เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 555-556
บทที่ 555 สิ่งที่สำคัญที่สุด ตัวตนข้างในและความตั้งใจเดิม
ความคิดของเจียงอี้นั้นแล่นพล่านไปทั่วแต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้ออกไปเพราะฟ้าร้องและฝนกำลังใกล้เข้ามาแล้วเฟิ่งหลวนและชิงหยีเองก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าของพวกนางและรีบกลับเข้าไปในกระโจม
แปะแปะ ซ่า!
ฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักและกระทบลงสู่กระโจมฟ้าคะนองในทะเลราตรีสีเลือดนั้นแปลกประหลาดนักเพราะมันผ่าลงไปที่ทะเลเพียงอย่างเดียวแต่ไม่ผ่าลงมาที่เกาะจึงทำให้เจียงอี้และคนอื่นๆอยู่บนเกาะได้อย่างปลอดภัยในคืนนี้
กระโจมของพวกเขานั้นคุณภาพดีจริงๆแม้ว่าจะไม่มีอาคมยับยั้งใดๆแต่ก็ยังคงอยู่ท่ามกลางพายุฝนฟ้าคะนองได้และภายในกระโจมก็อบอุ่นราวกับอยู่ในฤดูใบไม้ผลิ
เจียงอี้หยุดคิดเรื่องอย่างว่าและเขารู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยจึงนั่งกินปลาย่างและลิ้มรสไวน์ของเขา
“อ้อใช่แล้ว!”
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงคนในราชวังจักรพรรดิเหล่านั้นจากนั้นเขาจึงเอาราชวังจักรพรรดิออกมาและใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ตรวจสอบภายในและพบว่าเจียงเสี่ยวนู๋, หยุนเฟย, จ้านอู๋ซวงและเฉียนว่านก้วนต่างก็เข้าสู่สันโดษและจิ้งจอกน้อยก็หลับใหลมานานแล้วซึ่งทำให้เขาสงสัยว่ามันเป็นอย่างไรเมื่อมันฝึกฝน เมื่อได้เห็นฉากนี้เจียงอี้ก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อย
เขาเก็บราชวังจักรพรรดิไปและกลับมานึกอีกครั้งว่าเขาควรจะไปทางไหนดีเขามีหลายสิ่งที่ต้องทำ เขาจะต้องไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาเพื่อช่วยซูรั่วเสวี่ยและตามหาอีเพียวเพียว เขาต้องการล้างแค้นให้เจียงเปี๋ยหลีและกำจัดโถงวรยุทธให้สิ้นซากด้วย
แต่เพื่อที่จะทำสิ่งเหล่านี้ได้เขาจะต้องเพิ่มความแข็งแกร่งก่อนนั่นหมายความว่าเขาจำเป็นต้องตามหาหญ้ามังกรยาจก แต่ทางเดียวที่จะพบหญ้ามังกรยาจกคือการไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพา
ดังนั้นมันก็เลยกลับไปยังคำถามเดิมอีกครั้งเขาจะต้องหาวิธีที่ปลอดภัยเพื่อไปยังจักรพรรดิบูรพาเสียก่อน
“ช่างมันเถอะ!คิดมากไปก็ไม่ช่วยอะไร ข้าก็แค่ผ่านทวีปไม่กี่ทวีปทางเหนือไปอย่างเงียบๆเพื่อไปทวีปจักรพรรดิบูรพาเท่านั้น”
เจียงอี้พึมพำอยู่ชั่วขณะและในที่สุดก็ตัดสินใจไปทางเหนือ
มันจะเสี่ยงมากถ้าหากเดินทางไปตามเส้นทางเดิมที่ผู้อาวุโสของทวีปเฟิ่งหมิงผ่านไปเขาอาจจะถูกทูตขอบเขตเทียนจุนจากโถงวรยุทธสังหารได้ แต่ถ้าไปทางใต้มันจะใช้เวลานานกว่ามากซึ่งอีเพียวเพียวบอกเอาไว้ว่าหยูเวินจะบอกวิธีที่จะพบนางได้ก็ต่อเมื่อเขาไปถึงขอบเขตจินกังขั้นสูงสุด ตอนนี้เขาก็อายุสิบแปดปีแล้ว ซึ่งเวลาสองปีนั้นไม่ใช่เวลาสั้นๆสำหรับเขา แต่มันก็ไม่ได้นานเช่นกัน
