เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 495-496
บทที่ 495 ตู๋กูฉิว
เมื่อตอนที่จูเก๋อชิงหยุนถูกลอบสังหารไปเจียงอี้นั้นก็สงสัยอยู่เรื่องหนึ่งนั่นก็คือผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้เป็นโถงวรยุทธ สุ่ยโย่วหลานเคยกล่าวไว้ว่าเหตุการณ์ผึ้งทมิฬนั้นถูกจัดฉากโดยสตรีศักดิ์สิทธิ์จี
เมื่อตอนจักรพรรดินีสัตว์อสูรจากไปเจียงอี้ถามนางว่าพิภพใต้ดินเกี่ยวข้องกับโถงวรยุทธหรือไม่ แต่คำตอบของจักรพรรดินีสัตว์อสูรนั้นแน่วแน่มาก นางกล่าวว่าโถงวรยุทธมีเกียรติมากและจะไม่มีทางทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้อย่างแน่นอน ดังนั้นมันจึงทำให้เจียงอี้สับสนอีกครั้งจนทำให้เขาไม่แน่ใจในอะไรหลายๆอย่าง
แต่ในตอนนี้ที่เขาได้พบหญิงสาวชุดเหลืองนางนี้ความสงสัยทั้งหมดของเจียงอี้ก็มลายหายไปทั้งสิ้น เขามั่นใจเต็มสิบส่วนเลยว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่างนั้นมันมีผู้บงการคอยชักใยอยู่
นั่นก็คือโถงวรยุทธ!
จีทิงยวี่
ใบหน้าของเจียงอี้สับสนมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเขาจ้องมองไปยังหญิงสาวที่ครั้งหนึ่งเคยทำให้หัวใจของเขาหวั่นไหว แต่ในท้ายที่สุดนางก็เลือกเจียงนี่หลิวและพวกเขาก็ได้กลายเป็นศัตรูกัน
หญิงสาวผู้นี้เคยควบคุมกิจการหอสมบัติเมื่ออายุสิบสามและใช้เวลาเพียงสองปีในการสร้างให้หอสมบัติเป็นหอการค้าที่ดีที่สุดในเมืองเทียนอวี่ได้นี่คือผู้หญิงที่ดูหมิ่นบุรุษในเมืองเทียนอวี่ นางภาคภูมิใจและหยิ่งผยองและมีสติปัญญาราวปีศาจ นายน้อยรุ่นเยาว์ของเมืองเทียนอวี่รวมไปถึงเหล่าผู้ที่เข้าร่วมสำนักจิตอสูรเองต่างก็ถูกนางหลอกใช้ทั้งนั้น นี่คือเด็กผู้หญิงที่ตั้งใจที่จะขึ้นเป็นจักรพรรดินีตั้งแต่ยังเด็ก
เมื่อตอนที่อยู่ในสุสานราชันสวรรค์นางได้วางแผนและเกือบทำให้เจียงอี้พบจุดจบที่น่าเศร้า แต่ก็โชคดีที่เขาได้หลุดเข้าไปยังสุสานราชันสวรรค์ที่แท้จริงได้และได้รับไข่มุกวิญญาณเพลิงจนออกมาจากที่นั่นได้สำเร็จ
ระหว่างทางกลับสำนักจิตอสูรจีทิงยวี่ก็ได้หายตัวไป ซึ่งในตอนนั้นเจียงอี้รู้สึกเสียใจ และในเมื่อเขาไม่ได้สังหารนางในหุบเขาหมื่นมังกร เขาจึงไม่คิดที่จะแก้แค้น
แต่ในตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าที่จีทิงยวี่หนีไปไม่ใช่เพราะนางกลัวว่าเขาจะสังหารนางแต่เพราะนางไม่มีเหตุผลให้ต้องอยู่ที่หุบเขาจิตอสูรแล้ว นางจะไม่มีวันได้เป็นจักรพรรดินีหากนางยังอยู่ที่สำนัก
