เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 511-512
บทที่ 511 มังกรที่หลับใหลจะหวนคืนสู่ท้องทะเล
เจียงอี้ตัดสินใจออกไปสู่โลกภายนอกทันทีและเขาก็เริ่มวิเคราะห์สถานการณ์และจัดการเรื่องที่จำเป็นทั้งหมด
ทูตขอบเขตเทียนจุนสองคนกำลังจะมาถึงในไม่ช้าและพวกเขาต้องโกรธเกรี้ยวแน่นอนเมื่อพบว่าโถงวรยุทธพังพินาศไปแล้วหากพวกเขาไม่เจอตัวเจียงอี้ พวกเขาอาจจะบันดาลโทสะใส่ผู้ใต้บัญชาและพี่น้องของเขาแทน ‘ข้าจะต้องดูแลพวกเขาให้ดี’ เจียงอี้คิดอยู่ในใจ
“ข้าให้พวกเขาไปกับข้าดีไหม?”เขาครุ่นคิด
เห็นได้ชัดว่าคำตอบคือไม่เจียงอี้รู้ดีว่าโลกภายนอกนั้นเต็มไปด้วยอันตรายและเขาอาจตายได้ทุกเมื่อ และหากเขาตาย ทุกคนก็ต้องตายเช่นกัน
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นวิธีเดียวที่จะทำให้คนเหล่านี้สงบสุขได้ก็คือส่งพวกเขาไปยังเกาะลี้ลับที่ไม่ได้ใกล้กับทวีปมากเกินไปเพื่อไม่ให่ผู้อื่นพบพวกเขาได้ง่ายๆ
“เจียงอี้!”
ดูเหมือนว่าสุ่ยโย่วหลานจะเห็นความกังวลของเจียงอี้และกล่าวว่า“ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาข้าพบเกาะที่ถูกปิดไว้อย่างดีอยู่สองแห่งและข้ากำลังจะทำมันเป็นสถานที่หลบภัยของหอดาราสุ่ยเยว่ ข้าจะให้เจ้าเกาะนึง มันอยู่ห่างจากเกาะดาวตกไปทางใต้ประมาณห้าหมื่นกิโลเมตร ที่นั่นมีเขตลวงตาอยู่ซึ่งคนธรรมดาจะไม่พบที่นั่นหากพวกเขาไม่รู้วิธีทำลายม่านอาคม เกาะแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่มากแต่มันก็สามารถรับผู้คนได้มากกว่าแสนคนได้ง่ายๆ”
“ขอบคุณแม่หญิงสุ่ย”
เจียงอี้ป้องกำปั้นขอบคุณสุ่ยโย่วหลานแต่เขาก็ยังไม่สามารถยืนตรงๆได้เนื่องจากอาการบาดเจ็บของเขาจากนั้นเขาก็ขอให้สุ่ยโย่วหลานพาไปสำรวจเกาะทันที
สุ่ยโย่วหลานนั้นรวดเร็วมากระยะทางห้าหมื่นกิโลเมตร นางใช้เวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง เจียงอี้มองไปรอบๆและใช้แม้แต่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์สำรวจที่นั่นทันทีที่พวกเขาไปถึงแต่เขาก็ยังไม่พบอะไรที่นั่น
“ฮิฮิ!”