ทันทีที่เขาตัดสินใจว่าจะไปทางไหนเขาก็หยุดครุ่นคิดและโยนกระดูกปลาในมือเขาทิ้งไปจากนั้นก็เอาแผนที่ออกมาและตรวจดูอย่างละเอียด แต่เมื่อตรวจสอบทวีประหว่างเฟิ่งหมิงกับจักรพรรดิบูรพาแล้วเขาก็มีสีหน้าที่อึมครึมลง
ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปเฟิ่งหมิงคือทวีปสุริยันสว่างซึ่งพวกเขาได้ผ่านมันมาแล้ว
เพื่อที่จะไปยังทวีปจักรพรรดิบูรพาพวกเขายังต้องผ่านทวีปมนุษย์กลายพันธุ์, ทวีปเฟยหม่า, ทวีปจงอางและทวีปเงาทมิฬอีก
ทวีปมนุษย์กลายพันธุ์และทวีปจงอางนั้นไม่น่าเป็นกังวลมากเท่าใดนักสำหรับพวกเขาทั้งสองทวีปนั้นมีขนาดเล็กกว่าทวีปเทียนชิงเสียอีกและอาจไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนเลย และถึงแม้ว่าจะมีสักคนหนึ่งแต่พวกเขาก็จัดการกันได้อย่างง่ายดาย
แต่ที่พวกเขาต้องกังวลคือทวีปเฟยหม่าและทวีปเงาทมิฬโดยเฉพาะทวีปเฟยหม่าที่มีขนาดใหญ่เป็นสองเท่าของทวีปเฟิ่งหมิง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนอยู่ที่นั่นกี่คนกัน
การเดินทางข้ามทวีปเผ่าพันธุ์พิเศษนั้นมีความเสี่ยงมากเพราะพวกเขาจะถูกเจอง่ายมากและเมื่อถูกเปิดเผยตัวตน พวกเขาจะถูกมองว่าเป็นสายลับและถูกไล่ล่าจนกว่าจะตาย อย่างเช่นตอนที่เจียงอี้เข้าไปยังทวีปเฟิ่งหมิง เขาก็ถูกเจอตัวตั้งแต่ที่เขาก้าวเข้าสู่ทวีปนั้น
“มันเป็นเรื่องของโชคชะตาแล้วข้าจะไม่ลังเลอีกต่อไปและจะออกเดินทางไปยังทวีปมนุษย์กลายพันธุ์ในวันพรุ่งนี้!” เจียงอี้ตัดสินใจแล้ว จากนั้นเขาก็เก็บแผนที่ทันทีและนั่งขัดสมาธิเพื่อเข้าถึงศาสตร์เวทย์
แต่ในตอนนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆและเสียงนั้นถูกกลบไปด้วยเสียงพายุฝนด้านนอกเกือบหมด หากไม่ใช่เพราะความสามารถในการได้ยินอันทรงพลังของเขามันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้ยินเสียงนั้น
“เสียงอะไรน่ะ?”
เจียงอี้ขมวดคิ้วเขาไหลเวียนแก่นแท้พลังไปที่หูของเขาโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเสียงแปลกๆชัดเจนขึ้น ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างไปด้วยความตกใจ เขามองผ่านม่านกระโจมไปและจ้องไปยังกระโจมใกล้ๆ
เสียงมาจากกระโจมนั้นแม้ว่าระดับเสียงจะลดลงแต่มันก็ยังคชัดเจนสำหรับเจียงอี้ ซึ่งความสามารถในการฟังของเขาเพิ่มขึ้น และเสียงนั้นก็คือ….เสียงครางของหญิงสาว
เฟิ่งหลวนและชิงหยีเข้าไปในกระโจมด้วยกันแต่พวกนางยังไม่ออกมาและตอนนี้ก็มีเสียงดังออกมาจึงทำให้เจียงอี้รู้แล้วว่าพวกนางกำลังทำอะไรกันข้างในนั้นโดยไม่ต้องมองเลยด้วยซ้ำ
เฟิ่งหลวนและชิงหยีร่วมรักกันมานานแล้วซึ่งเจียงอี้รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วแต่เขาไม่คิดว่าพวกนางจะทำอนาจารกันในป่าเช่นนี้
อึกอึก!