นางเป็นเด็กสาวที่มีความทะเยอทะยานและไม่มีวันเต็มใจที่จะรับความกดดันจากเจียงอี้นางจึงเข้าร่วมกับโถงวรยุทธและอาศัยความสามารถเพื่อที่จะได้เลื่อนตำแหน่งอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งโถงวรยุทธในที่สุด
และในตอนนี้เจียงอี้ก็ได้ยินอย่างชัดเจนเมื่อประมุขสาขาโถงวรยุทธในเมืองเทียนชิงกำลังคารวะทุกคนเขาคารวะประมุขใหญ่โถงวรยุทธเป้นคนแรกและคนที่สองก็คือสตรีศักดิ์สิทธิ์จี มันหมายความว่าอะไรน่ะหรือ? มันก็หมายความว่าตำแหน่งของจีทิงยวี่อยู่เหนือผู้อาวุโสทั้งสอง นางคืออันดับสองของโถงวรยุทธ
เด็กสาวที่อาศัยสมองในการไต่เต้าขึ้นไปและใช้เวลาเพียงสองปีในการทำสิ่งที่ใครหลายๆคนไม่สามารถทำได้ตลอดชั่วชีวิต
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือศัตรูแต่ในตอนนี้เจียงอี้นับถือในตัวจีทิงยวี่นัก
“ฮึฮึเจียงอี้ ข้ามีนามว่าตู๋กูฉิว แม้ว่านี่จะเป็นการพบกันครั้งแรกของเราแต่ข้าก็เคยได้ยินคำล่ำลือของเจ้ามานานแล้ว มาพูดคุยกันหน่อยดีไหม?”
เสียงที่อบอุ่นดังขึ้นมาซึ่งมันได้ดึงเจียงอี้ให้ออกจากความเงียบงันจากนั้นสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่ชายวัยกลางคน ประมุขใหญ่โถงวรยุทธ
เขาเป็นชายวัยกลางคนที่ดูสุภาพและสง่ามากเขามีหนวดเคราที่ดูดีและคล้ายคลึงกับตู๋กูเยี่ยนมาก เขาไม่ได้สูงเท่าไหร่แต่ก็ดูสมสัดส่วนไปหมด
เจียงอี้สำรวจกลิ่นอายของเขาทันทีและต้องประหลาดใจประมุขใหญ่โถงวรยุทธนั้นอยู่ขั้นสูงสุดของขอบเขตจินกังแล้ว ก่อนหน้านี้ได้มีข่าวลือว่าเขาอยู่อันดับที่สามหรือสี่ของทวีป แต่มันดูเหมือนว่าจะเป็นเพียงเรื่องน่าขัน ความแข็งแกร่งของตู๋กูฉิวไม่ได้น้อยไปกว่าปรมาจารย์หลิงเลย
บรึฟ!
เจียงอี้ย้ายร่างฉับพลันไปยังจัตุรัสทันทีเขาโบกมือและตะโกนว่า “ทุกคนถอยไปและไปรวมตัวทางตะวันตก!”
เจียงเหรินถู,จ้านอีหมิงและคนอื่นๆตะโกนออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าและเริ่มคุมขบวนทัพให้ถอยกลับไป ส่วนกองทัพพันธมิตรเองก็ได้รวมตัวกันทางทิศตะวันออกเช่นกัน หลายคนมองไปยังตู๋กูฉิวอย่างใจจดใจจ่อและรู้สึกกระสับกระส่าย พวกเขารู้ดีว่าชะตากรรมของพวกเขานั้นอยู่ในมือของบุคคลทั้งสี่จากโถงวรยุทธ
“เจียงอี้ที่นี่เสียงดังเกินไป เราเข้าไปข้างในโถงวรยุทธดีไหม?”
ตู๋กูฉิวยิ้มจางๆซึ่งให้ความรู้สึกราวกับว่ากำลังอาบน้ำอยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิเขาพยักหน้าไปทางเจียงอี้ก่อนที่จะเดินนำจีทิงยวี่เข้าไปในโถงวรยุทธ
หลิงเสวี่ยและแม่ทัพหลงขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกงุนงงเมื่อตู๋กูฉิวมาถึง เขาดูเป็นมิตรมาก นี่เขามาที่นี่เพื่อที่จะเจรจาสันติภาพกับเจียงอี้แทนที่จะสังหารเขาหรือ?