สุ่ยโย่วหลานยิ้มจางๆมือของนางส่องประกายแสงสีน้ำเงินและฟาดมันไปข้างหน้าและก่อกระแสไฟออกมา จากนั้นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ก็เกิดขึ้น สภาพแวดล้อมโดยรอบค่อยๆเปลี่ยนไปช้าๆและทันใดนั้น เกาะไม่กี่เกาะก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าของพวกเขา
“ตำแหน่งของเกาะทั้งสิบแปดเกาะนั้นพิเศษมากและเขตลวงตานี้ก่อตัวขึ้นเนื่องจากความผันผวนของห้วงอากาศเกิดขึ้นมาจากหินกิเลนมากมายบนเกาะเหล่านี้ตอนแรกข้าเองก็ไม่ทันสังเกตเห็นมันจนกระทั่งข้าค่อยๆสำรวจพื้นที่นี้อย่างระมัดระวังเพราะลูกศิษย์คนหนึ่งของข้าบังเอิญหลงมาที่นี่ทำให้ข้าได้ค้นพบสถานที่ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้”
“พื้นที่นี้ไม่มีความผันผวนของห้วงอากาศแบบม่านพลังเพราะมันถูกก่อตัวขึ้นมาโดยธรรมชาติดังนั้นแม้ว่าสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของผู้ที่แข็งแกร่งสำรวจผ่านแถวนี้ พวกเขาก็ไม่สามารถค้นพบมันได้ มันเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้ วิกฤติกาลอสูรเพิ่งผ่านพ้นไป อย่างน้อยก็ก่อนจะถึงวิกฤติกาลอสูรครั้งต่อไป มันจะปลอดภัยสำหรับพี่น้องและมิตรสหายของเจ้าแน่นอน” สุ่ยโย่วหลานอธิบายขณะที่พวกเขามุ่งหน้าลงไป
เจียงอี้พยักหน้าแม้ว่าเกาะรอบๆอีกสิบเจ็ดเกาะจะมีขนาดค่อนข้างเล็ก แต่เกาะใหญ่ที่อยู่ตรงกลางนั้นปกคลุมไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ปละสัตว์ป่าน้อยใหญ่ก็อยู่ในภูเขาเล็กๆและดูเพียงพอสำหรับประชากรหนึ่งแสนคนแล้ว
หลังจากมั่นใจว่าเกาะนี้ปลอดภัยและเหมาะสมกับพี่น้องของเขาแล้วเจียงอี้ก็กลับไปยังเกาะดาวตกพร้อมกับสุ่ยโย่วหลาน เมื่อพวกเขากลับไปถึงเกาะดาวตกแล้ว เจียงอี้ก็ปล่อยเจียงเสี่ยวนู๋และคนอื่นๆออกมาและปล่อยให้พวกเขาพักผ่อนอยู่ที่เกาะดาวตก จากนั้นเจียงอี้ก็ใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายควบม้าไปยังอาณาจักรเป่ยเหลียงทันที
เจียงเหรินถูและกองทัพของเขาไม่ได้โจมตีอาณาจักรเป่ยเหลียงดังนั้นเมืองเหลียงยังคงสงบสุขเหมือนเช่นเคย แต่พลเมืองทุกคนก็ตกอยู่ในความวิตกกังวลอยู่ตลอดเพราะพวกเขากังวลว่าเจียงอี้อาจกลับมากวาดล้างพวกเขาในวันหนึ่ง
บรึฟ!
ทันทีที่เจียงอี้มาถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายของเมืองเหลียงเขาก็ปลดปล่อยเจตจำนงสังหารออกมาซึ่งปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองทำให้ทุกคนต่างพากันตะลึงงัน
การปลดปล่อยเจตจำนงสังหารเช่นนี้นั้นมีเจียงอี้เท่านั้นที่ทำได้ผมและดวงตาสีแดงเลือดของเขาทำให้นักสู้หลายคนในจัตุรัสต่างหวาดกลัวและสิ้นหวัง พวกเขารู้ดีว่าเมืองทั้งเมืองจะหายไปหากเจียงอี้ตัดสินใจโจมตีพวกเขา
แต่เป็นโชคดีของพวกเขาที่เจียงอี้ไม่มีเวลาสังหารพวกเขาเขาหายตัวไปทันทีหลังจากใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์สำรวจที่นี่อย่างรวดเร็ว
ฟึ่บ!ฟั่บ!
ด้วยการย้ายร่างฉับพลันอย่างต่อเนื่องเขาก็อยู่ห่างออกไปหลายพันกิโลเมตรแล้ว เขาเรียกสัตว์อสูรหยาจื้อออกมาและมุ่งหน้าไปที่เมืองเทียนชิง
…
“อะไรนะ?หนีไปยังเกาะลับ?”
