เพลิงพิโรธสวรรค์ Fury towards the burning heaven - บทที่ 557-558
บทที่ 557 รูปแบบเต๋าธาตุอัคคี
สัตว์อสูรหยาจื้อออกเดินทางต่ออีกครั้งแต่คราวนี้เจียงอี้ไม่สามารถทำตัวเป็นดั่งใต้เท้าได้อีกต่อไปเมื่อเจียงเสี่ยวนู๋อยู่ด้วย เขานั่งขัดสมาธิอยู่กับเจียงเสี่ยวนู๋ที่ด้านหน้า ส่วนเฟิ่งหลวนและชิงหยีก็นั่งคุยกันอย่างลับๆ
เจียงอี้อธิบายให้เจียงเสี่ยวนู๋ฟังว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นในทะเลบูรพาเวิ้งว้างและที่ทวีปเฟิ่งหมิงเขาไว้หน้าเฟิ่งหลวนและชิงหยีมากแล้วเพราะเขาไม่ได้บอกว่าพวกนางเป็นทาสวิญญาณแต่บอกว่าพวกนางสมัครใจมากับเขาซึ่งทำให้เฟิ่งหลวนและชิงหยีขอบคุณสำหรับเรื่องนั้น แต่พวกนางก็รู้สึกละอายเช่นกัน
เจียงเสี่ยวนู๋นั่งข้างๆเจียงอี้และฟังอย่างตั้งใจเมื่อเจียงอี้เล่าไปถึงตอนที่เขาถูกศัตรูไล่ล่า นางก็กำชุดของนางแน่นและสีหน้าของนางก็กลับกลายเป็นความกังวล และเมื่อได้ยินว่าเจียงอี้เข้าสู่สภาพพิลึก ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความยินดี และเมื่อเจียงอี้กำลังเล่าถึงวิธีที่พวกเขาสังหารจักรพรรดิเงือกที่ทะเลสาบชิงเฟิ่ง นางก็กำหมัดแน่นพร้อมกับสีหน้าที่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
“แม่หญิงเสี่ยวนู๋นี่น่ารักเสียจริง!ไม่น่าแปลกใจเลยที่นายน้อยเอาอกเอาใจนางมากๆ”
เมื่อมองไปที่ดวงตาที่ขี้สงสัยและไร้เดียงสาของเสี่ยวนู๋เฟิ่งหลวนก็ยิ้มจางๆและพูดกับชิงหยี ชิงหยีเองก็พยักหน้า ในตอนนี้นางชอบเสี่ยวนู๋มากเพราะนางนั้นบริสุทธิ์และไร้เดียงสาแต่ความแข็งแกร่งของนางนั้นทรงพลังมากซึ่งคงไม่มีผู้ใดที่จะไม่ชอบหญิงสาวที่บอบบางแต่มีพลังเช่นนี้
สัตว์อสูรหยาจื้อคอยบินไปข้างหน้าเรื่อยๆเสียงหัวเราะที่เหมือนระฆังเงินของเจียงเสี่ยวนู๋ดังก้องไปตามทางที่พวกเขากำลังเดินทางผ่านอยู่เรื่อยๆซึ่งมันทำให้อารมณ์ของเจียงอี้นั้นแจ่มใสขึ้น
ในตอนนี้เจียงอี้และคนของเขาอยู่ทางทิศตะวันออกของทวีปสุริยันสว่างพวกเขาได้เปลี่ยนทิศทางและบินไปทางเหนือตลอด ในช่วงกลางวันพวกเขาจะพยายามสำรวจอยู่ตลอดและเมื่อยามที่ท้องฟ้ากำลังจะมืด พวกเขาก็จะหาเกาะเพื่อพักผ่อนในยามกลางคืน มันเป็นโชคดีสำหรับพวกเขาเพราะพวกเขาอยู่แถบบริเวณทะเลน้ำตื้นซึ่งมีเกาะมากมายและไม่มีปีศาจทะเลระดับสูง ดังนั้นพวกเขาจึงมีเวลาที่สงบสุขอยู่หลายวัน
พวกเขาออกจากทวีปเฟิ่งหมิงมากว่าสิบวันแล้วและยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนจากโถงวรยุทธตามมาแต่พวกเขาก็ไม่ได้แปลกใจกับเรื่องนั้นเลย มันจะต้องใช้เวลาอยู่พักใหญ่กว่าเรื่องจะไปถึงประมุขโถงวรยุทธหลักและกว่าจะส่งผู้เชี่ยวชาญของเขาออกมา ยิ่งไปกว่านั้น ท้องทะเลยังกว้างใหญ่และไร้เขตแดน ไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนจะรวดเร็วเพียงใดหรือแม้ว่าพวกเขาจะเดินทางตลอดทั้งวันโดยไม่พัก แต่พวกนั้นก็คงจะไม่พบเจียงอี้นอกเสียจากว่าเจียงอี้นั้นจะโชคร้าย
…
ตูม!ตูม! ตูมม!