ฟึ่บ!
แม่เฒ่าบุปผาสีเงินและสัตว์อสูรหยาจื้อบินลงมาและมองเจียงอี้อย่างใจจดใจจ่อหากเจียงอี้ออกคำสั่ง ทั้งสองจะไม่หวาดหวั่นที่จะทำลายโถงวรยุทธเลยแม้แต่น้อย
เจียงอี้โบกมือของเขาและเดินไปที่โถงวรยุทธในทันทีที่ประตู, เขาเห็นแม่เฒ่าบุปผาสีเงินกำลังจะตามเขาเข้าไปข้างในแต่ใบหน้าของเขาก็หนักแน่นและพูดว่า “พวกเจ้าทั้งสองรออยู่ข้างนอกนี่แหละ หากไม่มีคำสั่งข้า จะไม่มีใครทำอะไรทั้งนั้น”
“เอ่อ…”
แม่เฒ่าบุปผาสีเงิน,แม่ทัพหลูและคนอื่นๆต่างประหลาดใจ ปกติแล้วเจียงอี้เป็นคนดื้อรั้นเสมอ แต่ตอนนี้เขาดูเชื่อฟังแปลกๆ? เขาพร้อมที่จะพูดคุยอย่างสันติกับโถงวรยุทธ?
เจียงอี้ต้องเชื่อฟังเพราะเขารับรู้ข่าวมาจากสายตาของจีทิงยวี่เจียงเสี่ยวนู๋และคนอื่นๆถูกจับตัวไปและพวกเขาถูกจับโดยโถงวรยุทธ!
ปรมาจารย์หลิงเคยพลัดกับเจียงเสี่ยวนู๋ไปและตามหานางเป็นเวลานานโดยที่ยังไม่เจอตัวพวกเขาอาณาจักรทั้งห้าต่างก็ถูกเจียงอี้ทำลายไปแล้ว ดังนั้น หากพวกเขามีเจียงเสี่ยวนู๋จริงๆ พวกเขาคงจะปล่อยนางมานานแล้ว ดังนั้นมันจึงมีคำอธิบายดียวก็คือเจียงเสี่ยวนู๋อยู่ในกำมือของโถงวรยุทธ มีเพียงโถงวรยุทธเท่านั้นที่จะสามารถทำให้เจียงเสี่ยวนู๋และคนอื่นๆหายตัวไปได้อย่างไร้ร่องรอย
แต่เนื่องจากโถงวรยุทธต้องการที่จะเจรจาเช่นนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงต้องเจรจากันก่อนแล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้งหากการเจรจาล้มเหลว
เจียงอี้เดินเข้าไปในโถงวรยุทธที่สาขาเมืองเทียนชิงนั้นใหญ่กว่ามาก เมื่อเข้าไปข้างในก็มีห้องโถงขนาดใหญ่อยู่ ด้านในโถงวรยุทธนั้นว่างเปล่าและมีหญิงสาวที่งดงามกำลังรออยู่ เมื่อเจียงอี้เดินเข้ามา นางก็กล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านอุปราชเชิญด้านนี้เจ้าค่ะ”
เจียงอี้เดินตามหญิงสาวนางนั้นไปและเข้าไปในห้องด้านข้างที่ดูงดงาม
ห้องโถงนั้นใหญ่มากผู้อาวุโสสองคนและจีทิงยวี่นั่งทางซ้าย ขณะที่ตู๋กูฉิวนั่งอยู่ตรงกลาง และมีเก้าสิงโตอยู่ทางขวาซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันมีไว้ให้เจียงอี้นั่ง
“ฮ่าฮ่าฮ่าไม่น่าแปลกใจที่เจ้าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของทวีปในรอบหมื่นปีนี้ ความกล้าหาญเช่นนี้นั้นน่าเลื่อมใสนัก เจียงอี้, เชิญนั่งก่อน!” เมื่อเขาเห็นเจียงอี้เดินเข้ามา ตู๋กูฉิวก็ลุกขึ้นต้อนรับขณะที่จีทิงยวี่และคนอื่นๆก็ยืนขึ้นเช่นกัน