ห้าวันต่อมาณ ลานทางตะวันออกของเมืองเทียนชิง, หยุนฉิงเทียน, แม่เฒ่าบุปผาสีเงิน, จ้านอีหมิง, เจียงเหรินถู, เฉียนกุ้ย, เจ้าสำนักฉี, แม่ทัพหลูและพวกพ้องของพวกเขาต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดของเจียงอี้
สุ่ยโย่วหลานได้ส่งข้อความลับให้คนเหล่านั้นและบอกให้พวกเขามาที่เมืองเทียนชิงพร้อมกับสมาชิกตระกูลเพราะเจียงอี้มีเรื่องสำคัญที่จะต้องหารือกับพวกเขา
แต่มีเพียงจ้านอีหมิงและเฉียนกุ้ยเท่านั้นที่นำสมาชิกตระกูลไปด้วยทั้งเจ้าสำนักฉีและหยุนฉิงเทียนมาที่นี่คนเดียว พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมเจียงอี้จึงต้องการให้พวกเขาทั้งหมดหลบหนีไปในช่วงเวลาที่ดีเยี่ยมเช่นนี้ ในสายตาของพวกเขา เจียงอี้คงจะยึดครองทวีปนี้ในไม่ช้าและสร้างอาณาจักรใหม่ของเขาขึ้นมา
เจียงอี้ถอนหายใจเล็กน้อยและอธิบายว่า“แม้ว่าข้าจะพบโถงวรุยทธหลักและสังหารตู๋กูฉิวไปแล้ว แต่มันก็ยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็กๆของภูเขาน้ำแข็งท่ามกลางโถงวรยุทธที่มีอีกมากมายนับไม่ถ้วนข้างนอกนั่น พวกมันแข็งแกร่งเกินไปและมีจำนวนมากมายไม่รู้จบ พวกเขาแข็งแกร่งเกินไปและมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนมากมายนับไม่ถ้วน เมื่อนับเพียงพลังของผู้ที่มีขอบเขตเทียนจุนขั้นสุดยอดแล้วก็คงจะมีอย่างน้อยหลายร้อยคน อีกหนึ่งเดือนข้างหน้าจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนมาที่นี่สองคน”
“หากพวกเจ้าไม่หนีไปในตอนนี้พวกเจ้าอาจจะถูกโยงเข้ามาพัวพันได้ แต่อย่างไรก็ตาม ข้าพบสถานที่ยอดเยี่ยมที่พวกเจ้าและลูกหลานจะได้อยู่กันอย่างสงบสุขตลอดไป ข้าจะออกไปผจญโลกภายนอก ในวันหนึ่ง ข้า เจียงอี้จะรุ่งโรจน์ขึ้นมาอีกครั้งและทำลายโถงวรยุทธซะ ข้าจะนำโลกที่ยิ่งใหญ่กลับมาให้พวกเจ้าทุกคน แต่ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเจ้าต้องตัดสินใจแล้ว”
ตอนนี้สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนไปอย่างจริงจังเจียงอี้จะไม่ล้อเล่นกับเรื่องสำคัญเช่นนี้แน่นอน ไม่มีใครสามารถต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนได้ พวกเขารู้อย่างชัดเจน แต่การสละอำนาจและความรุ่งเรืองทั้งหมดของพวกเขาและไปซ่อนตัวอยู่บนเกาะลับนั้นก็เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากสำหรับพวกเขาหลายคน
หยุนฉิงเทียนถอนหายใจเงียบๆและเริ่มพูดก่อน“ท่านจอมพลสูงสุด ข้าไปไม่ได้ ข้าจะต้องรับผิดชอบพลเมืองของอาณาจักรเทียนเซวี่ยนของเรา ข้าจะให้สมาชิกตระกูลบางคนไปที่นั่นเผื่อว่าจะมีเรื่องอันใดเกิดขึ้น…และ…และข้าไม่คิดว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งสองจะสังหารผู้บริสุทธิ์สุ่มสี่สุ่มห้า เพราะฉะนั้นเราอาจจะไม่ตายแม้ว่าพวกเขาจะมาที่นี่….”
“เราก็ไม่ไปเช่นกัน!”
