัพได้คืบคลานเข้าไปยังอาณาจักรต้าเซี่ยแล้ว และมันจะใช้เวลาอีกเพียงสามวันเท่านั้นที่จะไปถึงเมืองเซี่ยยวี่ หากเขารีบกลับไปในตอนนี้….เขาก็ยังต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบวัน!
…
บทที่ 464 กองทัพมาถึงนอกเมือง
ข้อมูลที่เจียงอี้ได้มานั้นถูกต้องจักรวรรดิมังกรเวหา, อาณาจักรเป่ยเหลียง, อาณาจักรเป่ยหมางและอาณาจักรเสินหวู่ได้ยกทัพของพวกเขาไปแล้ว พวกเขาทั้งหมดได้รับข้อมูลเรื่องหนึ่งที่ทำให้พวกเขาลงมือในทันที นั่นก็คือ จักรพรรดินีสัตว์อสูรออกจากทวีปเทียนชิงไปแล้ว ข้อมูลนี้ถูกปล่อยออกมาโดยโถงวรยุทธและพวกเขายืนยันว่าสุ่ยโย่วหลานและนักบวชเฒ่าจากอารามเซนจะไม่กล้าปกป้องเจียงอี้
ข้อมูลนี้เป็นเรื่องที่น่าตกใจมากจนทุกฝ่ายไม่สามารถนิ่งเฉยได้การต่อสู้ที่เมืองหวังทำให้เจียงอี้และสัตว์อสูรหยาจื้อกุมชัยชนะต่อผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังทั้งสามคนได้!
สัญญาสามปีผ่านพ้นไปเพียงแค่ครึ่งทางแต่เจียงอี้ก็เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก!
หากปล่อยเขาไว้อีกหนึ่งปีใครจะสามารถกดเขาลงมาได้? ย้อนกลับไปในเหตุการณ์ที่เมืองเซี่ยยวี่คราวก่อน ผู้เชี่ยวชาญมากมายเกือบจะสังหารเจียงอี้ไปแล้วและเจียงอี้เป็นบุคคลที่โหดเหี้ยมและไร้ปรานี แล้วเมื่อครบกำหนดสามปี หากเจียงอี้มีความแข็งแกร่งเพียงพอเขาก็อาจจะกวาดล้างอาณาจักรทั้งสี่และจักรวรรดิมังกรเวหาก็ได้
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ…พวกเขากลัว!
ดังนั้นเมื่อโถงวรยุทธปล่อยข้อมูลนี้ออกไป บรรดาองค์ราชาและผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังก็ได้หารือกันและตัดสินใจส่งกองกำลังของพวกเขามาทำลายอาณาจักรต้าเซี่ยทันทีและรวบรวมกองกำลังกันเพื่อสังหารเจียงอี้
โถงวรยุทธมีอิทธิพลอย่างมากมากจนสามารถต่อกรกับอาณาจักรเหล่านี้ได้ และพวกเขาก็ไม่เคยขัดแย้งกับเรื่องในทวีป ดังนั้นทุกคนจึงเชื่อมั่นในโถงวรยุทธและรู้ว่านี่ไม่ใช่ข่าวปลอม
ส่วนเรื่อง…..