เจียงอี้ยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้สิงโตนั้นตู๋กูฉิวโบกมือและให้พวกเขาที่เหลือนั่งลง จากนั้นเขาก็นั่งลงแล้วยิ้ม “ประมุขหยี่ นำชามาให้อุปราชเจียงด้วย”
หญิงงามหยิบถ้วยน้ำชาจากสาวใช้และส่งให้เจียงอี้จากนั้นนางก็ป้องกำปั้นก่อนที่จะถอยกลับไป ด้านเจียงอี้นั้นไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมานั่งดื่มชาและเขากลัวว่ามันอาจถูกวางยาพิษเอาไว้
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาก็จ้องมองไปที่ตู๋กูฉิวและถามว่า “ก่อนที่จักรพรรดินีสัตว์อสูรจะจากไป นางเคยบอกไว้ว่าโถงวรยุธนั้นมีเกียรติและจะไม่มีวันทำเรื่องสกปรก ข้ายังได้ยินมาว่าประมุขใหญ่โถงวรยุทธนั้นเป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญ แต่ในวันนี้ ข้าได้รู้แล้วว่า…ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องน่าขันนัก!”
ฟึ่บ!ฟึ่บ! ฟั่บ!
ใบหน้าของผู้อาวุโสหลู่และผู้อาวุโสเจิงเดือดดาลขึ้นทันทีกลิ่นอายของพวกเขาระเบิดพล่านออกมาขณะที่ทั้งคู่ลุกขึ้นยืนและกำลังจะพุ่งไปที่เขา แต่ตรงกันข้าม ใบหน้าของตู๋กูฉิวกลับไม่เปลี่ยนแปลง เขาโบกมือเพื่อให้ผู้อาวุโสทั้งสองกลับไปนั่งขณะที่เขาหันไปมองเจียงอี้และถามว่า “เจียงอี้ ทำไมเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้นล่ะ?”
เจียงอี้มีสีหน้าที่เคร่งเครียดขณะที่ร่างของเขาสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธมุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยและเย้ยหยัน “พวกเจ้าทุกคนวางแผนสังหารข้าหลายต่อหลายครั้งและข้าก็ไม่ได้เอาความอะไร หากพวกเจ้าสามารถลอบสังหารเจ้าสำนักจูเก๋อได้ นั่นก็คือความสามารถของพวกเจ้า หากพวกเจ้าสังหารข้าได้ ข้าก็ยอมรับมันได้ แต่พวกเจ้ากลับลักพาตัวคนรักของข้า, สาวใช้ของข้า, ท่านปู่และพี่น้องของข้า….แล้วยังพยายามใช้พวกเขามาบีบบังคับข้าอีก? สิ่งนี้มันทำให้ข้า…เจียงอี้ผู้นี้….มองเห็นว่าพวกเจ้านั้นต่ำช้าจากก้นบึ้งของหัวใจข้าจริงๆ! การแก้แค้นไม่ควรเอามารวมกับสมาชิกครอบครัว อย่าบอกนะว่าท่านประมุขใหญ่ตู๋กูฉิวไม่เข้าใจถึงเรื่องนี้?”