เจ้าสำนักฉีกัดฟันแน่นและพูดว่า“สำนักจิตอสูรอยู่มานานกว่าหมื่นปีแล้ว ในเมื่อเจ้าสำนักจะออกไปผจญโลกภายนอก เราจึงต้องรับหน้าที่ดูแลสำนัก แต่แน่นอนว่าเราจะส่งศิษย์ของเราไปก่อน หากเราอยู่รอดได้ในครั้งนี้ เราจะพยายามฟื้นฟูสำนักขึ้นอีกครั้ง”
เฉียนกุ้ยและจ้านอีหมิงมองหน้ากันแล้วยิ้มกว้างและพูดว่า“เจียงอี้ ไม่ต้องห่วงเราเลย ไปเถอะ! เจ้าจะให้เฉียนว่านก้วนและจ้านอู๋ซวงตามไปก็ได้หากเจ้าต้องการ ตระกูลข้าและจ้านอีหมิงจะช่วยองค์ราชาฉิงเทียนปกครองทวีป ดังนั้นแม้ว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนจะมา เราก็ยังพอปกป้องตัวเองได้ พวกเขาจะไม่สามารถทำลายตระกูลของเราทั้งสองได้หมดเว้นเสียแต่ว่าพวกเขาทั้งสองจะกำจัดทุกคนในทวีปนี้…”
จ้านอีหมิงเห็นด้วยและพยักหน้าพวกเขาไม่ต้องการจากไปอย่างแน่นอนและพวกเขาเชื่อว่าทวีปจะถูกรวมเป็นหนึ่งในไม่ช้าและพวกเขาจะได้ทั้งชื่อเสียงและอำนาจมากมายในตอนนั้น
พวกเขามั่นใจมากพอว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งสองจะไม่สามารถกำจัดพวกเขาสองตระกูลไปได้ง่ายๆแม้ว่าจะมีความแข็งแกร่งก็ตามสมาชิกตระกูลพวกเขาอยู่มีอยู่ทั่วทวีปและหากพวกเขากลัวว่าจะถูกลากเข้าไปมีเอี่ยวด้วย พวกเขาก็เพียงซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังได้
“กองทัพทหารรักษาการตะวันตกนั้นไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีผู้บัญชาการข้าก็จะอยู่ที่นี่ด้วย” เจียงเหรินถูพูดต่อ
หลังจากคิดอยู่นานแม่ทัพหลูกล่าวว่า “ข้าจะไป ท่านอุปราช ข้าจะไปถามแม่ทัพทั้งหมดว่ามีใครอยากติดตามข้าไปหรือไม่ หากไม่มีข้าก็จะให้พวกเขาติดตามองค์ราชาฉิงเทียนไป….”
แม่ทัพหลูรู้ดีว่าอาณาจักรเซี่ยยวี่จะเป็นอาณาจักรแรกที่ต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอนหากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งสองตัดสินใจล้างแค้นมันเป็นอาณาจักรที่อยู่ภายใต้บัญชาของเจียงอี้โดยตรง ดังนั้นพวกเขาจึงต้องซ่อนตัวอยู่บนเกาะลับไว้ก่อนเพื่อรอเจียงอี้กลับมา
เจียงอี้ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้และกล่าวว่า“เอาอย่างนั้นก็ได้ ข้าจะมอบกองทัพทั้งหมดให้เจ้า ฉิงเทียน จงพิชิตทวีปโดยเร็วที่สุดและทำให้แน่ใจว่าเจ้ามีแผนรับมือกับโถงวรยุทธ แม่ทัพเหรินถู ลุงอีหมิง ลุงเฉียนกุ้ย โปรดอยู่ช่วยองค์ราชาฉิงเทียนต่อไป ฉิงเทียน ได้โปรดดูแลพวกเขาและสมาชิกในตระกูลให้ดีด้วย สำนักจิตอสูรก็เช่นกัน….”
“ไม่ต้องห่วงท่านจอมพลสูงสุดอีหมิงและข้าเป็นญาติบ่าวสาวแล้ว เขาจะไม่มีวันปล่อยให้พวกเขาต้องบาดเจ็บ เว้นแต่ว่าฉิงเทียนจะลาจากโลกนี้ไปเสียก่อน!”
