เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 541-542
บทที่ 541 กำจัดจักรพรรดิอสูร
ชิงหยีรีบออกไปทันทีหากเจียงอี้สั่งให้นางทำเรื่องอย่างว่า นางจะไม่มีทางปฏิเสธเขาได้ ถึงเจียงอี้แค่แหย่เล่นแต่นางเองก็คงไม่พอใจเป็นธรรมดา
เจียงอี้อาจเป็นเจ้านายของนางและนางก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านความปรารถนาของเขาอาจเป็นเพราะว่านางไม่ได้ชอบผู้ชาย นางคงรู้สึกอึดอัดถ้าจะต้องทำเรื่องแบบนั้นกับผู้ชาย
ยิ่งไปกว่านั้นเฟิ่งหลวนยังไม่ได้ยอมรับเจียงอี้ทั้งหมดดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่พวกนางจะยอมรับใช้เขาด้วยความเต็มใจภายในเวลาสั้นๆเช่นนี้นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งของเฟิ่งหลวนก็แข็งแกร่งกว่าเจียงอี้มาก
เมื่อเจียงอี้ออกคำสั่งลงมาทั้งเฟิ่งหลวนและชิงหยีก็เริ่มยุ่งเล็กน้อย กองทัพและผู้เชี่ยวชาญในเมืองชิงเฟิ่งแอบออกไปอย่างเงียบๆขณะที่พวกนางไปเสริมกับกองกำลังแนวหน้า คำสั่งนี้ได้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญมากมายที่ปกป้องเมืองนี้ค่อนข้างสับสนและหลายคนร้องไห้ออกมา พวกนางไม่ได้เต็มใจที่จะจากไปจากเมืองนี้เพราะมีจักรพรรดิอสูรสองตนอยู่ข้างนอกนั่น จะเกิดอะไรขึ้นหากจักรพรรดิอสูรโจมตีที่นี่ในตอนที่พวกนางออกมา? เฟิ่งหลวนจะไม่มีโอกาสได้ต่อต้านพวกมัน และหากนางตาย ทวีปนี้ก็จะจบสิ้นเช่นกัน
เฟิ่งหลวนไม่ได้อธิบายให้พวกนางฟังแต่ทำเพียงแค่ออกคำสั่งไป ผู้ใดก็ตามที่ฝ่าฝืนคำสั่งจะถูกประหารชีวิต!
จักรพรรดินีได้ประกาศราชโองการที่ทำให้ทุกคนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องออกไปรวมกับกองทัพอย่างลับๆ
สาเหตุที่เฟิ่งหลวนเด็ดขาดนั่นเป็นเพราะมันเป็นความตั้งใจของเจียงอี้
ตามที่เจียงอี้กล่าวมาทำไมถึงต้องมีคนมากมาย? หากจักรพรรดิอสูรเริ่มโจมตี แล้วคนเหล่านี้จะปกป้องพวกเขาได้หรือ? และเมื่อเฟิ่งหลวนตาย คนอื่นๆก็คงได้แต่นั่งรอความตายเท่านั้น
แทนที่จะปล่อยให้มันเกิดขึ้นเขาน่าจะส่งทหารออกไปกำจัดเหล่าทัพเงือกอย่างเต็มที่ดีกว่าและทิ้งทหารไว้เกือบล้านก็เพียงพอแล้ว พวกเขาก็แค่ต้องรอดูว่าจักรพรรดิอสูรชือจะถอนตัวไปหรือไม่
ทุกอย่างได้ถูกเตรียมการณ์ไว้อย่างเหมาะสมแล้วทุกสิ่งที่จะเป็นต้องทำก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือก็คงต้องขึ้นอยู่กับสวรรค์แล้ว
…
ในวันถัดมามันเงียบเป็นพิเศษ ไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติใดๆในกองทัพเงือกทางตะวันตกของเมืองชิงเฟิ่งและกองทหารที่เฟิ่งหลวนส่งออกไปจากเมืองชิงเฟิ่งก็ไปได้ครึ่งทางแล้ว ส่วนกำลังเสริมจากทั้งสองทวีปก็มาถึงแล้วเช่นกัน หากกองทัพเงือกต้องการที่จะสู้ต่อไป มันก็เป็นเพียงการที่ทั้งสองฝ่ายจะได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงทำได้เพียงสู้ต่อไปเรื่อยๆ