บทที่ 496 รากฐานของโถงวรยุทธ
เจียงอี้พูดด้วยท่าทางที่ชัดเจนและความตั้งใจเยาะเย้ยของเขานั้นชัดเจนมากเขาไม่เคยบ่นอะไรหากมีผู้ใดวางแผนต่อต้านเขาอย่างเปิดเผยหรือแม้แต่ในความมืด แต่เพราะพวกเขาลักพาตัวเจียงเสี่ยวนู๋และคนอื่นๆไป เขาจึงดูถูกตู๋กูฉิวมากจริงๆ
การแสดงออกของตู๋กูฉิวไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเขาหัวเราะและตอบเบาๆว่า “เจียงอี้ เจ้าผิดแล้ว การลักพาตัวครอบครัวของเจ้าก็เป็นหนึ่งในการวางแผนในความมืดเช่นกัน แม้ว่าเราอาจจะไม่ได้ตรงไปตรงมาก็เถอะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทหารหรือการกบฏ ไม่ใช่ว่าเราทำทุกสิ่งนี้เพื่อผลลัพธ์หรือ? ไม่ว่าวิธีการจะเป็นเช่นไร ดังนั้น มันไม่ได้สำคัญเลยว่าข้าอยากจะทำหรือไม่ ตราบใดที่ทำเพื่อโถงวรยุทธ ข้าก็จะทำทุกวิถีทาง ข้าหวังว่าเจ้าจะเข้าใจ”
เข้าใจที่ก้นน่ะสิ!
เจียงอี้ต้องการที่จะระเบิดออกมาแต่เจียงเสี่ยวนู๋และคนอื่นๆยังอยู่ในมือของโถงวรยุทธ เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องอดทนเอาไว้ หลังจากที่นิ่งงันไปครู่หนึ่งเขาก็กล่าวว่า “ประมุขตู๋กู เช่นนั้นก็บอกเงื่อนไขของท่านมา”
ตู๋กูฉิวพยักหน้าเบาๆและหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบจากนั้นเขาก็ค่อยๆวางถ้วยน้ำชาลงและพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจียงอี้ เรามีจุดยืนต่างกัน ดังนั้นโปรดอภัยให้เราสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่เหมาะไม่ควรในอดีตไป ข้าสัญญาว่าจะปล่อยครอบครัวของเจ้าไปโดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ในขณะเดียวกัน…ข้าก็รับรองได้ว่าเจ้าจะเป็นผู้ปกครองของทวีป – องค์จักรพรรดิองค์ใหม่ – และรับประกันความรุ่งโรจน์ของลูกหลานในอนาคตของเจ้าด้วย!”
“ฮะ!”
เจียงอี้ประหลาดใจแท้จริงแล้วตู๋กูฉิวมาที่นี่เพื่อเจรจากับเขาและเขาก็ดูจริงใจมาก เงื่อนไขที่เขาให้ก็ใจกว้างมากเช่นกัน และหากนี่เป็นคนอื่น พวกเขาก็คงจะพิจารณาอย่างเคร่งเครียด มันคือจุดสูงสุดในชีวิตของคนๆหนึ่งที่จะได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ ยิ่งไปกว่านั้น เรายังได้การรับประกันให้แก่คนรุ่นต่อๆไปอีกด้วย สิ่งนี้มันดูล่อตาล่อใจมากเหลือเกิน
เจียงอี้นิ่งไปชั่วขณะและพูดอย่างสงบว่า“เจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร?”