หยุนฉิงเทียนโค้งคำนับอย่างสุดซึ้งเพื่อขอบคุณที่เจียงอี้มอบทหารนับล้านให้แก่เขาและมอบโอกาสที่จะพิชิตทวีปด้วยความช่วยเหลือของแม่เฒ่าบุปผาสีเงิน,จ้านอีหมิง, เฉียนกุ้ยและพวกพ้อง เขาเชื่อว่ามันเหลือเพียงแค่เวลาที่จะกำจัดอาณาจักรเป่ยเหลียงและอาณาจักรเป่ยหมางให้สิ้นซากไปเพราะในตอนนี้ไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังเหลืออยู่แล้ว
แต่ก็แน่นอนว่า…
ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่รอดหรือไม่หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งสองมาถึงที่นี่มันขึ้นอยู่กับสวรรค์แล้ว
หนึ่งวันต่อมาหลังจากที่เคลื่อนย้ายคนนับพันที่ตามแม่ทัพหลูเข้าไปในราชวังจักรวาลแล้ว เจียงอี้ก็เรียกสัตว์อสูรหยาจื้อเพื่อไปจากที่นั่น เขายืนอยู่บนสัตว์อสูรหยาจื้อและโบกมือลาคนเหล่านั้นก่อนที่จะมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกโดยไม่หันกลับมามองอีก
หยุนฉิงเทียนพาทุกคนไปคำนับเจียงอี้และตะโกนออกมาว่า“ตามโบราณว่าไว้ วันใดวันหนึ่งมังกรที่หลับใหลจะหวนคืนสู่ท้องทะเล ท่านจอมพลสูงสุดของจักรวรรดิ โปรดรักษาตัว เราจะรอวันที่ท่านกลับมาอีกครั้ง!”
บทที่ 512 ออกสู่ทะเล
หลังจากบินไปทางทิศตะวันออกสักพักเจียงอี้ก็ตระหนักได้ว่าเขาลืมบางสิ่งที่สำคัญ เขาต้องไปยังหุบเขาชิงวิญญาณเพื่อปรับแต่งเปลวเพลิงอเวจีเพื่อเอาไว้ป้องกันตัวก่อน เขารู้ว่าการเดินทางครั้งนี้จะอันตรายอย่างยิ่ง เขาจึงหันไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
คราวนี้เขาบินลงไปต่ำมากจึงทำให้ผู้คนรู้สึกถึงแรงกดดันจากสัตว์อสูรหยาจื้อได้อย่างง่ายดายและเห็นผมสีแดงของเขาเมื่อเขาผ่านมาเพื่อที่จะทำให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนทั้งสองที่กำลังจะมาถึงเดาทางที่เขาไปไม่ได้
หลังจากอยู่ในหุบเขาชิงวิญญาณมาทั้งวันและปรับแต่งเปลวเพลิงอเวจีจำนวนมากแล้วเจียงอี้ก็ออกเดินทางอีกครั้ง คราวนี้เขาให้สัตว์อสูรหยาจื้อบินสูงขึ้นไปห้าร้อยกิโลเมตรซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นได้เว้นแต่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขึ้นไป
สัตว์อสูรหยาจื้อบินค่อนข้างเร็วพวกเขาใช้เวลาประมาณแปดวันในการไปถึงเกาะดาวตก หลังจากเข้าไปในศาลาฟ้ากระจ่างแล้ว เจียงอี้ก็เห็นว่าทุกคนเกือบจะฟื้นตัวแล้ว แต่เมื่อเขาอธิบายสถานการณ์ปัจจุบันของทวีปและแนะนำให้ทุกคนไปยังเกาะลับเพื่อความปลอดภัยของทุกคน พวกเขาก็ปฏิเสธความคิดของเขายกเว้นเจียงหยุนไฮ่
“ไม่ว่าท่านจะไปที่ใดข้าก็จะติดตามท่านตลอดไป นายน้อยของข้า! หากท่านยืนกรานจะทิ้งข้าไว้ข้างหลัง ข้าจะฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้แหละ!”