เจียงอี้กลืนน้ำลายและนึกถึงฉากที่ชิงหยีทำเช่นเดียวกันกับสาวใช้ของนางเขาพยายามจินตนาการว่าตอนนี้ฉากในกระโจมของเฟิ่งหลวนและชิงหยีจะเป็นอย่างไร แต่เขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าไฟอันชั่วร้ายที่ลุกโชนกำลังบดขยี้ร่างกายของเขา ลิ้นของเขาแห้งเผือดและเขาก็รู้สึกกระหายน้ำมาก
เขาพยายามอย่างดีที่สุดที่จะควบคุมไม่ให้ตัวเองใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาแอบดูเหตุการณ์ภายในกระโจมแต่เมื่อความคิดลามกของเขาเข้ามาในหัวมันก็ยิ่งทำให้อดใจไม่ไหวยิ่งขึ้น
แม้ว่าเจียงอี้จะมีวินัยที่ดีและจิตใจของเขาก็มั่นคงและสงบมาโดยตลอดแต่เขาก็ยังคงบริสุทธิ์และอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องเช่นนี้เหมือนคนอื่นๆ การที่เจียงอี้ที่อายุสิบแปดปีแล้วแต่ยังสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้พุ่งเข้าไปในกระโจมในตอนนี้ได้ก็ถือว่าเขาเป็นคนที่ใจเย็นและมีวินัยมากกว่าคนอื่นๆแล้ว
บรึฟ!
ท้ายที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวเขาแผ่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์เข้าไปในกระโจมอย่างเงียบๆและเมื่อมองเข้าไปเขาก็ต้องสั่นสะท้าน
เขาคิดถูกแล้วเฟิ่งหลวนและชิงหยีกำลังร่วมรักกันอยู่ เขาเห็นพวกนางกำลังสวมกอดกันอย่างแนบแน่น แต่แทนที่พวกนางจะนอนลง พวกนางกลับยืนร่วมรักกัน ซึ่งมันทำให้เจียงอี้หลงใหลไปกับฉากที่งดงามเหล่านั้น แต่เวลาต่อมา เขาก็บังคับตัวเองและเรียกสัมผัสศักดิ์สิทธิ์กลับคืนมา เขารู้ว่าเขาจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไปหากเขายังคงดูฉากนั้นต่ออีกเพียงแค่เสี้ยววินาที
“ตามโบราณว่าไว้เจ้าสามารถพาม้าไปกินน้ำได้แต่ไม่สามารถบังคับให้มันดื่มได้ ข้าไม่ควรที่จะล่วงเกินผู้อื่นในตอนที่พวกนางไม่รู้ตัว ไม่เช่นนั้นข้าก็คงไม่ต่างจากสัตว์ป่า ข้าจะต้องจำสิ่งที่สำคัญที่สุด ตัวตนข้างในและความตั้งใจเดิมของข้า….”
เจียงอี้พึมพำกับตัวเองและสูดหายใจเฮือกใหญ่จนในที่สุดเขาก็สงบนิ่งลงได้ไม่กี่นาทีต่อมา เขาก็เริ่มนั่งขัดสมาธิและเข้าสู่สมาธิ
ใช่แล้ว!