ตู๋กูฉิวและจีทิงยวี่มองหน้ากันในขณะที่ฝ่ายหลังเอ่ยปากพูดเป็นครั้งแรกนับแต่นางเข้ามา“เจียงอี้ เจ้าไม่ต้องทำสิ่งใดเลยและโถงวรยุทธจะไม่ยุ่งวุ่นวายกับสิ่งที่เจ้าทำ แต่เมื่อเจ้าขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิแล้ว สงครามราชอาณาจักรจะยังดำเนินต่อไป เจ้าจะให้อาณาจักรทั้งหกดำเนินต่อไปก็ได้หรือว่าเจ้าจะแบ่งทวีปเป็นอาณาจักรเล็กๆนับไม่ถ้วนได้ ตราบใดที่เจ้ามีความสุข เจ้าจะทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการและโถงวรยุทธจะไม่เข้ามายุ่งวุ่นวายกับเจ้า แต่แน่นอนว่า…มีอีกสิ่งหนึ่งคือเจ้าต้องมอบผนึกแห่งดวงจิตมา”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้หัวเราะอย่างบ้าคลั่งราวกับว่าเขาเพิ่งได้ยินเรื่องที่น่าขันที่สุดในโลกจนทำให้ผู้อาวุโสหลู่และผู้อาวุโสเจิงโกรธขึ้นมาอีกครั้งแต่ก็ถูกตู๋กูฉิวปรามไว้
หลังจากที่เจียงอี้หัวเราะเสร็จแล้วตู๋กูฉิวก็ลุกขึ้นยืนและพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “เจียงอี้ ข้าสามารถทำสัญญาเลือดได้ ตราบใดที่เจ้ามอบผนึกแห่งดวงจิตของเจ้ามาและสัญญาว่าสงครามราชอาณาจักรจะยังคงมีต่อไป โถงวรยุทธจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องอื่น ไม่เช่นนั้นพวกเราทุกคนจะต้องตายอย่างอนาถ”
สัญญาเลือดเป็นคำปฏิญาณที่ร้ายแรงที่สุดในทวีป
มีตำนานของผู้ที่ทำสัญญาเลือดเล่าขานไว้ว่าพวกเขาจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์หากฝ่าฝืนคำสาบานนี้นี่เป็นเรื่องที่ร้ายแรงและพิธีนี้จะต้องมีกระบวนการที่ซับซ้อนมากมาย ครั้งหนึ่งเคยมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังฝ่าฝืนคำปฏิญาณและเขาก็เสียชีวิตหลังจากที่ถูกฟ้าผ่า
ในตอนนี้เจียงอี้เชื่อจริงๆว่าตู๋กูฉิวไม่ได้โกหกเขา หากเขามอบผนึกแห่งดวงจิตของเขาและสัญญาว่าสงครามราชอาณาจักรจะดำเนินต่อไป โถงวรยุทธจะทำตามเงื่อนไขที่ตู๋กูฉิวกล่าวไว้
เจียงอี้จะมอบผนึกแห่งดวงจิตของเขาหรือไม่?หรืออีกอย่างหนึ่งคือ…เขาจะประนีประนอมต่อโถงวรยุทธหรือไม่?
แน่นอนว่าไม่!
การละทิ้งการแก้แค้นที่จูเก๋อชิงหยุนสมควรได้รับหากเขามอบผนึกแห่งดวงจิตของเขาไป เขาจะเป็นทาสโถงวรยุทธไปตลอดชีวิต การเป็นองค์จักรพรรดิจะมีประโยชน์อันใดหากชีวิตของเขาต้องตกอยู่ในกำมือผู้อื่น? เขาคงจะยอมตายเสียดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่เช่นนี้ มันจะมีอะไรน่ายินดีกัน?
นี่ไม่ใช่ชีวิตที่เขาต้องการและเขาไม่ใช่คนที่ยอมใครง่ายๆดังนั้นเขาจึงยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วหากว่าข้าไม่ตกลงล่ะ?”
“เช่นนั้นก็ไม่มีทางอื่น”
ตู๋กูฉิวส่ายหัวและผายมือออกมา“เราจะต้องฝืนใจสังหารเจ้า เจ้ารู้มากเกินไปและหากเจ้าไม่เข้าร่วมกับโถงวรยุทธ เช่นนั้นเจ้าก็คงต้องตาย!”
จีทิงยวี่ยืนขึ้นและถอนหายใจ“เจียงอี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่คิดผิด ผู้ที่ต่อต้านโถงวรยุทธ แม้ว่าเจ้าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุน เจ้าก็ต้องตายเช่นกัน! โถงวรยุทธแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้ คนที่ทำตามนั้นจะประสบความสำเร็จและคนที่ตั้งตนเป็นกบฏจะต้องตาย!”