เจียงเสี่ยวนู๋มุ่งมั่นมากส่วนจ้านอู๋ซวง, เฉียนว่านก้วนและหยุนเฟยก็เช่นกัน พวกเขาเข้าใจว่าทวีปเทียนชิงนี้ได้ตายไปแล้วและไม่มีเหตุผลให้พวกเขาอยู่ที่นี่อีก เมื่อเฉียนกุ้ยบอกให้พวกเขาติดตามเจียงอี้ไปได้เสมอ สำหรับพวกเขาแล้ว การใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่บนเกาะที่ถูกปิดตลอดไปนั้นไม่ใช่ชีวิตในแบบที่พวกเขาต้องการ
โลกภายนอกนั้นกว้างใหญ่และเต็มไปด้วยโอกาสพวกเขาอยากจะติดตามเจียงอี้เพื่อออกไปผจญภัยที่โลกภายนอกนั้นและสร้างความสำเร็จให้กับตัวเอง
แต่แน่นอนว่าพวกเขาก็รู้ดีว่าโลกภายนอกนั้นอันตรายอย่างมากหลายคนที่ออกไป ไม่มีผู้ใดรอดเลย แต่ครั้งนี้มันต่างออกไปเพราะวิกฤติกาลอสูรเพิ่งจะพ้นไป นับเป็นช่วงที่ปลอดภัยที่สุดในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้เจียงอี้ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังซึ่งมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะปกป้องพวกเขาได้ หากพวกเขาไม่ติดตามเจียงอี้ไปในครั้งนี้ ชีวิตนี้พวกเขาคงจะไม่มีโอกาสอีกแล้ว
“อย่างนั้นก็ได้…”
ในเมื่อทุกคนมุ่งมั่นมากเจียงอี้จึงเคารพในการตัดสินใจของพวกเขาและไม่เกลี้ยกล่อมพวกเขาอีกต่อไป แต่พวกเขาก็จะไม่เป็นภาระหากเขาให้พวกเขาอยู่ในราชวังจักรวาลหรือไม่ก็ราชวังจักรพรรดิ ยิ่งไปกว่านั้นเจียงเสี่ยวนู๋ยังเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ขนนกสีหมึกด้วย มันจะช่วยเขาได้มากเมื่อต้องต่อสู้กับศัตรูระหว่างทางที่เขาจะไป
จากนั้นเขาก็หันไปหาเจียงหยุนไฮ่และมองเขาด้วยความรู้สึกผิดเจียงหยุนไฮ่ยิ้มอย่างแผ่วเบาและกล่าวว่า “ใต้เท้าน้อยของข้า โปรดอย่าเป็นกังวลกับข้าเลย เพียงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อบรรลุเป้าหมายของท่านและ….หากท่านพบนายหญิงและกลับมาเยี่ยมข้าบ้าง ชีวิตของข้าก็จะไม่มีสิ่งใดต้องให้เสียใจอีกต่อไป….”
“อื้อ!”
เจียงอี้พยักหน้าเขารู้ว่าเจียงหยุนไฮ่แก่เกินไปที่จะตามไปสู่โลกภายนอก โชคดีที่แม่ทัพหลูและพรรคพวกที่อยู่ที่นี่สามารถดูแลเขาได้จึงทำให้เจียงอี้กังวลน้อยลง
สุ่ยโย่วหลานได้บอกเจียงหยุนไฮ่และเจียงอี้ถึงวิธีการเปิดเขตลวงตาตามธรรมชาติและสัญญาว่านางจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อดูแลมิตรสหายและพี่น้องของเจียงอี้หลังจากที่คุยกันเสร็จแล้ว เจียงอี้ก็ได้อำลาสุ่ยโย่วหลานและให้ทุกคนเข้าไปในราชวังจักรวาล จากนั้นเขาก็ย้ายร่างฉับพลันและเรียกสัตว์อสูรหยาจื้อออกมาพร้อมมุ่งหน้าสู่ทิศใต้
ฟึ่บ!
เจียงอี้ยืนอยู่บนสัตว์อสูรหยาจื้อเขาหันกลับมาและป้องมือของเขาเพื่อขอบคุณสุ่ยโย่วหลาน เขาไม่ได้กล่าวคำขอบคุณออกมา เพราะเขารู้ดีว่ามันสำคัญยิ่งกว่าที่เขาจะสลักความเมตตาของนางไว้ในใจเสมอ
“ท่านแม่เจียงอี้กำลังจะออกจากทวีปหรือเจ้าคะ?”