หลังจากที่บินมาได้สามวันเสียงที่กึกก้องก็ดังมาจากด้านหน้าของพวกเขาในช่วงเที่ยงวันของวันนี้ซึ่งมันทำให้เจียงอี้ตื่นขึ้นมาจากการฝึกฝนศาสตร์เวทย์ในทันทีและเมื่อเขามองไปรอบๆและพบว่าเฟิ่งหลวน,ชิงหยีและเสี่ยวนู๋ต่างก็มองไปทางทิศเหนืออย่างระมัดระวังและพวกนางก็ผ่อนคลายลงในไม่ช้า
เจียงอี้เงยหน้าขึ้นมามองและในไม่ช้าเขาก็ผ่อนคลายลงเช่นกันไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนใดมาสู้กันตรงหน้าพวกเขา มันมีเพียงภูเขาไฟระเบิดเท่านั้น ไกลออกไปไม่กี่ร้อยกิโลเมตร ภูเขาไฟขนาดใหญ่กำลังสั่นสะเทือนและปะทุลาวาร้อนออกมาซึ่งมันทำให้ท้องฟ้าเป็นสีแดงและมีควันสีขาวมากมายออกมาจากปล่องภูเขาไฟซึ่งกลิ่นภูเขาไฟระเบิดได้พัดผ่านมาทางพวกเขาพร้อมกับคลื่นลมที่ร้อนระอุ
“ช่างเป็นฉากที่น่าตะลึงจริงๆ!”
เจียงเสี่ยวนู๋กล่าวด้วยความกลัวนางไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน ดวงตาของนางเปล่งประกายไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นขณะที่มองไปยังภูเขาไฟที่กำลังระเบิด
เฟิ่งหลวนและชิงหยีไม่ได้สนใจภูเขาไฟมากนักพวกนางทั้งคู่ต่างมาจากชนชั้นสูงและเคยเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อนแล้ว แต่พวกนางรู้สึกไม่ชอบกับกลิ่นที่ถูกคลื่นภูเขาไฟส่งมาด้วย ”ไปกันเถอะ ไปกันเถอะ กลิ่นที่นี่มันแรงเกินไป” ชิงหยีพึมพำออกมา
“ฮ่าฮ่าเจ้ากลั้นหายใจเอาได้น่า! อสูรหยาจื้อ เข้าไปดูใกล้ๆกันเถอะ!”