เฟิ่งหลวนได้ส่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังที่มีทักษะการหลบหลีกที่น่ากลัวนางซ่อนตัวห่างจากกองทัพเงือกประมาณสามกิโลเมตรและคอยติดตามสถานการณ์กองทัพเงือกตลอดเวลา นางไม่กล้าที่จะแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ออกไปเพื่อตรวจสอบพื้นที่ เพราะกลิ่นอายของจักรพรรดิอสูรทั้งสองนั้นแข็งแกร่งเกินไป นางจึงไม่จำเป็นต้องตรวจสอบพื้นที่ก็สามารถสัมผัสถึงมันได้ ดังนั้น ตราบใดที่นางยังไม่ตาย ทุกการเคลื่อนไหวของจักรพรรดิอสูรทั้งสองก็จะไปถึงหูเฟิ่งหลวน
เวลาผ่านไปหลายวันแล้วและมันยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆในกองทัพเงือก และดูเหมือนว่าจักรพรรดิอสูรชือ จะไม่ได้มีความตั้งใจที่จะจากไปเลยแม้แต่น้อย ส่วนชิงหยีก็ค่อนข้างร้อนรนและเริ่มกระสับกระส่ายอยู่ในโถงราชวัง แม้แต่เฟิ่งหลวนเองก็เริ่มสงสัยเช่นกันว่าแผนของเจียงอี้จะได้ผลหรือไม่
ส่วนเจียงอี้ก็นั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างใจเย็นขณะที่เขาหลับตาและพักฟื้นอยู่เขาไม่สนใจดวงตาที่งดงามสองคู่ที่แอบคอยมองมาที่เขาเลย
“นายน้อย…”
ชิงหยีไม่สามารถทนได้อีกต่อไปขณะที่นางกัดฟันพูดออกมาส่วนเฟิ่งหลวนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาแต่นางก็ไม่ได้หยุดชิงหยี
เจียงอี้ลืมตามองไปที่ชิงหยีก่อนที่จะโบกมือ“มีอะไร? ชิงหยีน้อยเบื่อหรอ? มา มา มานวดขาให้ข้าที”
“ข้า…”
ชิงหยีพึมพำกับตัวเองอย่างไม่พอใจก่อนที่จะเดินไปอย่างหมดหนทางนางคุกเข่าลงบนผ้าที่พื้นขณะที่นางก้มลงไปนวดขาเจียงอี้ นางอยากจะถามว่าทำไมจักรพรรดิอสูรชือจึงยังไม่ล่าถอยไปและถ้าหากว่าแผนของเจียงอี้ล้มเหลวล่ะ? แต่คำพูดเหล่านั้นก็ติดอยู่ที่ปากของนางและไม่กล้าถามออกไป
จะเป็นอย่างไรถ้าหากว่านางทำให้เจียงอี้โกรธและเขาสั่งให้นางเปลื้องผ้าออก?
เจียงอี้หลับตาลงเพื่อพักผ่อนอีกครั้งเจียงอี้ไม่ได้สนใจที่ชิงหยีไม่พอใจซึ่งมันทำให้ชิงหยีรู้สึกไม่พอใจจนฟันของนางเริ่มขบกันส่วนเฟิ่งหลวนก็มองออกไปข้างนอก ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังของตระกูลนางน่าจะไปทางทะเลตะวันตกแล้วและน่าจะเคลื่อนไหวตามแผนการของเจียงอี้ที่จะแบกศพของราชันปีศาจและหนีไป แต่ถึงกระนั้นจักรพรรดิอสูรชือก็ยังไม่ได้เคลื่อนไหวอะไร? ตระกูลของนางอาจสูญเสียผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งมันคงจะเป็นเรื่องโกหกหากบอกว่านางไม่ได้คิดอะไรในตอนนี้
มันเป็นเพียงเพราะว่านางเป็นคนหน้าบางและมีบุคลิกที่เย็นชาทำให้นางไม่กล้าที่จะสอบถามเรื่องนี้ชิงหยีหันไปมองนางและเห็นความกังวลของนาง ชิงหยีจึงคิดที่จะถามอีกครั้งแต่ในขณะนั้นเจียงอี้ก็ยกมือขึ้นและพูดว่า “พอแล้ว ชิงหยีน้อย เจ้าไม่จำเป็นต้องนวดต่อแล้ว ข้ารู้ว่าพวกเจ้าทั้งสองคนกังวลเรื่องอะไร เชื่อข้าเถอะ ภายในสามวันจักรพรรดิอสูรชือจะล่าถอยไปแน่นอน!”