ทันทีที่เจียงอี้จากไปสุ่ยเชียนโหรวก็ขึ้นไปข้างบนศาลาฟ้ากระจ่างและยืนข้างๆสุ่ยโย่วหลาน นางจ้องมองร่างที่ค่อยๆเล็กลงของเจียงอี้ผ่านหน้าต่างด้วยดวงตาที่งดงามของนาง แต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่
เมื่อนางเห็นว่าสุ่ยโย่วหลานพยักหน้าสุ่ยเชียนโหรวก็กัดริมฝีปากของนางเบาๆและก้มศีรษะลงไปด้วยความเศ้ราที่ไม่อาจเผยให้เห็นได้ นางกำหมัดแน่นและพูดกับตัวเองเบาๆว่า “เจียงอี้ เจ้าต้องมีชีวิตรอดต่อไป ข้ามีกายวิญญาณสวรรค์ ดังนั้นข้าจะสามารถทะลวงขอบเขตเทียนจุนได้ภายในสิบปี! ข้าจะตามหาเจ้าและล้างแค้นให้แก่ความอัปยศที่เจ้ามอบให้ข้า….”
….
ฟึ่บ!
เจียงอี้ปล่อยทุกคนออกจากราชวังจักรวาลเมื่อพวกเขามาถึงเกาะแล้วเจียงอี้รู้สึกผิดต่อแม่ทัพอาณาจักรต้าเซี่ยโดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นคนแก่และหญิงสาวที่กำลังตั้งท้องที่อ่อนแอ หากไม่ใช่เพราะเขา พวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ต้องละทิ้งบ้านเกิดและมาอยู่ในที่ไกลๆเช่นนี้
แต่แม่ทัพหลูนั้นค่อนข้างพอใจหลังจากที่ตรวจสอบสภาพแวดล้อมที่นี่เขาเชื่อในตัวเจียงอี้ สถานที่แห่งนี้ปลอดภัยมากเพราะแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนก็ยังไม่สามารถหาที่นี่พบ เขาคิดว่ามันเป็นเรื่องดีที่พวกเขาจะอาศัยอยู่ที่นี่ ในอนาคตหากมีโอกาสพวกเขาก็สามารถกลับบ้านเกิดของพวกเขาได้ตลอดอยู่แล้ว
แม่ทัพหลูโบกมือและให้แม่ทัพสองสามคนไปตัดต้นไม้เพื่อสร้างบ้านอย่างไรก็ตาม พวกเขาควรต้องตั้งหลักก่อนที่จะกังวลเรื่องอื่นๆ
“ท่านปู่!”
เจียงอี้ให้ราชวังจักรวาลแลแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณแก่เจียงหยุนไฮ่และกล่าวว่า“ข้าได้ล้างรอยประทับวิญญาณของราชวังจักรวาลนี้เรียบร้อยแล้วและในแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณนี้มีศิลาสวรรค์อยู่ไม่กี่ก้อน หากท่านขัดเกลาศิลาสวรรค์เหล่านั้น ท่านน่าจะไปถึงขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดได้! แล้วก็อย่าลืมปรับแต่งราชวังจักรวาลด้วย เผื่อว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นพวกท่านจะได้เข้าไปซ่อนตัวอยู่ในนั้นได้”
จากนั้นมือของเจียงอี้ก็กระพริบทันทีและหอกยาวที่มีกลิ่นอายที่น่ากลัวก็ปรากฏขึ้นมันคือสิ่งประดิษฐ์อันเลื่องชื่อของชาตี้!
เจียงอี้มอบหอกยาวให้แม่ทัพหลูและกล่าวว่า“แม่ทัพ สิ่งนี้จะเพิ่มความแข็งแกร่งของเจ้าได้มากหากเจ้าปรับแต่งมัน เผื่อมีเหตุปีศาจทะเลโจมตี สิ่งนี้จะช่วยให้เจ้าต่อสู้กับปีศาจทะเลได้”
แม่ทัพหลูเป็นผู้ที่อยู่ขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดแล้วซึ่งเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนเหล่านี้และยังเป็นคนที่ซื่อสัตย์และมีคุณธรรมที่สุดซึ่งทุกคนที่นี่เคารพและเชื่อฟังเขา เขาจะทำให้เจียงหยุนไฮ่ปลอดภัยขึ้นด้วยเช่นกัน
“ข้ารับไว้ไม่ได้หรอกพะยะค่ะ…ไม่…ไม่…”
ร่างของแม่ทัพหลูสั่นสะท้านและโบกมือปฏิเสธ“ท่านอุปราช ข้ารับสิ่งนี้ไว้ไม่
ได้….มันดีเกินไปสำหรับข้า ข้าอายุมากแล้วและข้าก็เสียมือข้างหนึ่งไปแล้ว มันจะเสียเปล่าหากท่านให้สิ่งประดิษฐ์นี้กับข้า….” เขากล่าว
“รับมันไว้เถอะ!”