หากตอนนี้เขาจะเข้าไปที่กระโจมนั้นและออกคำสั่งเฟิ่งหลวนและชิงหยีก็จะทำตามสิ่งที่เขาพูดและตอบสนองความต้องการของเขาอย่างแน่นอน จากนั้นเขาก็จะได้เพลิดเพลินไปกับพวกนางและร่วมรักกับพวกนางได้
แต่เขาก็รู้ดีว่าแม้ว่าเฟิ่งหลวนและชิงหยีจะไม่ได้เกลียดชังเขาอีกต่อไปแต่พวกนางก็ยังคงมีความขัดแย้งอยู่ลึกๆในใจ พวกนางจะไม่มีวันตกหลุมรักเขาและมาหาเขาในเรื่องลามกเช่นนี้ด้วยตัวเอง
หากเขาไปบังคับพวกนางเช่นนั้นเขาก็ไม่ต่างไปจากสัตว์ป่าเลย
เขาอาจจะไม่ใช่คนดีแต่เขาก็รักษาสมดุลของตนเองเสมอการบังคับใจหญิงสาวให้เข้าหาเขานั้นมันต่ำกว่าบรรทัดฐานที่เขาวางเอาไว้ ถึงแม้ว่าพวกนางจะเป็นทาสวิญญาณของเขาก็ตามที
ภายในกระโจมอีกหลัง,เฟิ่งหลวนและชิงหยีหยุดร่วมรักกันในเวลาเดียวกับที่สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้ออกไปจากกระโจมของพวกนาง ชิงหยีหน้าแดงและมองไปที่เฟิ่งหลวนอย่างมีเสน่ห์ “จักรพรรดินี นี่เราเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในอันตรายหรือเปล่าที่ทำเรื่องเช่นนี้ในป่าน่ะ? จะเป็นอย่างไรถ้าหากว่านายน้อยไม่สามารถควบคุมตัวเองได้และ….” ชิงหยีพูดออกมาด้วยความกังวล
ผมของเฟิ่งหลวนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อเรือนร่างที่งดงามของนางยังคงสั่นเทาเล็กน้อยและลมหายใจของนางที่ออกมามีกลิ่นราวกล้วยไม้ขณะที่นางกำลังหอบ นางกอดชิงหยีไว้แน่นและนิ่งไปสักพักจนในที่สุดนางก็พูดว่า “เราน่ะโชคดีแล้ว แม้ว่านายน้อยของเราจะหื่นกามเล็กน้อย แต่เขาก็ยังคงเป็นสุภาพบุรุษ ทายสิว่าเขากำลังทำอะไรอยู่? ฮิฮิ เขากำลังนั่งสมาธิและฝึกฝนตัวเองอยู่แหละ!”
“อ๊ะ?”
ชิงหยีอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจร่องรอยของความกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาที่งดงามของนางและนางก็รู้สึกซับซ้อน นางไม่คิดว่าเจียงอี้จะควบคุมตัวเองได้ดีขนาดนี้เพราะนางค่อนข้างมั่นใจว่านางพบสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเจียงอี้ภายในกระโจม แต่เนื่องจากเจียงอี้ไม่ได้เข้ามาในกระโจมของพวกนาง นั่นก็แปลว่าเขาเป็นผู้มีความชอบธรรมจริงๆ
“ฮิฮิ!เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ สาวน้อยของข้า?หืม อย่าบอกนะว่าอยากทำเรื่องอย่างว่ากับนายน้อยของเราน่ะ?”
เฟิ่งหลวนหัวเราะและหยอกล้อชิงหยีซึ่งทำให้นางรู้สึกอับอายและโกรธทันทีนางพลิกร่างของนางไปยังร่างของเฟิ่งหลวนและหัวเราะออกมา “หืม ข้าว่าท่านนั่นแหละที่ต้องการเขา ใช่ไหมล่ะจักรพรรดินีของข้า? ข้าควรจะส่งข้อความไปหานายน้อยของเราและบอกให้เขามาจับท่านไปลงโทษให้หนักเลยดีไหม? ไม่ใช่ว่านั่นเป็นสิ่งที่ท่านโหยหามาตลอดหรอกหรือ?”