เจียงอี้ไม่อยากทำให้เสี่ยวนู๋ผิดหวังที่กำลังเฝ้ามองการระเบิดของภูเขาไฟอย่างตื่นเต้นเขาจึงบอกให้สัตว์อสูรหยาจื้อเข้าไปใกล้ๆภูเขาไฟมากขึ้น
ควันมากมายปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าและมีลาวาปะทุออกมาจากปล่องภูเขาไฟอย่างต่อเนื่องและตกลงสู่พื้นผิวดินซึ่งมันเผาทำลายต้นไม้และพืชรอบๆนั้นทั้งหมดจากนั้นมันก็ปะทุสู่ทะเลซึ่งทำให้น้ำทะเลระเหยกลายเป็นไอสีขาวซึ่งค่อยๆลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า
น้ำทะเลรอบๆภูเขาไฟกำลังเดือดทำให้เหล่าปีศาจทะเลและสัตว์ทะเลนับไม่ถ้วนต่างรีบหนีออกไปอย่างร้อนรน
ส่วนสัตว์อสูรหยาจื้อกำลังลอยอยู่กลางอากาศและหยุดอยู่ห่างจากภูเขาไฟประมาณสามพันเมตรเจียงเสี่ยวนู๋นั้นตื่นเต้นมากเมื่อนางเห็นว่าลาวาปะทุออกมาจากปล่องภูเขาไฟอย่างไร “ว้าว ว้าวว!” นางตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น ดวงตาของนางงดงามราวกับดวงดาราและรอยยิ้มของนางก็หยาดเยิ้มราวกับดอกไม้ที่เบ่งบาน
เฟิ่งหลวนและชิงหยีต่างพากันกลั้นหายใจและไม่ได้มีท่าทีอะไรมากมายพวกเขาอยู่ห่างจากภูเขาไฟค่อนข้างมากและอุณหภูมิก็ไม่สูงมากเท่าไหร่นัก และการปะทุของภูเขาไฟก็เป็นเพียงการปล่อยฝุ่นออกมาในอากาศซึ่งทำให้เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนและพวกนางจะต้องหาที่ซักเสื้อผ้าในภายหลัง แต่อย่างไรเสีย พวกนางก็ไม่กล้าต่อต้านเจียงอี้อยู่ดี
“ฮ่าฮ่า!ทวีปมนุษย์กลายพันธุ์นั้นน่าตื่นเต้นกว่านี้อีก มีคนบอกไว้ว่าทุกคนที่นั่นเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ เจ้าไม่จำเป็นต้องฝึกฝนในเวลานี้หรอก อยู่กับข้านี่แหละ ข้าจะพาเจ้าออกไปดูโลกภายนอกเอง”
เจียงอี้ยิ้มและพูดกับเจียงเสี่ยวนู๋เขามีความสุขเมื่อเห็นเจียงเสี่ยวนู๋ยิ้ม นอกจากนี้ เขายังมองลงไปที่ภูเขาไฟและยอมรับว่าภูเขาไฟระเบิดนั้นเป็นฉากที่น่าตื่นเต้นโดยเฉพาะเมื่อมองดูจากด้านบน
ฟู่ฟู่!
ลาวาออกมามากขึ้นและไหลสู่น้ำทะเลรอบๆซึ่งทำให้ไอน้ำหนาขึ้นและกระจายไปทั่วทั้งภูมิภาคเมื่อมองต้นไม้ที่ถูกไฟไหม้บนพื้นดินและปีศาจทะเลที่กำลังหลบหนีไปอย่างเร่งรีบ เจียงอี้ก็รู้สึกประหลาดใจกับความน่ากลัวของธรรมชาติเหล่านี้
“ดั่งโบราณว่าไว้ประกายไฟเพียงเล็กน้อยสามารถทำให้ไฟลามไปทั่วทุ่งได้ ไฟนั้นช่างทรงพลังเสียจริง มันยังสามารถแผดเผาจักรพรรดิอสูรได้ด้วยซ้ำ…”
เจียงอี้รู้ดีถึงพลังของไฟเขาใช้มันมากมายเพื่อมากำจัดศัตรูนับไม่ถ้วน อย่างน้อยในทวีปเทียนชิงและเฟิ่งหมิง เขาก็ถือเป็นนักสู้อัคคีอันดับต้นๆ
“น่ากลัวใช่ไหมล่ะ?แน่นอน ไฟสามารถแผดเผาทุกสิ่งได้ มันสามารถเผาต้นไม้ใบหญ้า เปลี่ยนโลหะให้เป็นของเหลว และทำให้น้ำระเหยได้ ไฟนั้นเป็นองค์ประกอบธาตุที่โดดเด่นที่สุดในห้าธาตุ โลหะ, พฤกษา, วารี, อัคคีและปฐพี และมันยังเป็นธาตุที่น่ากลัวที่สุดด้วย มันสามารถทำลายทุกสิ่งได้แม้กระทั่งสวรรค์….”