มันเหมือนกับว่าคำพูดที่เชื่อมั่นของเจียงอี้ทำให้พวกนางไม่สามารถปฏิเสธได้พวกนางค่อยๆรู้สึกผ่อนคลายลงและดวงตาของพวกนางที่มองไปยังเจียงอี้ก็ดูมีบางอย่างที่ต่างไป ชายผู้นี้ทำให้พวกนางรู้สึกสงบได้อย่างไร?
ตึกตึก ตึก!
ในตอนนั้นเองเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบจากด้านนอกก็ดังขึ้นมาแต่บุคคลนั้นไม่กล้าเข้าไปในโถงใหญ่แต่คุกเข่าอยู่ที่หน้าโถงและพูดด้วยน้ำเสียงหนักใจ “ท่านจักรพรรดินี หั่วหลี่ส่งข้อความมาว่า จักรพรรกิอสูรชือออกจากค่ายทหารและมุ่งหน้าไปทางตะวันตก นางขอให้ท่านพินิจว่ามันเป็นกลลวงหรือไม่เพคะ”
บรึฟ!
ดวงตาที่งดงามของเฟิ่งหลวนและชิงหยีสว่างขึ้นในเวลาเดียวกันและใบหน้าของพวกนางก็เต็มไปด้วยความสุขในขณะเดียวกันพวกนางก็กวาดมองไปที่เจียงอี้แต่พวกนางก็เห็นว่าเขายังคงหลับตาอยู่และดูผ่อนคลายมาก
เฟิ่งหลวนตระหนักขึ้นได้ขณะที่นางตะโกนด้วยน้ำเสียงที่มืดมนว่า“ส่งข้อความไปหาหั่วหลู่เดี๋ยวนี้ ให้นางติดตามจักรพรรดิอสูรชือจากระยะไกลและรายงานกลับมาทุกๆสามสิบนาที”
แม่ทัพที่ถ่ายทอดข้อความก็ออกไปทันทีและเฟิ่งหลวนกับชิงหยีก็ยืนขึ้นและเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลใจ หากจักรพรรดิอสูรชือล่าถอยไป และเก็บเรื่องที่มันจะไม่มีวันกลับมาไว้ก่อน ตราบใดที่พวกนางยืดเวลาไปได้สิบถึงสิบห้าวัน เผ่าพันธุ์เงือกจะต้องประสบกับความสูญเสียอย่างหนักและไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากถอนทัพกลับไป
“ทำไมพวกเจ้าถึงต้องเดินไปเดินมากันด้วย?มันทำให้ข้าเวียนหัว!”
เจียงอี้ยืนขึ้นอย่างกะทันหันและพึมพำอย่างไม่พอใจเขาเดินไปที่ห้องพักผ่อนก่อนที่จะให้คำสั่งที่หน้าประตูว่า “ปลุกข้าด้วยเมื่อยืนยันได้แล้วว่าจักรพรรดิอสูรนั่นออกทะเลไปแล้ว ข้าขอตัวไปงีบหน่อย”
“เอ่อ….”