ที่นอกกระโจมฝนกำลังตกหนักขึ้นเรื่อยๆและพายุฟ้าคะนองก็ยังคงดำเนินต่อไป ในขณะที่ภายในกระโจมนั้นยังอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ และฉากต่างๆก็ยิ่งน่าดึงดูดมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ
บทที่ 556 พลังที่แข็งแกร่งของเสี่ยวนู๋
พายุฝนตกอย่างต่อเนื่องทั้งคืนซึ่งเจียงอี้อยู่ในกระโจมเพื่อฝึกฝนศาสตร์เวทย์ตลอดทั้งคืนและตื่นลืมตาขึ้นมาในตอนเช้า
ส่วนเฟิ่งหลวนและชิงหยีกำลังนั่งหวีผมที่ริมทะเลพวกนางตื่นก่อนเขานานแล้วและเตรียมนกย่างไว้สำหรับอาหารเช้าซึ่งมันก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหารไปทั่วชายฝั่งทะเล หลังฝนตก อากาศมักจะสดชื่นและต้นไม้ก็เขียวขจีหลังจากที่ถูกพายุฝนพัดมาตลอดทั้งคืน ลมทะเลที่พัดเบาๆ, ทิวทัศน์ที่ดูผ่อนคลาย, งดงามและเต็มไปด้วยความสงบ
บรึฟ!
ร่างของเจียงอี้เปล่งประกายไปด้วยแสงสีขาวและชั้นอากาศรอบๆก็มารวมตัวกันอย่างรวดเร็วในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ภาพร่างของเจียงอี้ก็ปรากฏขึ้นมาจำนวนหนึ่งและจากนั้นก็บินลับหายไปทั่วทุกสารทิศทันที
“หืม?”
เสียงที่ดังขึ้นมาได้ดึงดูดความสนใจของเฟิ่งหลวนและชิงหยีทั้งคู่ใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์ในการตรวจสอบภาพเหล่านั้นและต้องตกใจเมื่อพบว่าพวกนางทั้งคู่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าร่างไหนคือตัวจริงของเจียงอี้ พวกนางอ้าปากค้างเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจและทำให้พวกนางดูสนใจมากกว่าเดิม
พลุ่บพลุ่บ พลุ่บ!
ภาพเหล่านั้นหายไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้ในการเดินทางที่ไกลกว่าสิบสิบกิโลเมตรภายในกระโจม, เจียงอี้ลืมตาขึ้นมาอย่างพึงพอใจ เขาได้เข้าใจร่างจำแลงคณานับเมื่อไม่นานมานี้และค่อยๆคืบหน้าอย่างช้าๆ จน ณ ตอนนี้เขาสามารถสร้างร่างได้ประมาณโหลหนึ่งแล้ว และถึงแม้ว่าร่างนั้นจะไม่ได้มากมายแต่อย่างน้อยมันก็พอที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามสับสนเมื่อเขาโจมตีหรือวิ่งหนีเอาชีวิตรอดได้
บรึฟ!
ไข่มุกวิญญาณเพลิงของเขาเปล่งประกายขึ้นมาและราชวังจักรพรรดิก็ปรากฏขึ้นในมือเขาเขาใช้สัมผัสศักดิ์สิทธิ์มองเข้าไปข้างในและพบว่าเจียงเสี่ยวนู๋ออกจากสันโดษแล้วและกำลังนั่งอยู่นอกราชวังอย่างว่างเปล่า ซึ่งใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความร่าเริงในทันที
เจียงอี้เทแก่นแท้พลังส่วนหนึ่งเข้าไปในราชวังจักรพรรดิอย่างรวดเร็วและเมื่อราชวังจักรพรรดิทอแสง วินาทีต่อมา สาวน้อยที่งดงามก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขา เจียงเสี่ยวนู๋มองไปรอบๆอย่างสับสนและตะโกนออกมาด้วยความดีอกดีใจเมื่อนางพบเจียงอี้ “นายน้อย!”
“เสี่ยวนู๋!”
เจียงอี้จับแขนของเสี่ยวนู๋และบีบจมูกนางพร้อมกับพูดว่า“เจ้าออกสู่สันโดษแล้วหรือ? การบ่มเพาะพลังเจ้าเป็นเช่นไรบ้าง?”