“อย่างนั้นหรอ?เช่นนั้นข้าก็อยากจะรู้ว่าโถงวรยุทธนั้นแข็งแกร่งเพียงใด”
เจียงอี้แสยะยิ้มขณะที่ร่างของเขาระเบิดกลิ่นอายสังหารออกมาไข่มุกวิญญาณเพลิงสว่างขึ้นและเปลวเพลิงก็พวยพุ่งออกมา มือของเขาสว่างขึ้นและพร้อมที่จะปลดปล่อยเปลวเพลิงมังกรเก้าสวรรค์
เขามีนิสัยที่ไม่ยอมใครตั้งแต่ยังเด็กและพวกเขายังขอให้เขาเป็นทาสโถงวรยุทธงั้นหรอ?ฝันไปเถอะ!
ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่เชื่อว่าเขาจะไม่มีทางเลือกอื่นตราบใดที่เขาสามารถกำจัดพวกมันทั้งสี่ได้ โถงวรยุทธจะกล้าสังหารเจียงเสี่ยวนู๋และคนอื่นๆหรอ?
ผู้ที่ชิงลงมือก่อนจะได้เปรียบ!
พวกเขาอยู่ใกล้กันหากเจียงอี้ปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกไป นอกจากประมุขโถงวรยุทธแล้ว จีทิงยวี่และผู้อาวุโสอีกสองคนก็คงจะถูกเผาไปอย่างง่ายดายใช่ไหม?
แต่ทว่า!
มีบางสิ่งที่ทำให้เจียงอี้ต้องประหลาดใจเกิดขึ้นในขณะที่เขาปล่อยเปลวเพลิงอเวจีออกมา มือของประมุขใหญ่โถงวรยุทธก็เปล่งแสงขึ้นมาและปล่อยฝ่ามือใส่เขา อากาศรอบตัวของเขาสั่นไหวและเขาก็หายไป
“เอ่อ”
ร่างของเจียงอี้โผล่ขึ้นกลางอากาศและเขามองไปรอบๆด้วยความสับสน…ราวกับว่าเขาเห็นผีเขาถูกบังคับให้ย้ายร่างจริงๆหรอเนี่ย?
“นี่มันเป็นรูปแบบเต๋ามิติอะไรกัน?มันสามารถบังคับให้คนอื่นย้ายร่างได้ด้วยจริงๆ?”
เซี่ยถิงเวยและปรมาจารย์หลิงต่างก็เข้าใจรูปแบบเต๋ามิติเซี่ยถิงเวยสามารถเคลื่อนที่ผ่านรอยแยกของห้วงอากาศได้และสามารถสั่นพื้นที่เพื่อหยุดเจียงอี้จากการย้ายร่างฉับพลัน แต่เขาไม่เคยได้ยินรูปแบบเต๋ามิติที่สามารถย้ายร่างศัตรูได้
“ท่านจอมพล!”
โฮกกก!
แม่เฒ่าบุปผาสีเงินและสัตว์อสูรหยาจื้อทะยานขึ้นไปบนอากาศและยืนอยู่ข้างๆเจียงอี้เมื่อพวกเขาเห็นสีหน้าของเจียงอี้พวกเขาก็รู้อย่างชัดเจนว่า….การเจรจาล้มเหลว หมายความว่าจะมีการต่อสู้ที่ดุเดือดรออยู่
“เฮ้อ…”
ตู๋กูฉิวพาคนอื่นๆออกมาจากโถงวรยุทธขณะที่เขาและผู้อาวุโสทั้งสองทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าดวงตาของตู๋กูฉิวจับจ้องไปที่เจียงอี้ผู้ที่อยู่บนสัตว์อสูรหยาจื้อและถามครั้งสุดท้ายว่า “เจียงอี้ เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าต้องการที่จะสู้?”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว!”