เฟิ่งหลวนและชิงหยีมองหน้ากันและต่างก็พากันพูดไม่ออก
ที่ด้านนอกนั่นกองทัพของเหล่าเผ่าพันธุ์เงือกกำลังจ้องจับตามองพวกนางอยู่ พวกมันอาจโจมตีพวกนางได้ตลอดเวลา มันหลายวันแล้วที่พวกนางหลับไปตอนที่ยังคงเฝ้าระวัง พวกนางจะหลับตาเพียงชั่วครู่ในตอนที่ไม่สามารถทนกับความเหนื่อยล้าได้อีกต่อไป ในขณะเดียวกันเจียงอี้กลับใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ทุกวัน เขาจะกินและนอนเหมือนว่าเขาไม่ได้กังวลสิ่งใด มันเป็นไปได้ไหมว่าเขาไม่ได้กลัวว่าการล่าถอยของจักรพรรดิอสูรชือจะเป็นกับดัก? แล้วจะเป็นเช่นไรหากว่าจักรพรรดิอสูรทั้งสองโหมโจมตีมา?
แน่นอนว่าเจียงอี้ก็กังวลแต่เขาก็ไม่รู้ว่ากังวลไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะคอยอยู่ข้างหลัง เขาจึงต้องเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับสถานการณ์ทุกประเภท แทนที่จะกังวลและกระวนกระวายอยู่ทุกวัน เขาควรจะเตรียมพร้อมสำหรับสงครามดีกว่า ไม่ว่าจะเกิดสถานการณ์ใดขึ้น หากมันเลวร้ายลงมันก็ยังมีเฟิ่งหลวนที่คอยป้องกันไว้ได้ก่อน
เวลายังคงผ่านไปขณะที่หั่วหลู่ส่งข้อความกลับมาเป็นครั้งคราวสิ่งที่ทำให้เฟิ่งหลวนและชิงหยียินดีเป็นอย่างยิ่งคือจักรพรรดิอสูรชือกำลังบินไปยังทะเลตะวันตกจริงๆ มันเต็มไปด้วยจิตสังหารอย่างรุนแรงและใครๆก็ต่างสัมผัสได้จากระยะไกล
มันเป็นเวลาที่ดวงอาทิตย์กำลังตกดินและท้องฟ้าก็กำลังอาบไปด้วยพระอาทิตย์ตกสีส้มแดงคล้ายเลือดก้อนเมฆที่ดูเหมือนกำลังถูกแผดเผายิ่งทำให้ท้องฟ้าทางตะวันตกกลายเป็นทิวทัศน์ที่งดงามเป็นอย่างยิ่ง
“นายน้อยน้อยน้อย ตื่นเร็วเจ้าค่ะ!”
เจียงอี้ถูกปลุกด้วยมือเล็กๆที่อ่อนนุ่มเขาลืมตาขึ้นมาและเห็นใบหน้าหญิงงามทั้งสองคนขณะที่ชิงหยีกล่าวอย่างรวดเร็วว่า “นายน้อย จักรพรรดิอสูรชือกำลังมุ่งหน้าออกไปยังทะเลแล้ว ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากที่นี่ไปนับหมื่นกิโลเมตรแล้วและยังคงบินไปทางตะวันตกเรื่อยเจ้าค่ะ”
“แล้วถ้าเขามุ่งหน้าไปทางทะเลแล้วจะตื่นเต้นอะไรกันขนาดนี้?”
เจียงอี้บิดตัวและหาวก่อนที่จะโบกมือ“บอกให้คนมาเตรียมงานเลี้ยงเถอะ เราจะกินอาหารมื้อนี้อย่างอร่อยและเมื่อเราเสร็จจากอาหารมื้อนี้แล้ว เราก็จะลงมือ”
“ลงมือ?ลงมืออะไรเจ้าคะ?” ชิงหยีกระพริบตาด้วยความสับสน ในขณะเดียวกันเฟิ่งหลวนที่ยืนอยู่ข้างๆก็มีดวงตาที่ลุกเป็นไฟขณะที่ร่างกายอันบอบบางของนางเริ่มสั่นเทา
“ชิงหยีน้อยข้าควรบอกว่าเจ้าน่ารักหรือโง่ดี?”