เจียงเสี่ยวนู๋แลบลิ้นออกมาและพูดอย่างไร้เดียงสา“ข้าไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่นักน่ะเจ้าค่ะ หลังจากฝึกฝนมานาน ศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ขนนกสีหมึกของข้าไปถึงเพียงจุดสูงสุดของขั้นแรกเท่านั้นเองเจ้าค่ะ แถมข้ายังต้องฝึกขั้นที่สองด้วยแต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจมันอยู่ดี ข้าก็เลยหยุดบ่มเพาะพลังน่ะเจ้าค่ะ”
“เจ้าไปถึงจุดสูงสุดของขั้นแรกแล้วหรอ?”
ดวงตาของเจียงอี้สว่างไสวขึ้นแค่ตอนที่นางแปลงกายครั้งแรกนางก็สามารถฉีกเถาวัลย์ดารามารได้อย่างง่ายดาย แล้วเมื่อตอนนี้นางไปถึงจุดสูงสุดของขั้นแรกแล้ว ในตอนนี้เจียงอี้คิดว่าฝีมือนางคงยอดเยี่ยมขึ้นมากแน่ๆ เขาไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าหากนางทะลวงสู่ขั้นที่สองได้แล้วนางจะทรงพลังเพียงใด
“เสี่ยวนู๋ตอนนี้เจ้ามีพลังขนาดไหนแล้ว? นี่เจ้าอยู่ระดับเดียวกับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดเลยหรือเปล่า? หรือไปขอบเขตเทียนจุนแล้ว?” เจียงอี้ถามอย่างตื่นเต้น
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”เจียงเสี่ยวนู๋ส่ายหัว วิธีการบ่มเพาะพลังของนางนั้นต่างจากทวีปนี้โดยสิ้นเชิงเฉกเช่นเดียวกับเจียงอี้ ดังนั้นนางจึงไม่สามารถเปรียบเทียบมันได้
ตึกตึก ตึก!
เฟิ่งหลวนและชิงหยีกำลังเดินไปทางที่เจียงอี้อยู่ดวงตาของเจียงเสี่ยวนู๋ก็เย็นชาเมื่อนางได้ยินเสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นมา นางมองออกไปด้านนอกและประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อสบตากับเฟิ่งหลวนและพวกนางทั้งสามก็แทบจะเป็นปรปักษ์กันในทันทีที่พบกัน
“นางคือใครเจ้าคะนายน้อย?”
“นายน้อยพวกนางเป็นใครเจ้าคะ?”
ชิงหยีและเจียงเสี่ยวนู๋ถามออกมาในเวลาไล่เลี่ยกันและทั้งคู่ก็ตื่นตัวและเขม่นใส่กันพวกนางต่างก็คิดว่าเจียงอี้เป็นแค่นายน้อยของพวกนางแต่ละคนเท่านั้น
“ฮ่าฮ่า!”
เจียงอี้ยิ้มออกมาเล็กน้อยและไม่ได้อธิบายอะไรจากนั้นเขาก็หันไปหาเฟิ่งหลวนและพูดว่า “เฟิ่งเอ๋อร์ เจ้าปล่อยเกราะม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าหน่อย! เสี่ยวนู๋ เจ้าลองแปลงกายและโจมตีไปที่เฟิ่งเอ๋อร์ที!”
บรึฟ!
ฟึ่บ!
เฟิ่งหลวนไม่กล้าขัดคำสั่งของเจียงอี้และปล่อยเกราะม่านพลังของนางทันทีส่วนเจียงเสี่ยวนู๋ก็แปลงกายทันทีโดยที่นางไม่สงสัยในคำสั่งของเจียงอี้เลย เสื้อผ้าที่หลังของเจียงเสี่ยวนู๋ฉีกขาดออกจากกันและมีปีกอันมหึมาของนางสยายออกมา นางกลายเป็นลำแสงสีเขียวและพุ่งไปยังเฟิ่งหลวน เพียงพริบตา นางก็มาอยู่ตรงหน้าเฟิ่งหลวนแล้ว เมื่อชิงหยีมองไปยังกรงเล็บที่แหลมคมของนาง ชิงหยีก็เกิดรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา
ปุ้งงง!