เจียงอี้ยืนกรานและส่งหอกยาวให้เขาในเวลาเดียวกันเขาก็หยิบแหวนแก่นแท้ศักดิ์สิทธิ์โบราณออกมาอีกอันและมอบให้แม่ทัพหลู เมื่อเห็นท่าทีที่แม่ทัพที่เหลือหกคนอิจฉา เจียงอี้ก็พึมพำและนำสิ่งประดิษฐ์อีกสิบแปดชิ้นออกมา เขาส่งสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์เหล่านั้นให้แม่ทัพแต่ละคนตามลำดับและกล่าวว่า “สิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์เหล่านี้ข้าให้พวกเจ้าทุกคน แต่ข้าสัญญาว่าหากข้ากุมชัยกลับมา ข้าจะมอบสิ่งประดิษฐ์ศักดิ์สิทธิ์ให้พวกเจ้าคนละชิ้นแน่อน”
“ขอบคุณท่านอุปราช!”
แม่ทัพทั้งหลายต่างมีความสุขมากสำหรับพวกเขาแล้วสิ่งประดิษฐ์ระดับสวรรค์ชิ้นเดยวนั้นก็มีค่ามากแล้ว ไม่ต้องพูดถึงสามชิ้นเลย พวกเขาเป็นเพียงคนธรรมดา ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงจะหนีไปนานแล้วตั้งแต่ที่เมืองเซี่ยยวี่ถูกล้อมโดยอาณาจักรทั้งหก
“เอาล่ะ!พวกเราจะไปแล้ว!”
เจียงอี้นำเจียงเสี่ยวนู๋,เฉียนว่านก้วนและคนอื่นๆเข้าไปในราชวังจักรพรรดิและย้ายร่างฉับพลันไปบนหลังของสัตว์อสูรหยาจื้อ “สัตว์อสูรหยาจื้อ เราไปกันเถอะ!” เขาตะโกนออกมา
ฟึ่บ!
สัตว์อสูรหยาจื้อกลายเป็นลำแสงและบินจากไปทันทีและเนื่องจากเจียงอี้ไม่มีแผนที่ทะเลตะวันออก เขาก็ออกเดินทางไปทั้งที่ยังไม่รู้ว่าทวีปจักรพรรดิบูรพาและทวีปจิ้งจอกสวรรค์อยู่ที่ไหน ในตอนนี้เขาจึงบินไปทางทิศตะวันออกอย่างไร้จุดหมาย
หนึ่งชั่วโมงต่อมาเจียงอี้ก็ประหลาดใจที่พบว่าพวกเขาบังเอิญมายังทะเลมรณะ แม้ว่าตอนนี้จะยังคงเป็นเวลากลางวันและไม่มีฟ้าร้องและฟ้าผ่าเหนือทะเลมรณะ แต่เขาก็ยังคงตัดสินใจที่จะผ่านที่แห่งนี้และเดินทางต่อไปยังทิศตะวันออก
“เอ๊ะ?”
หญิงสาวเปลือยเปล่าผมสีม่วงที่นอนอยู่ในโลงศพโบราณใต้ทะเลลืมตาขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเมื่อเจียงอี้ผ่านทะเลมรณะไปยังทิศตะวันออก
ดวงตาของนางสามารถมองเห็นเจียงอี้บินอยู่บนท้องฟ้าผ่านน้ำทะเลไป“อะไรนะ? เด็กพิลึกนี่กำลังจะออกสู่ทะเล? แม้ว่าวิกฤติกาลสัตว์อสูรจะเพิ่งผ่านพ้นไปแต่ที่นี่ก็ยังคงอันตรายมากนัก เขาไม่กลัวเลยหรือ? ฮึฮึ ข้าจะออกจากสันโดษในอีกสี่วัน หากเจ้าสามารถไปถึงทวีปจักรพรรดิบูรพาได้ก่อนข้า ข้าจะพาเจ้าไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาเพื่อพบเสด็จพ่อของข้าและมอบโอกาสดีๆให้เจ้า”