เจียงอี้ยื่นมือไปบีบหน้าที่มีเสน่ห์ของชิงหยีขณะที่ปากของเขาบิดเบี้ยวก่อนที่จะพูดต่อว่า“หลังจากที่เรากินและดื่มเสร็จแล้ว มันก็ถึงเวลาที่เราต้องทำงานกันต่อ เราจะไปกำจัดจักรพรรดิอสูรของเผ่าพันธุ์เงือกกันน่ะสิ”
บทที่ 542 หญิงชั่วตระกูลเฟิ่ง
มีทะเลสาบขนาดยักษ์อยู่ห่างออกไปทางตะวันตกของเมืองชิงเฟิ่งประมาณหนึ่งร้อยกิโลเมตรเมื่อสายน้ำหลายสายมาบรรจบกัน มันก็จะไหลไปสู่ทะเลตะวันตก
ทะเลสาบแห่งนี้เรียกว่าทะเลสาบชิงเฟิ่งชิงหยีเป็นผู้ที่เปลี่ยนชื่อมัน หลังจากที่นางยึดครองตระกูลชิงนางก็ได้เปลี่ยนชื่อเมืองไปหลายเมือง ซึ่งมันถือเป็นเรื่องปกติ
ณเมืองชิงเฟิ่ง ทะเลสาบชิงเฟิ่ง….
ทิวทัศน์รอบทะเลสาบชิงเฟิ่งนั้นงดงามและน้ำใสมากจนมองเห็นก้นทะเลสาบต้นกกสีขาวพลิ้วไปตามสายลมขณะที่ล้อมรอบไปทั่วทะเลสาบและสีของท้องฟ้าก็เป็นสีเขียวมรกต มันเป็นฉากที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไร้กังวลและผ่อนคลายมาก
ในอดีตชิงหยีและเฟิ่งหลวนเดินทางไปรอบๆและใช้เวลาอยู่ที่สถานที่แห่งนี้ พวกนางทั้งสองเคยว่ายเวียนอยู่ในทะเลสาบอย่างสนุกสนานและได้ทิ้งความทรงจำที่งดงามไว้ที่นี่มากมาย
ในตอนนี้ทะเลสาบชิงเฟิ่งอันงดงามถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจยึดครอง ไม่ว่าจะในทะเลสาบ, ท่ามกลางต้นกกริมฝั่งหรือรอบๆทะเลสาบ…มีสัตว์อสูรแปลกๆอยู่ทุกหนแห่ง แม้ว่าสัตว์อสูรตนเดียวจะดูไม่น่ากลัว แต่เมื่อพวกมันมารวมกันหลายหมื่นตนมันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนพลังที่น่ากลัวของพวกมันเอาไว้ได้
เผ่าพันธุ์เงือก!
มันเป็นเผ่าพันธุ์พิเศษพวกมันมีความสูงอย่างน้อยหกเมตรและผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าพันธุ์เงือกสูงถึงยี่สิบถึงยี่สิบสามเมตร พวกมันเป็นเหมือนยักษ์ที่แผ่ความแข็งแกร่งออกมา
พวกมันดูเหมือนมนุษย์มากพวกมันมีขามีแขนมีตา หู จมูก แม้แต่ตัวเมียก็ยังมีหน้าอก ส่วนตัวผู้ก็มีอวัยวะเพศชายห้อยลงมาซึ่งมันน่ากลัวมาก
เผ่าพันธุ์เงือกนั้นเป็นครึ่งเผ่าพันธุ์ปีศาจและปกติแล้วพวกมันจะไม่สามารถสวมเสื้อผ้าได้แต่พวกมันก็มีเกล็ดอยู่บนร่างกายซึ่งเกล็ดนั้นหนาแน่นปกคลุมทุกตารางนิ้วของร่างกายพวกมันเอาไว้ มือและขาของพวกมันต่างจากมนุษย์เช่นกัน พวกมันมีครีบระหว่างเท้าที่ใหญ่เป็นพิเศษซึ่งทำให้พวกมันเคลื่อนที่ในน้ำได้อย่างรวดเร็ว แต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกับพวกมันเมื่อขึ้นมาบนบก
แขนของพวกมันยาวมากและมีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงอย่างน่ากลัวส่วนนิ้วมือของพวกมันก็มีครีบเล็กๆเช่นกัน ฝ่ามือและปลายนิ้วมีหนามแหลมออกมาซึ่งมันเปล่งประกายสีเขียวเข้มและดูน่ากลัว