ดวงตาของเจียงอี้กำลังพร่ามัวขณะที่กำลังคิดอยู่จากนั้นไม่นาน เขาก็ตัดสินใจที่จะหลับตาและขัดสมาธิ และจากนั้น ร่างกายของเขาก็ร้อนขึ้นและเปล่งแสงสีแดงออกมาเล็กน้อย
“หืม?”
การกระทำที่แปลกประหลาดของเจียงอี้ทำให้เฟิ่งหลวนและคนอื่นๆตกใจเมื่อเห็นว่าเจียงเสี่ยวนู๋ที่ตกตะลึงและกำลังจะตะโกนออกมา เฟิ่งหลวนก็ปิดปากนางเอาไว้และหยุดนางในทันที “แม่หญิงเสี่ยวนู๋อย่าตะโกนนะ! นายน้อยของเรากำลังจะเขาถึงรูปแบบเต๋าประเภทอัคคี หกาท่านปลุกเขาขึ้นมาในตอนนี้ ความพยายามทั้งหมดของเขาจะสูญเปล่า” เฟิ่งหลวนพูดกับนางเบาๆ
“โอ้”
เจียงเสี่ยวนู๋ปิดปากของนางอย่างรวดเร็วและไม่กล้าส่งเสียงใดๆชิงหยีที่ยืนอยู่ข้างๆเสี่ยวนู๋มองไปที่เจียงอี้ด้วยความประหลาดใจและชื่นชม เขาสามารถเข้าถึงมันได้เพียงแค่มองไปที่การระเบิดของภูเขาไฟ? การหยั่งรู้ของเขานั้นเกิดขึ้นง่ายดายนัก!
การเข้าใจรูปแบบเต๋ามันใช่เรื่องง่ายๆหรือ?
คำตอบนั้นคือไม่เลย สาเหตุที่ผู้คนมากมายติดอยู่ในขอบเขตเสินโหยวขั้นสูงสุดนั่นก็เป็นเพราะไม่สามารถเข้าใจรูปแบบเต๋าได้
มันไม่เพียงแต่จะต้องใช้พรสวรรค์เท่านั้นแต่ยังต้องอาศัยจิตวิญญาณเพื่อจุดประกายการนึกคิด หากไม่ได้มีโอกาสที่ดีๆและโชคที่ดี คนบางคนก็อาจจะไม่สามารถนึกได้ตลอดชีวิตแม้ว่าคนผู้นั้นจะมีพรสวรรค์ก็ตาม
ทั้งเฟิ่งหลวนและตัวนางเองยังเด็กอยู่นางอายุต่ำกว่ายี่สิบปีและเฟิ่งหลวนอายุเพียงยี่สิบต้นๆและทั้งสองคนก็มีพลังที่แข็งแกร่ง แต่ความแข็งแกร่งของพวกนางล้วนมาจากบรรพบุรุษของพวกนาง หากไม่มีชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณ ในตอนนี้พวกนางอาจจะไม่สามารถทะลวงสู่ขอบเขตจินกังก็ได้
พวกนางทั้งสองคนสามารถตรวจพบตันเทียนที่แปลกประหลาดในร่างกายของเจียงอี้ได้และพวกนางยังสัมผัสได้ถึงร่างกายที่ผิดปกติของเขาด้วยหรืออีกนัยหนึ่งคือพวกนางค่อนข้างแน่ใจว่าเจียงอี้ขัดเกลาศิลาสวรรค์มากมายแน่ๆ จริงๆแล้วพวกนางเองก็ขัดเกลาศิลาสวรรค์มากมายซึ่งมันทำลายร่างกายของพวกนางเองเช่นกัน
แต่พวกนางก็ไม่ได้คาดหวังว่าพลังของพวกนางจะแข็งแกร่งกว่านี้อีกแล้วในเมื่อพวกนางตัดสินใจที่จะปรับแต่งชิ้นส่วนรูปแบบเต๋าวิญญาณไปแล้วหากเขาไม่ตามหาหญ้ามังกรยาจก เจียงอี้เองก็คงจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับพวกนาง
แต่แน่นอนว่า….