เกราะม่านพลังที่แข็งแกร่งมากพอที่จะต้านทานการโจมตีของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังได้แตกออกอย่างง่ายดายราวกับพลาสติกเมื่อกรงเล็บอันแหลมคมของเจียงเสี่ยวนู๋ข่วนมาโดยที่ไม่ได้ใช้ความแรงมากเกินไปจากนั้นกรงเล็บของเจียงเสี่ยวนู๋ก็พุ่งไปยังใบหน้าของเฟิ่งหลวนราวกับมือที่คอยช่วงชิงวิญญาณของจ้าวแห่งความตาย
ฟรึ่บ!
เฟิ่งหลวนไม่ได้ตกใจอะไรนางแตะพื้นด้วยขาข้างเดียวและบินถอยหลังกลับมา ในเวลาเดียวกันนางก็เปล่งแสงสีดำออกมาจากฝ่ามือและกำลังจะปลดปล่อยรูปแบบเต๋าราตรีออกมาเพื่อโจมตีเจียงเสี่ยวนู๋
และในตอนนั้นเองชิงหยีก็กลับมามีสติและพุ่งไปที่เจียงเสี่ยวนู๋พร้อมกับเปล่งแสงสีทองออกมาจากหว่างคิ้วของนางและกำลังจะโจมตีเสี่ยวนู๋ แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีเสียงตะโกนดังขึ้นมา “เอาล่ะ พอได้แล้ว! ทุกคนหยุดซะ! เสี่ยวนู๋ คืนร่าง!”
ฟรึ่บ!
เจียงเสี่ยวนู๋คืนร่างกลับทันทีขณะที่เฟิ่งหลวนก็หยุดปล่อยรูปแบบเต๋าราตรีและแสงสีทองที่หว่างคิ้วของชิงหยีก็หายไปและนางก็รีบวิ่งไปหาเฟิ่งหลวน
เจียงอี้มองไปที่เจียงเสี่ยวนู๋ด้วยความเอ็นดูและความสุขบนใบหน้าของเขาเจียงเสี่ยวนู๋มีพลังที่น่ากลัวนัก ความเร็วของนางเร็วกว่าชิงหยีและเขามาก นางแทบจะเทียบเท่ากับตู๋กูฉิวเลยด้วยซ้ำ การจู่โจมของนางเองก็บ้าพลังมากเช่นกัน นางสามารถทำลายเกราะม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างง่ายดาย
“เสี่ยวนู๋เจ้ากลับไปเปลี่ยนชุดก่อนเถอะ”
เจียงอี้ลูบหัวเสี่ยวนู๋และนางก็ทำตามคำพูดของเขาและเข้าไปในกระโจมจากนั้นเจียงอี้ก็เรียกเฟิ่งหลวนและชิงหยีมาข้างหน้าเขาและยิ้มอย่างมีความสุขพร้อมกับถามว่า “เฟิ่งเอ๋อร์ ชิงหยี ความแข็งแกร่งของน้องสาวตัวน้อยของข้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“น้องสาวตัวน้อย?”
เฟิ่งหลวนและชิงหยีต่างก็ตกตะลึงเจียงอี้และน้องสาวของเขาไม่ใช่คนธรรมดา เฟิ่งหลวนขบคิดอย่างจริงจังและตอบว่า “ความสามารถในการต่อสู้โดยรวมของนางนั้นน่าจะเป็นผู้ที่เหนือที่สุดในขอบเขตจินกัง แต่หากว่านางสามารถลอบโจมตีได้ นางจะสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนธรรมดาได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวเจ้าค่ะ”
ดวงตาของชิงหยีเป็นประกายไปด้วยความกลัวและนางไม่คิดเป็นศัตรูกับเจียงเสี่ยวนู๋อีกต่อไปนางคือน้องสาวของเจียงอี้ เมื่อเห็นว่าเจียงอี้ดูแลเจียงเสี่ยวนู๋อย่างไรนางก็เห็นแล้วว่าเขารักน้องสาวของเขามากเพียงใด หากนางทำให้เจียงเสี่ยวนู๋ขุ่นเคืองใจ เจียงอี้คงจะโกรธและลงโทษนางอย่างแน่นอน
แต่แน่นอนว่านางก็ชื่นชมความแข็งแกร่งของเจียงเสี่ยวนู๋อย่างใจจริงตอนที่เจียงเสี่ยวนู๋โจมตีออกมา นางไม่ได้รวดเร็วพอที่จะต้านการโจมตีของเสี่ยวนู๋ หากการโจมตีนั้นเกิดขึ้นกับนาง ในตอนนี้นางก็อาจจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ
ตึกตึก ตึก!