ไม่ควรมีใครดูถูกหนามแหลมคมเหล่านี้เพราะมันมีพิษและยิ่งเงือกตนนั้นแข็งแกร่ง พิษก็จะยิ่งน่ากลัวกว่าเดิม หากผู้ใดก็ตามที่ถูกแทงด้วยหนามจากเงือกระดับราชันปีศาจ แม้แต่ชิงหยีเองก็อาจจะตายภายในไม่กี่สิบลมหายใจ
ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าสมาชิกของเผ่าพันธุ์เงือกนั้นมีการป้องกันที่ไม่ธรรมดาเกล็ดบนร่างกายของพวกมันแทบจะไม่แตกสลายไปและมันก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ว่าทำไมเผ่าพันธุ์เงือกจึงยังคงอยู่หลังจากได้ต่อสู้กับทวีปเฟิ่งหมิงมานานหลายหมื่นปี แน่นอนว่าอัตราการแพร่พันธุ์ที่รวดเร็วของเผ่าพันธุ์เงือกก็มีส่วนด้วยเช่นกัน
“เฮ้ออ…”
ใต้ยอดเขาทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบชิงเฟิ่งมีเสียงถอนหายใจที่แผ่วเบาดังก้องอยู่ในอากาศ จำนวนของเงือกที่ประจำการอยู่ที่นั่นไม่สามารถบอกจำนวนได้แต่พวกมันมีอยู่ราวๆพันตน แต่ร่างกายและกลิ่นอายของพวกมันนั้นแข็งแกร่งกว่าเงือกตนอื่นๆที่คอยประจำการอยู่ที่อื่น หากผู้ใดตรวจสอบที่นี่ พวกเขาจะต้องประหลาดใจอย่างแน่นอน เพราะมีราชันปีศาจมากกว่าสิบตนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่
สิ่งที่น่าประหลาดใจคือราชันปีศาจนับสิบตนเหล่านี้ล้อมรอบมนุษย์คนเดียวเอาไว้บุคคลนั้นดูเหมือนมนุษย์และเขาสวมชุดเกราะต่อสู้สีเขียว เขาดูคล้ายกับชายวัยกลางคนธรรมดาที่อายุราวๆสี่สิบปี มีแค่ความต่างจากมนุษย์เพียงอย่างเดียวคือลูกตาของเขาเป็นสีเขียว เสียงถอนหายใจที่ดังก้องไปทั่วท้องฟ้านั้นมาจากเขาผู้นี้
“ตอนนี้จักรพรรดิอสูรชืออยู่ไหนกัน?”
หลังจากที่ถอนหายใจสายตาของเขาก็หันไปมองราชันปีศาจที่อยู่ข้างๆเขา มันก็มีดวงตาสีเขียวขนาดยักษ์เช่นกันและกระพริบตาขณะที่เสียงอันไร้อารมณ์ของมันก็ดังก้องไปทั่ว “เรียนจักรพรรดิ มีรายงานมาว่าจักรพรรดิอสูรชือออกไปยังทะเลลึกแล้วและเขาอยู่ใกล้กับอาณาเขตของหยีเฟ่ยพะยะค่ะ”ไอรีนโนเวล
“บ้าชิบ!”
จักรพรรดิอสูรเงือกสาปแช่งอยู่ภายใต้ลมหายใจของเขาและรูม่านตาสีเขียวของเขาก็กระพริบอย่างไม่หยุดหย่อนไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากจะขยี้เมืองชิงเฟิ่งลงไปกองกับพื้นและบีบบังคับนังชั่วเฟิ่งหลวนมาอยู่แทบเท้าเขาหรอก แต่มันเป็นเพราะว่าเขาไม่มีพลังอำนาจมากพอที่จะทำเช่นนั้นได้
เขาไม่ได้ถือว่าเป็นผู้ที่ทรงพลังมากและเมื่อเป็นการสู้ตัวต่อตัวเขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฟิ่งหลวน เมื่อร้อยปีก่อน เขาได้ต่อสู้กับแม่ของเฟิ่งหลวนและเขายังคงมีความกลัวต่อรูปแบบเต๋าราตรีของตระกูลเฟิ่งอยู่
เมื่อจักรพรรดิอสูรชือตกลงที่จะช่วยเขาเขาก็ตื่นเต้นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้และความปรารถนาอันแรงกล้าก็เต็มเปี่ยมไปหมดแล้ว จักรพรรดิอสูรชือเป็นหนึ่งในห้าอันดับจักรพรรดิอสูรผู้แข็งแกร่งในทะเลบูรพาเวิ้งว้าง พละกำลังของเขานั้นสามารถทะลวงสวรรค์ได้!