ร่างของเจียงอี้ยังดีกว่าพวกนางเล็กน้อยเนื่องจากเขายังสามารถเข้าถึงและหลอมรวมรูปแบบเต๋าได้เรื่อยๆหากเขาตามหาหญ้ามังกรยาจกเจอและบ่มเพาะแก่นแท้พลังของเขาก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลยว่าภายภาคหน้าเขาจะมีพลังมากเพียงใด
ยังไงก็แล้วแต่เขาก็ยังเป็นผู้ที่มองการระเบิดของภูเขาไฟและเข้าใจมันได้ทันที!
บทที่ 558 มนุษย์กลายพันธุ์
เจียงอี้ใช้เวลาตลอดทั้งวันทั้งคืนเพื่อที่จะเข้าถึงรูปแบบเต๋าในครั้งนี้
สัตว์อสูรหยาจื้อก็กลัวว่ามันจะไปรบกวนเจียงอี้มันจึงไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างประมาทในช่วงเวลานี้ เมื่อท้องฟ้ามืดลง มันก็ต้องบินลงไปในทะเลที่กำลังเดือดอย่างช้าๆ
ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เฟิ่งหลวน,ชิงหยีและเสี่ยวนู๋ต้องทนทุกข์ทรมาน พวกนางกลัวทั้งการโจมตีจากปีศาจทะเลและฟ้าคะนอง แต่พวกนางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามสัตว์อสูรหยาจื้อลงไปในทะเล ทั้งคืนนั้น พวกนางทั้งสามคนไม่ได้นอนเลยเพราะพวกนางคอยปกป้องเจียงอี้ตลอดเวลาและผลัดกันขึ้นมาหายใจเหนือน้ำ
ในที่สุดเจียงอี้ก็ตื่นขึ้นมาในยามที่ท้องฟ้ากำลังจะสว่างเขายิ้มออกมาอย่างรู้สึกผิดเมื่อเห็นพวกนางทั้งสามตาแดงก่ำเพราะความเหนื่อยล้า เขาจึงส่งพวกนางเข้าไปในราชวังจักรพรรดิเพื่อพักผ่อนจากนั้นเขาก็ขี่สัตว์อสูรหยาจื้อและเดินทางต่อไปเพียงลำพัง
เจียงอี้ค่อนข้างรู้สึกดีเล็กน้อยที่เขาได้ตระหนักถึงรูปแบบเต๋าอัคคีระดับต่ำโดยไม่คาดคิดมาก่อน
อันที่จริงแล้วแม้ว่าเขาจะไม่ได้ตระหนักถึงรูปแบบเต๋าอัคคีในวันนี้ แต่ในวันข้างหน้าเขาก็จะตระหนักถึงมันได้อยู่ดี มันเป็นเพราะศาสตร์เวทย์มนตร์สวรรค์สยบเพลิงอเวจีซึ่งมีแก่นเป็นรูปแบบเต๋าอัคคี ประกอบกับที่เขานั้นอยู่กับไฟมาตลอดหลายปี ซึ่งมันมีความเป็นไปได้และสมเหตุสมผลแล้วที่เขาจะตระหนักถึงรูปแบบเต๋าอัคคีขั้นพื้นฐานได้
“ศาสตร์เวทย์นี่ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ!มันเป็นผลที่สะท้อนให้เห็นถึงแก่นแท้รูปแบบเต๋านี่!”