เหตุใดโถงวรยุทธจึงไม่ลงมือด้วยตัวเอง?เหตุใดพวกเขาจึงได้บอกใบ้ข้อมูลแก่อาณาจักรต่างๆให้เคลื่อนไหวในตอนที่ประมุขใหญ่โถงวรยุทธยังไม่กลับมา? ทั้งหมดนี่เป็นเพราะคนๆเดียว….จีทิงยวี่
จีทิงยวี่มักชอบเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังเสมอหากไม่จำเป็น นางจะไม่ปล่อยให้โถงวรยุทธต้องออกโรงเอง เพราะหากโถงวรยุทธไม่ทำเช่นนี้ ก็คงจะเป็นการยุแหย่เจียงอี้อย่างสมบูรณ์และโถงวรยุทธก็จะต้องย้ายจากผู้บงการมาอยู่ด่านหน้าแทน นางจะต้องมีแผนการอยู่เสมอและเจียงอี้นั้นสร้างปาฏิหาริย์มากเกินไป จีทิงยวี่จึงตัดสินใจว่านางจะยุยงบรรพบุรุษเฒ่าตระกูลหลิงและคนอื่นๆให้เคลื่อนไหวก่อนในครั้งแรก แม้ว่าจะมีอะไรผิดพลาด แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับโถงวรยุทธ
ที่สำคัญที่สุดคือนางไม่ได้มีอิทธิพลเหนือประมุขใหญ่โถงวรยุทธหากเขากลับมาและเขาชื่นชอบผู้ที่มีพรสวรรค์เยี่ยงเจียงอี้ เขาก็อาจจะไม่เคลื่อนไหวและพยายามรับเจียงอี้เข้าโถงวรยุทธอย่างจริงใจ และการรับเจียงอี้เข้ามานั้น จีทิงยวี่จะต้องตาย ไม่เช่นนั้นมันคงจะไม่ได้จริงใจมากพอ ดังนั้นจีทิงยวี่จึงวางแผนสมรู้ร่วมคิดนี้และยุยงให้กองทัพทั้งห้าอาณาจักรไปทำลายอาณาจักรต้าเซี่ยและกำจัดเจียงอี้ทิ้งซะ
อาณาจักรทั้งหลายไม่ได้ใช้กองทัพทหารมากนักและมีทหารทั้งหมดประมาณหมื่นนายแต่อย่างไรก็ตาม ทหารทั้งหมดเหล่านี้เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวและไม่มีผู้ใดรู้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังซ่อนอยู่ด้วยหรือไม่
กองทัพเดินทัพมาถึงอย่างรวดเร็วขณะที่อาณาจักรเซิ่งหลิงก็ขี่สัตว์วิญญาณประเภทปีกโจมตีเมืองต่างๆในอาณาจักรต้าเซี่ยทันที
ส่วนจักรวรรดิมังกรเวหา,อาณาจักรเป่ยหมางและอาณาจักรเป่ยเหลียงได้ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายไปยังอาณาจักรเสินหวู่ จากนั้นพวกเขาก็เข้าร่วมกองทัพของอาณาจักรเสินหวู่และขี่สัตว์อสูรประเภทปีกไปยังอาณาจักรต้าเซี่ย
เหตุผลที่พวกเขาเดินทัพอย่างรวดเร็วนั้นก็เป็นเพราะพวกเขาไม่ต้องการให้อาณาจักรเทียนเซวี่ยนมีโอกาสได้ลงมือทำอะไรและพวกเขาต้องการกีดกันสุ่ยโย่วหลานและนักบวชเฒ่าเพื่อไม่ให้มาสมทบกับเจียงอี้ แม้ว่าโถงวรยุทธจะรับประกันมาแล้วแต่พวกเขาก็ยังต้องการจบการต่อสู้ครั้งนี้ให้ได้โดยเร็ว
ก่อนหน้านี้เมื่ออาณาจักรต้าเซี่ยถูกรุกรานจากทั้งหกอาณาจักรความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ลดลงไปแล้วและมีทหารเป็นเพียงหย่อมๆคอยประจำการอยู่ตามเมืองต่างๆและจำนวนผู้เชี่ยวชาญของขอบเขตเสินโหยวนั้นก็มีอยู่เพียงน้อยนิด
เมื่อข่าวนี้มาถึงอาณาจักรต้าเซี่ยทุกคนในอาณาจักรก็ตกอยู่ในความวุ่นวาย พวกเขาส่วนใหญ่นั้นต่างสิ้นหวัง อาณาจักรทั้งห้าจะไม่ทำสงครามโดยไม่มีการเตรียมการมาก่อน หากพวกเขากล้าโจมตีก่อนกำหนดสามปีนั่นก็หมายความว่าพวกเขามั่นใจว่าพวกเขาสามารถกำจัดอาณาจักรต้าเซี่ยและเจียงอี้ได้แล้ว
ซูรั่วเสวี่ยและคนอื่นๆกำลังตื่นตระหนกเพราะเจียงอี้ยังไม่ได้กลับมาจากหุบเขาชิงวิญญาณไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาจะกลับมาเมื่อไหร่และหากไม่มีเจียงอี้อยู่ด้วย นั่นก็หมายความว่าพวกเขาสูญเสียกระดูกสันหลังของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง
ในช่วงเวลาที่น่าตื่นตระหนกนี้ซูรั่วเสวี่ยสงบสติอารมณ์ของนางและออกคำสั่งให้เมืองต่างๆทางตอนเหนือไม่ต้องต่อต้านใดๆและให้พวกเขายอมจำนนทันทีที่ศัตรูมาถึง เหล่าอาณาจักรต่างๆจะไม่เข่นฆ่าผู้คนในเมืองต่างๆและด้วยกำลังพลที่ไม่ได้มีมากมาย พวกเขาจะไม่ปล้นหรือยึดครองเมืองด้วยเช่นกัน
ในเวลาเดียวกัน..!