แต่จักรพรรดิอสูรชือก็เคลื่อนไหวเพียงไม่กี่ครั้งและเมื่อเฟิ่งหลวนปรากฏตัวขึ้นมาเขาก็ปฏิเสธที่จะลงสู่สนาม เขามองดูการนองเลือกระหว่างเผ่าพันธุ์เงือกและทวีปเฟิ่งหมิงอยู่ข้างสนามเท่านั้น
หลังจากที่ลูกชายของจักรพรรดิอสูรชือถูกสังหารเขาก็โกรธมากจนถึงจุดที่สามารถทำให้ทะเลบูรพาเวิ้งว้างลุกเป็นไฟได้ หลังจากที่ได้กวาดล้างเมืองสามสิบเมืองในทวีปเฟิ่งหมิงและสังหารพลเมืองไปหลายหมื่นคน เขาก็ได้ระบายความคับแค้นใจออกมาซึ่งมันก็ทำให้เขาสงบลงได้
ผู้ที่สามารถทะลวงไปสู่จักรพรรดิอสูรได้นั้นไม่ได้โง่เขลาสมองของพวกเขาถือว่าดีกว่าเดิมมากหลังจากที่มีร่างมนุษย์ มันไม่สำคัญว่าผู้ที่สังหารลูกชายของเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญทวีปเฟิ่งหมิงหรือไม่และมันก็เพียงพอแล้วที่เขาจะลงมือเพียงไม่กี่ครั้ง หากเขากลายเป็นเครื่องมือให้เผ่าพันธุ์เงือก เขาก็คงจะเป็นคนปัญญานิ่มจริงๆ
ใครคือผู้ที่ครองโลก?!
พวกมนุษย์!
มันเป็นความจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เขาเป็นปีศาจทะเล แม้ว่าเขาจะหลอมร่างมนุษย์แล้วแต่เขาก็ยังต้องอยู่ในทะเลไปตลอดชีวิต แม้ว่าเขาจะสามารถพิชิตทวีปเฟิ่งหมิงได้ แต่เขาก็ไม่ได้ครอบครองส่วนใดส่วนหนึ่งของทวีปนี้
เผ่าพันธุ์มนุษย์มียอดฝีมือมากมายนับไม่ถ้วนในตอนที่เผ่าพันธุ์ปีศาจเขายึดครองทวีปเฟิ่งหมิง พวกมันจะได้รับความเดือดดาลจากเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างแน่นอน และในตอนนั้น ยอดฝีมือของเผ่าพันธุ์มนุษย์จะปรากฏตัวขึ้นมาและสำหรับจักรพรรดิอสูรชือเอง เขาก็คงจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลย
ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิอสูรชือจึงตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขาจะเฝ้ามองเผ่าพันธุ์เงือกต่อสู้กับทวีปเฟิ่งหมิง และเขาจะปรากฏตัวในช่วงสุดท้ายเพื่อเจรจาต่อรองกับเฟิ่งหลวนและขอให้นางมอบผู้ที่สังหารลูกชายเขามา
จักรพรรดิอสูรเงือกเข้าใจกระบวนการคิดของจักรพรรดิอสูรชือแต่เขาอ่อนแอกว่าจักรพรรดิอสูรชือมาก เขาต้องกลัวเป็นธรรมดาอยู่แล้วที่จะมาคอยบังคับให้จักรพรรดิอสูรชือต่อสู้เพื่อเขา หากไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆจากจักรพรรดิอสูรชือ เขาเองก็ไม่กล้าที่จะต่อสู้กับเฟิ่งหลวน ซึ่งนี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาชะงักอยู่นอกเมืองชิงเฟิ่ง
และเขาก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้น!