เจียงอี้กระพริบตาอย่างตื่นเต้นขณะที่เขากำลังพิงหลังสัตว์อสูรหยาจื้อแม้ว่ารูปแบบเต๋าอัคคีดังกล่าวนั้นจะไม่ได้มีประโยชน์มากนักแต่มันก็ทำให้เขามีความเข้าใจใหม่ๆของศาสตร์เวทย์ได้อย่างลึกซึ้ง
มีศาสตร์เวทย์โบราณทั้งหมดสิบประเภทจนถึงตอนนี้เขาตระหนักถึงมันได้เพียงสองประเภท คือ ญาณศักดิ์สิทธิ์และสวรรค์สยบเพลิงอเวจีและตอนนี้เขายังไม่ค่อยเข้าใจหุ่นเชิดมนุษย์โคลน, ศาสตร์เวทย์วิญญาณพฤกษาและนทีเคลื่อนคล้อยมากนัก ส่วนศาสตร์เวทย์อีกสี่ประเภทนั้นอาจเป็นเพราะดวงจิตวิญญาณของเขาอ่อนแอเกินไปหรือไม่ก็ระดับความสามารถของเขาต่ำเกินไป เขาจึงยังไม่สามารถตระหนักถึงศาสตร์เวทย์เหล่านั้นได้
อันที่จริงจอมเวทย์เองก็บอกเขาว่าตอนนี้เขายังไม่จำเป็นต้องเข้าใจศาสตร์เวทย์ทั้งสี่นั้น
การฝึกฝนแก่นแท้พลังนั้นไม่ใช่เรื่องยากแต่การทำความเข้าใจกับรูปแบบเต๋านั้นยากจริงๆ
หากเขาพบหญ้ามังกรยาจกเพื่อชะล้างร่างของเขา,เพิ่มพลังดวงจิตวิญญาณและระดับความสามารถของเขา, ทำความเข้าใจกับศาสตร์เวทย์ทั้งสี่ประเภทนั้นและเข้าใจรูปแบบเต๋าจากศาสตร์เวทย์ทั้งสี่แล้ว ความแข็งแกร่งของเขาก็จะดีขึ้นเป็นอย่างมาก
“หญ้ามังกรยาจก….หญ้ามังกรยาจก!”
เจียงอี้พึมพำเบาๆเขาเข้าใจดีว่าหากปราศจากหญ้ามังกรยาจก การช่วยซูรั่วเสวี่ย, ล้างแค้นให้เจียงเปี๋ยหลีและกำจัดโถงวรยุทธก็จะเป็นเพียงจินตนาการของเขา
“โอ้ใช่แล้ว! นทีเคลื่อนคล้อย! ข้าจะต้องผ่านเขตทะเลหลายแห่งระหว่างทางไปทวีปจักรพรรดิบูรพา มันจะเป็นประโยชน์ไหมหากว่าข้าตระหนักถึงศาสตร์เวทย์นี้ได้?”
ความคิดสายหนึ่งแล่นผ่านเข้ามาในหัวของเขาแม้ว่าเขาจะมีร่างกายที่แข็งแรงและสามารถเดินทางบนผิวน้ำได้ราวกับอยู่บนพื้นดินและกลั้นหายใจได้อย่างสบาย แต่มันก็คงจะดีกว่าหากว่าเขาสามารถเข้าถึงนทีเคลื่อนคล้อยและเข้าใจรูปแบบเต๋าวารีจากมันได้
“เรายังคงต้องใช้เวลาอีกประมาณแปดวันกว่าจะถึงทวีปมนุษย์กลายพันธุ์ข้าจะใช้เวลานี้ทำความเข้าใจกับนทีเคลื่อนคล้อยแล้วกัน ส่วนหุ่นเชิดมนุษย์โคลนกับศาสตร์เวทย์วิญญาณพฤกษา ภายภาคหน้าที่ข้ามีเวลาค่อยมาฝึกฝนมันทีหลังดีกว่า”
เจียงอี้ตัดสินใจนั่งขัดสมาธิและเริ่มฝึกฝนทันทีการเดินทางของเขากลับมาเป็นความเงียบงันและจำเจอีกครั้ง
สองวันต่อมาเจียงอี้ได้ปล่อยเฟิ่งหลวน, ชิงหยีและเสี่ยวนู๋ออกมาจากราชวังจักรพรรดิ จากนั้นเขาก็ฝึกฝนศาสตร์เวทย์ต่อและปล่อยให้พวกนางทั้งสามคนดูแลตัวเอง
…
เก้าวันต่อมา….