เจียงเสี่ยวนู๋เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จและออกมาจากกระโจมนางเปลี่ยนเป็นชุดลายดอกไม้สีเขียวมรกตซึ่งมันทำให้นางดูสดใสและอ่อนหวานมากขึ้นควบคู่กับร่างอันบอบบางและใบหน้าที่งดงามของนาง นางยิ่งมีเสน่ห์และน่ารัก และนางก็เมินเฉยต่อเฟิ่งหลวนและชิงหยี
“นายน้อยตอนนี้เราอยู่ที่ใดกันเจ้าคะ?”
เฟิ่งหลวนและชิงหยีสบตากันและทั้งคู่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องเหตุใดเจียงเสี่ยวนู๋จึงได้เรียกเขาว่านายน้อยหากว่านางเป็นน้องสาวของเขา? ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกนางทั้งสองเห็นว่าในแววตาของเจียงเสี่ยวนู๋ยามที่มองเจียงอี้มันไม่ใช่ความรักแบบที่น้องสาวจะมีต่อพี่ชายอย่างแน่นอน แต่มันเป็นแววตาของความรักและความชื่นชอบที่หญิงสาวมีต่อคนรักของนาง
“ที่นี่คือทะเลราตรีสีเลือดน่ะ”
เจียงอี้ลูบหัวเสี่ยวนู๋และโบกมือพร้อมพูดว่า“เฟิ่งเอ๋อร์ ชิงหยี มาทานอาหารเช้าด้วยกันเถอะ เราจะเริ่มเก็บข้าวของและจากนั้นก็ออกเดินทางกัน เราจะไปยังทวีปมนุษย์กลายพันธุ์กันก่อน เดี๋ยวข้าจะอธิบายให้เจ้าฟังทีหลังนะเสี่ยวนู๋ และในเมื่อตอนนี้เจ้ายังบ่มเพาะพลังไม่ได้ เช่นนั้นก็อยู่ข้างนอกนี่ไปก่อน การอยู่ในราชวังจักรพรรดิคงทำให้เจ้าเบื่อแย่”
“เย้!นายน้อยยอดเยี่ยมที่สุด!” เสี่ยวนู๋เริงร่าอย่างมีความสุข ดวงตาของนางหยีราวกับจันทร์เสี้ยวขณะที่นางกำลังยิ้มแย้ม
เจียงอี้ก็เลยบีบจมูกนางอีกครั้งโดยที่ไม่รู้ตัวซึ่งการที่ร่างของพวกเขาใกล้ชิดกันและสายตาที่เต็มไปด้วยความห่วงแหนของเจียงอี้นั้นได้ทำให้ชิงหยีและเฟิ่งหยวนรู้สึกอึดอัดและไม่สบายใจ และยังรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยด้วยซ้ำ
ความรู้สึกหึงหวงนี่มาจากที่ใดก็ไม่รู้แต่มันเกิดขึ้นกับพวกนางจริงๆ และหลังจากนั้นไม่นานพวกนางก็ตั้งสติขึ้นมาและมองหน้ากันอย่างแปลกใจปนเขินอาย
เกิดอะไรขึ้นกับพวกนางกัน?ไม่ใช่ว่าพวกนางเกลียดชังผู้ชายทุกคนตั้งแต่ยังเด็กหรอกหรือ? แล้วในตอนนี้พวกนางกลับรู้สึกหึงหวงชายผู้หนึ่งได้อย่างไรกัน?
…