จู่ๆก็มีผู้เชี่ยวชาญปรากฏตัวขึ้นในทะเลตะวันตกมันเป็นเหตุผลที่ทำให้จักรพรรดิอสูรชือรีบไปจากที่นี่อย่างกะทันหันขณะที่ผู้เชี่ยวชาญผู้นั้นกำลังวนเวียนไปรอบๆพร้อมแบกลูกชายสุดที่รักของเขาเอาไว้ที่หลัง
พวกเขาควรจะต่อสู้ต่อไปหรือควรจะล่าถอยเพื่อกลับไปฟื้นกำลังดี?หรือพวกเขาควรจะรอจักรพรรดิอสูรชือกลับมาก่อนแล้วค่อยสู้ใหม่ดี?
จักรพรรดิอสูรเงือกจมอยู่ในห้วงความคิดสนามรบหลายๆแห่งเริ่มส่งข้อความมาว่ากำลังเสริมของทวีปเฟิ่งหมิงมาแล้วและกองทัพเงือกกำลังประสบกับความสูญเสียอย่างหนัก สมาชิกในเผ่าพันธุ์ของพวกเขานับไม่ถ้วนกำลังตายอยู่ทุกนาทีและหากพวกเขายังคงสู้ด้วยกำลังทั้งหมด มันก็อาจเลยเถิดไปไกล และทั้งสองฝ่ายก็จะไม่มีฝ่ายใดอยู่เหนือฝ่ายใด
“หยีถู!”
จักรพรรดิอสูรเงือกรู้สึกไม่สบายใจเขาลุกขึ้นยืนและสั่งว่า “ส่งคำสั่งข้าลงไป หยุดการโจมตีทั้งหมด และให้เด็กๆถอยกลับมาร้อยกิโลเมตร เราจะสู้เมื่อจักรพรรดิอสูรชือกลับมา!”
“พะยะค่ะ!”
ราชันปีศาจเผ่าพันธุ์เงือกยืนขึ้นและพุ่งไปทางเหนือเขาเร็วมากและหายไปในพริบตา
ตูม!
แต่ทว่า!
เสียงระเบิดดังมาจากทางเหนือมันเป็นที่ที่ราชันปีศาจกำลังลับไปและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งมาก สมาชิกของเผ่าพันธุ์เงือกที่นั่นได้ถูกทำลายไปและพวกมันก็วิ่งไปทั่วทุกสารทิศอย่างร้อนรน
“ฆ่า!”
เสียงร้องอันป่าเถื่อนดังออกมาขณะที่กองทัพมนุษย์พุ่งมาเหมือนน้ำจากเขื่อนที่กำลังแตกพวกเขาล้อมรอบทะเลสาบชิงเฟิ่งเอาไว้ขณะที่ร่างนับไม่ถ้วนลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
มีบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหน้าซึ่งสวมเสื้อคลุมห้าสีนางถือแส้สีเงินไว้ในมือและมีมงกุฏหยกอยู่บนศีรษะ ความงามของนางไม่สามารถปกปิดได้ แล้วนอกจากเฟิ่งหลวนแล้วจะมีผู้ใดอีก?
“นังหญิงชั่วตระกูลเฟิ่งลงมือก่อนเองจริงๆ?”
จักรพรรดิอสูรเงือกตกตะลึงทวีปเฟิ่งหมิงอยู่ใต้ความกดดันเป็นอย่างมากจากการโจมตีของเขา แล้วตอนนี้เฟิ่งหลวนก็กล้าที่จะลงมือโจมตีก่อน?!
แววตาที่น่ากลัวและร้อนรุ่มปรากฏขึ้นในดวงตาของเขาขณะที่ร่างของเขาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าเสียงคำรามก็ดังสนั่นไปทั่วท้องฟ้า “เด็กๆ เตรียมพร้อม! รอให้ข้าจัดการนังชั่วตัวตระกูลเฟิ่งนี่ก่อน แล้วข้าจะส่งนางให้พวกเจ้าทุกคนปู้ยี่ปู้ยำได้ตามใจชอบ!”
…