ดาบมังกรเพลิงปรากฏขึ้นในมือของเจียงอี้เขาชี้มันไปทางตู๋กูฉิวขณะที่พูดออกมา “ปล่อยคนของข้าไปและมอบตัวผู้ร้ายที่วางแผนโจมตีเจ้าสำนักจูเก๋อมาซะ สัญญาว่าจะไม่มายุแหย่ข้าอีกและข้าจะปล่อยให้โถงวรยุทธอยู่รอดต่อไป ไม่เช่นนั้น…ข้าจะทำให้พวกเจ้าได้เห็นว่าโถงวรยุทธทุกสาขาในทวีปนี้จะต้องพังทลายลงไปจนสิ้น”
“ฮ่าฮ่า!ช่างโง่เขลานัก เจียงอี้ ข้าจะให้เจ้าได้เห็นรากฐานของโถงวรยุทธ ข้าจะให้เจ้าเห็นว่าทำไมแม้แต่จักรพรรดินีสัตว์อสูรก็ยังไม่กล้าที่จะก่อกวนโถงวรยุทธของเรา!”
ตู๋กูฉิวส่งข้อความในขณะที่แหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณของเขาสว่างขึ้นมีเจดีย์ปรากฏขึ้นในมือของเขาและเขาค่อยๆชูมันขึ้น เจดีย์นั้นขึ้นไปสู่ท้องฟ้าและขยายตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นเจดีย์ยักษ์สูงสามร้อยเมตรและกว้างสามร้อยเมตร
เจดีย์ยักษ์แห่งนี้ส้รางขึ้นด้วยอิฐสีดำที่ไม่รู้จักซึ่งมันดูเรียบๆแต่มีกลิ่นอายที่รุนแรงมันเปล่งกลิ่นอายที่ดูเก่าแก่และยิ่งใหญ่ราวกับว่ามันเป็นสมบัติที่มีมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม
“สิ่งประดิษฐ์นี่มันคืออะไรกัน?”
เจียงอี้จ้องมองไปยังเจดีย์ขณะที่แม่เฒ่าบุปผาสีเงินและสัตว์อสูรหยาจื้อมีท่าทีที่รู้สึกผ่าเผยเดิมทีพวกเขาคิดว่าเจดีย์นี้เป็นสิ่งประดิษฐ์โจมตี แต่พวกเขาไม่ได้รู้สึกถึงแรงกดดันใดๆ มันไม่ได้มีกลิ่นอายของสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์หรือระดับศักดิ์สิทธิ์เลย ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเพียงเจดีย์ธรรมดา
“เจดีย์ฝูงอสูรจงเปิดออกมา!”
มือของตู๋กูฉิวส่องสว่างด้วยแสงและแก่นแท้พลังก็ถูกปล่อยออกไปยังเจดีย์เจดีย์โบราณเปล่งประกายระยิบระยับขณะที่ประตูหน้าอันใหญ่ยักษ์เปิดขึ้นมา หลังจากนั้น ทุกคนในเมืองต่างก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้
“โบร๋วโบร๋ววว!” “ฮู๊ ฮู๊!” “โฮกก โฮกกก!”
ทุกคนสามารถได้ยินเสียงคำรามที่น่าสะพรึงและน่าตกตะลึงดังออกมาสัตว์อสูรขนาดยักษ์วิ่งออกมาจากเจดีย์อย่างไม่มีสิ้นสุด สัตว์อสูรทุกตนมีความสูงกว่าสามสิบเมตรและมีกลิ่นอายที่น่ากลัว พวกมันล้วนเป็นราชันอสูรระดับสูงสุด!
หนึ่ง,สอง…เก้า….หนึ่งร้อย!
เพียงพริบตาครึ่งท้องฟ้าก็ถูกสัตว์ยักษ์ยึดครองพื้นที่ กลิ่นอายการปรากฏของราชันสัตว์อสูรนับร้อยทำให้อากาศในเมืองเทียนชิงแทบจะหยุดไป ทุกคนที่อยู่ด้านล่างต่างสิ้นหวังเพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่ว่าฝ่ายใดจะได้รับชัยชนะ ทุกคนที่นี่ก็คงจะไม่รอด
เจียงอี้กลืนน้ำลายและพูดหลังจากที่ผ่านไปครู่หนึ่ง“แม่เจ้า! ฐานของโถงวรยุทธช่างน่ากลัวจริงๆด้วย….”
…