นางก็ได้สั่งให้ชาวเมืองและตระกูลทั้งหมดในเมืองเซี่ยยวี่อพยพไปทางทิศตะวันตกนางรู้อย่างแจ่มแจ้งว่าเป้าหมายของกองทัพพวกนั้นคือเมืองเซี่ยยวี่ ตราบใดที่เมืองเซี่ยยวี่พินาศ พวกเขาก็จะไม่ไปโจมตีเมืองอื่นๆ
นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่นางรู้ว่ากองทัพทั้งห้ากำลังมาพร้อมกับการเตรียมพร้อมเต็มกำลัง
ความตายเป็นสิ่งที่นางไม่เคยกลัว!
ครั้งนี้นางหวังเพียงว่าเจียงอี้จะไม่รู้เรื่องและไม่กลับมานางจะไม่ละทิ้งอาณาจักรต้าเซี่ยและไม่หนีไปไหน อาณาจักรทั้งห้ากำลังมาพร้อมกับกองกำลังขนาดใหญ่และเจียงอี้อาจจะพ่ายแพ้หากเขากลับมา นางจึงไม่ปรารถนาให้ชายอันเป็นที่รักของนางต้องมาสูญสลายไปพร้อมกับนาง
“ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น”
“ข้าก็ไม่ไปเหมือนกันหากลูกพี่ไม่กลับมา ข้าก็จะไม่ไปไหน แม้ว่าข้าจะต้องตาย เราก็จะตายไปด้วยกัน!”
“นายน้อยขอให้ข้าคอยปกป้องคุ้มครองพี่สาวรั่วเสวี่ยและหากพวกเขาต้องการทำลายเมืองเซี่ยยวี่พวกนั้นจะต้องข้ามศพเสี่ยวนู๋ไปก่อน!”
ณวังหิมะเลื่อนลอย, ซูรั่วเสวี่ยเพิ่งจะบอกให้พวกเขาอพยพออกไปแต่ทุกคนก็พูดออกมาพร้อมเพรียงกัน เจียงอี้ไม่ได้อยู่ใกล้ๆแล้วจะให้พวกเขาทิ้งผู้หญิงของเจียงอี้แล้วหนีไปได้อย่างไร? ไหนจะความสัมพันธ์ของพวกเขาที่มีกับเจียงอี้ พวกเขาจะหนีไปไหนได้อีก? หนทางเดียวของพวกเขาก็คือเดินไปพร้อมกับเจียงอี้จนกว่าการเดินทางจะดับลง
“เฮ่ออ!”