ทวีปขนาดยักษ์กำลังปรากฏให้เห็นจากไกลๆเจียงเสี่ยวนู๋จึงปลุกเจียงอี้ผู้ที่กำลังยิ้มออกมาอย่างผิดหวัง หลังจากผ่านมาเก้าวันเขาก็ยังไม่สามารถเข้าใจนทีเคลื่อนคล้อยได้ ศาสตร์เวทย์นี้ยากพอๆกับรูปแบบเต๋าเลย แต่เมื่อเขาคิดได้ว่ามีเพียงหยุนเฟยและคนอีกคนที่สามารถเข้าใจศาสตร์เวทย์วิญญาณพฤกษาจากจำนวนผู้สืบทอดตระกูลหยุนมากมาย เขาก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
เมื่อเขาคืนสติกลับมาเขาก็มองไปรอบๆพร้อมกับตรวจสอบแผนที่และยืนยันแล้วว่านี่คือทวีปมนุษย์กลายพันธุ์ “เฟิ่งหลวน ทั้งเจ้าและชิงหยีเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงของทวีปเฟิ่งหมิงและอาจจะถูกจำได้ พวกเจ้าทั้งสองคนควรเข้าไปหลบในราชวังจักรพรรดิสำหรับตอนนี้เพื่อป้องกันไม่ให้เราถูกเปิดเผยตัวตน ข้าจะแอบอยู่กับเสี่ยวนู๋เงียบๆและจะปล่อยพวกเจ้าออกมาเมื่อพบเจออันตรายใดๆ” เจียงอี้ชี้แนะพวกนาง
“เจ้าค่ะ!”
เฟิ่งหลวนและชิงหยีพยักหน้าและยิ้มออกมาเพื่อขอบคุณเจียงอี้สำหรับการให้เกียรติพวกนางอันที่จริงเขาสามารถสั่งได้โดยไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรเลยเพราะพวกนางเป็นทาสวิญญาณของเขา
“อสูรหยาจื้อเจ้าก็ควรเข้าไปด้วย!”
จากนั้นเจียงอี้ก็ส่งเฟิ่งหลวน,ชิงหยีและสัตว์อสูรหยาจื้อเข้าไปในราชวังจักรพรรดิ แม้ว่าราชวังจักรพรรดิจะไม่ได้ใหญ่โตนัก แต่มันก็มีห้องโถงกลางห้าห้องและสามารถรองรับผู้คนนับร้อยได้สบายๆ ยิ่งไปกว่านั้นห้องโถงกลางมีขนาดใหญ่พอที่ร่างขนาดยักษ์ของสัตว์อสูรหยาจื้อจะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ
“ไปกันเถอะ!”
เขาจับมือเสี่ยวนู๋และวิ่งไปบนผิวน้ำเพื่อไปยังทวีปมนุษย์กลายพันธุ์
เขาได้คิดเส้นทางเอาไว้แล้วอย่างแรกคือพวกเขาจะต้องผ่านทวีปมนุษย์กลายพันธุ์จากทางใต้ และเมื่อพวกเขามาถึงทวีปมนุษย์กลายพันธุ์แล้ว พวกเขาก็จะไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อผ่านชายฝั่งทะเลและไปยังทวีปเฟยหม่า ตราบใดที่พวกเขาไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจและไม่ก่อเรื่อง คนจากโถงวรยุทธก็จะไม่เจอพวกเขาอย่างแน่นอน
สิบห้านาทีต่อมาเจียงอี้และเจียงเสี่ยวนู๋ก็ขึ้นมาบนฝั่ง หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าไม่มีอันตรายในบริเวณรอบๆ เจียงอี้ก็ให้เจียงเสี่ยวนู่คอยสอดส่องให้เขา และเขาก็นั่งขัดสมาธิแถวๆนั้นและปล่อยศาสตร์เวทย์ญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมา
ทวีปมนุษย์กลายพันธุ์นั้นเล็กกว่าทวีปเทียนชิงด้วยซ้ำคงไม่น่ามีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนอยู่แน่ๆ แต่ถึงแม้ว่าจะมีอยู่จริงๆแต่มันก็คงไม่เป็นปัญหาอะไรกับพวกเขา ดังนั้นเจียงอี้จึงปล่อยญาณศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างไม่กังวลอะไรและตรวจสอบทวีปทั้งทวีปเพื่อที่พวกเขาจะได้หลีกเลี่ยงผู้เชี่ยวชาญขอบเขตเทียนจุนได้
ร่างของเขาเริ่มเปล่งประกายด้วยแสงสีขาวและญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ลอยขึ้นไปในอากาศและบินไปทางทิศเหนือเหมือนสายลมฉากหลายฉากเข้ามาในความคิดของเขา เขาได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงาม, วัตถุลึกลับ, เผ่าพันธุ์ที่ไม่เหมือนใครและสิ่งมีชีวิตประหลาดมากมาย
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป….สองชั่วโมงผ่านไป….
จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงเจียงอี้ก็ลืมตาขึ้นมาอย่างเหนื่อยล้า เขาถอนหายใจอย่างโล่งอกและหลับตาพักผ่อนครู่หนึ่ง “เสี่ยวนู๋ ไม่ต้องกังวลไป แม้ว่าเผ่าพันธุ์ในทวีปมนุษย์กลายพันธุ์จะแปลกประหลาดแต่ก็ไม่มีผู้เชี่ยวชาญขแบเขตเทียนจุนอยู่ที่นี่ ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่เพียงขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดเท่านั้น” เขาหันไปเห็นเจียงเสี่ยวนู๋ที่มองเขาด้วยความกังวลและสุดท้ายนางก็พูดออกมา
“อื้อ!”
ในที่สุดเจียงเสี่ยวนู๋ก็ผ่อนคลายลงหากเป็นในอดีต ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตจินกังขั้นสูงสุดอาจฟังดูน่ากลัวสำหรับพวกเขา แต่ในตอนนี้ พวกเขาเพียงคนเดียวก็สามารถเอาชนะคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย
“เหลืองใหญ่!”
เขาเรียกสัตว์เถาอู้ออกมาและกระโดดขึ้นหลังมันพร้อมกับเจียงเสี่ยวนู๋และสั่งให้เถาอู้ลงไปใต้พื้นไม่กี่ร้อยกิโลเมตรและมุ่งหน้าไปยังตะวันออกเฉียงเหนือ
“เสี่ยวนู๋ดูแลตัวเองนะ! ข้าขอพักผ่อนหน่อยและหากว่าเจ้าถูกโจมตีโดยมนุษย์กลายพันธุ์ตนใดก็ปลุกข้าได้เลย” เจียงอี้หลับตาในทันทีที่เขาพูดจบ เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปเนื่องจากศาสตร์ญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นทำให้เขาใช้แรงไปมากจึงทำให้เขาเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก
เจียงเสี่ยวนู๋มองไปที่เจียงอี้อย่างปวดใจและคอยเฝ้าระวังต่อไปส่วนสัตว์อสูรเถาอู้ก็ไม่ได้สนใจอะไรและยังคงวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ
“นายน้อยตื่นเร็วเจ้าค่ะ! มีสัตว์ประหลาดมากมายกำลังเข้ามาหาเราจากด้านหน้า!”
ประมาณหกชั่วโมงต่อมาเสียงของเจียงเสี่ยวนู๋ก็ดังขึ้นและได้ปลุกให้เจียงอี้ตื่นขึ้นมา เขาส่ายหัวและมองไปรอบๆด้วยสายตาที่เหนื่อยล้าและตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว
บรึฟ!
เขาปล่อยสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของเขาออกมาและตรวจจับสิ่งมีชีวิตที่มาจากด้านหน้าได้อย่างง่ายดายจากนั้นเขาก็เอาราชวังจักรพรรดิออกมาอย่างเกียจคร้านและปล่อยเฟิ่งหลวนและชิงหยีออกมา “ชิงหยีน้อย มีพวกมดอยู่ข้างหน้าและตัวที่แข็งแกร่งที่สุดอยู่ขอบเขตจินกังขั้นแรก เจ้าช่วยสังหารมันให้หมดทีได้ไหม! และจำไว้นะ ลงมือให้รวดเร็วและอย่าปล่อยให้ใครหลุดรอดหนีไปได้”
“ขอบเขตจินกังขั้นแรก?จิ๊บจ๊อยมาก!”
ชิงหยีเผยจิตสังหารออกมาในดวงตาของนางและพุ่งออกไปจากหลังของสัตว์อสูรเถาอู้เมื่อดาบของนางเปล่งประกายด้วยแสงสีเขียว หินทั้งหมดที่อยู่ตรงหน้าก็กลายเป็นผุยผง ร่างที่งดงามของนางกลายเป็นเหมือนห่านป่าและบินเหินไปข้างหน้าอย่างงดงาม