ซูรั่วเสวี่ยถอนหายใจและไม่พยายามเกลี้ยกล่อมพวกเขาอีกต่อไปนางเดินออกไปและเรียกเหล่าขุนนางออกมาและเตรียมการอพยพพลเมืองในเมืองเซี่ยยวี่
พลเมืองทั้งหลายนั้นอพยพเร็วมากและขุนนางก็เช่นกันแม่ทัพกลุ่มใหญ่และกองทัพก็ยังคงอยู่ที่นี่เช่นกัน กลับไปในตอนนั้น พวกเขาไม่ได้หนีไปไหนเมื่อตอนที่หกอาณาจักรมาล้อมรอบเมืองเซี่ยยวี่ และคราวนี้พวกเขาก็จะไม่หนีอีกเช่นกัน พวกเขาเชื่อว่าหนุ่มน้อยที่เหมือนเทพเจ้าจะสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมาอีกครั้ง
…
กองทัพทั้งหลายเข้ายึดเมืองต่างๆในขณะที่พวกเขาเดินทัพและใช้เวลาเพียงสามวันในการกวาดล้างเมืองใหญ่ๆทางตอนเหนือของอาณาจักรต้าเซี่ยเนื่องจากไม่มีผู้ใดขัดขืนคำสั่งซูรั่วเสวี่ย อาณาจักรทั้งห้าจึงไม่ได้ทำร้ายทหารหรือพลเมืองเลยแม้แต่คนเดียว หลังจากที่ผ่านไปสามวัน ในที่สุดกองทัพประมาณไม่กี่พันคนก็ได้มาถึงนอกเมืองต้าเซี่ย
แต่ที่แปลกก็คือกองทัพไม่ได้โจมตีในช่วงคืนนั้นที่พวกเขามาถึงแต่กลับตั้งค่ายพักแรมพวกเขาอาจจะมีทหารเพียงเจ็ดถึงแปดพันนายขณะที่กองทัพของอาณาจักรต้าเซี่ยนั้นมีทหารสามแสนนาย แต่พลเมืองที่อยู่ข้างหลังนั้นรู้สึกได้ราวกับว่ามีทหารนับล้านอยู่นอกเมือง ทุกคนจึงเดาได้ว่ามีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังซ่อนตัวอยู่ในกองทัพแน่นอน!
ซูรั่วเสวี่ยไม่ได้เลือกที่จะปล่อยให้กองทัพต่อสู้กับศัตรูนอกเมืองแต่กลับรอให้พวกเขาโจมตีแทน ทหารในเมืองนอนไม่หลับตลอดทั้งคืนและผู้ที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองรู้สึกราวกับว่าพวกเขากำลังมองดูสัตว์ประหลาดที่น่ากลัวขณะที่พวกเขาคอยมองค่ายทหารในค่ำคืนที่มืดมิด
ในวันที่สองกองทัพไม่ได้เคลื่อนไหวและทุกคนในเมืองต่างก็มีความรู้สึกแปลกๆ และเมื่อยามราตรีมาถึง หลังจากที่ได้ตั้งค่ายอยู่นอกเมืองเซี่ยยวี่และหน่วยสอดแนมของอาณาจักรต่างๆก็กลับมาและได้บอกข้อมูลที่น่าพอใจให้แก่พวกเขา
จักรพรรดินีสัตว์อสูรไม่ปรากฏตัวสุ่ยโย่วหลานและนักบวชเฒ่าจากอารามเซนก็ไม่เคลื่อนไหวเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงเตรียมพร้อมที่จะโจมตีแล้ว
“เจียงอี้จงออกมาและรับความตายของเจ้าซะ!”
ผู้บังคับบัญชาอาณาจักรเสินหวู่ไท่สื่ออู๋ตี๋ ได้คำรามออกมา เมื่อเขาเห็นว่าไม่มีปฏิกิริยาใดๆจากในเมือง เขาก็เหวี่ยงดาบยาวของเขาขึ้นมาและตะโกนว่า “โจมตี!”
โฮกกกก!
ขณะที่กองทัพกำลังจะพุ่งเข้ามาที่เมืองจู่ๆเสียงคำรามของสัตว์อสูรก็ดังขึ้นมาจากพระราชวังของเมืองเซี่ยยวี่ สัตว์อสูรขนาดยักษ์พุ่งออกมาและมันแผ่กลิ่นอายออกมาปกคลุมเหล่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเสินโหยวหลายพันคนที่อยู่นอกเมืองเซี่ยยวี่ ผิวของมันทอแสงสีเหลืองอมแดงออกมา ดวงตาของมันเต็มไปด้วยจิตสังหารขณะที่มันกวาดตามองออกไปนอกเมือง มันแสยะยิ้มและคำรามออกมา “ผู้ใดก็ตามที่กล้าก้าวเข้ามาในเมืองจะต้องถูกสังหารโดยไม่มีความปรานี!”
สัตว์อสูรหยาจื้อได้เข้าสู่การต่อสู้แล้ว!